ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 2 รายชื่อ
บทที่ 2 รายชื่อ
วัวป่าหนึ่งตัวราคาหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนนับว่าถูกมาก
ซึ่งเมื่อซูเฉินซื้อมันมา สตรีคนขายก็เร่งขอบคุณเขาก่อนรีบจากไป
ซูเฉินมองซ้ายขวา เห็นคนเผ่าทรายใกล้ ๆ หันมาสนใจตน
สายตาดุดันฉายแววสังหารเสียด้วย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร จะกล่าวว่าเผ่าทรายนั้นเอาแต่ใจตนนั้นก็ไม่นับว่าผิดเลย
หลังจากเขาซื้อวัวป่ามาแล้ว คนอื่น ๆ ก็ซื้ออูฐหมาป่าสองสามตัว
ซูเฉินอดคิดไม่ได้ว่าหากมีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ทำตาม ‘กฎ’ เช่นนั้นพวกโจรเผ่าทรายและคนอื่น ๆ จะทำอย่างไร จะโจมตีพวกเขาระหว่างเดินทางหรือไม่ ?
จะปล่อยเขาไปเพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ทำตามกฎ ? หรือจะไปหาเรื่องคนอื่น ? หรือจะเล็งแค่เขาคนเดียว ?
“ชอบสร้างปัญหาเสียจริง”
ในตอนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ น้ำเสียงเหยียดหยันก็ดังขัดความคิด
เขาหันไป เห็นว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของฉือหมิงเฟิง เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายชื่อข่งเฉิง อยู่ด่านทะลวงลมปราณ
ซูเฉินไม่คิดว่าข่งเฉิงจะหาเรื่องขึ้นมาเองเช่นนี้ ดังนั้นจึงตอบไป “ข้าก็นึกว่าเรามาเพื่อมีปัญหาเสียตั้งแต่แรกเสียอีก”
“ก็ต้องไม่ใช่อย่างที่เจ้าทำ พวกเรามีแผนแล้ว หากเจ้าทำเรื่องวุ่นวายไปเรื่อยแผนจะเสียได้” ข่งเฉิงคำราม
“ข่งเฉิง หุบปาก !” ฉือหมิงเฟิงตำหนิ
ไม่คิดเลยว่าข่งเฉิงจะเมินคำแล้วยังบ่นต่อ “ข้าเพียงแต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นภาระให้พวกเรา”
ซูเฉินตกใจอยู่บ้าง เขาจ้องฉือหมิงเฟิงก่อนเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
ฉือหมิงเฟิงถอนใจ “ท่านก็รู้ว่าอารามนิรันดร์เป็นกลุ่มใหญ่พอสมควร……”
ซูเฉินพลันเข้าใจ “อา ข้าเข้าใจแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าท่านวางแผนภารกิจนี้มาเสียอีก”
“เป็นสาขาของข้าที่วางแผนไว้จริง แต่เพราะเรื่องเกี่ยวพันกับขาปี่เอ๋อซือ คนทั้งหลายจึงอยากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” เขาพูดถึงจุดนี้ก็โน้มตัวเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “ข่งเฉิงเกี่ยวข้องกับหม่าเหรินเจ๋อ หากท่านสนใจ…… ก็สังหารเขาเสีย”
ซูเฉินหัวร่อ “ท่านคิดสังหารคน แต่ให้ข้ารับผิดชอบหรือ ?”
ฉือหมิงเฟิงตอบเสียงเรียบ “ข่งเฉิงผู้นี้น่ารำคาญนัก ไม่มีวิชาอะไรดี แต่พี่เขยเขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของอารามนิรันดร์ จะสังหารเขาจึงยุ่งยาก เขาถูกส่งมาเพื่อจับตาดูข้า ข้าหมายจะสังหารเขามานานแล้ว แต่ไม่มีใครกล้ารับผิดชอบแทนข้า ข้าจึงได้แต่จำทน แต่ตอนนี้มีท่านอยู่ก็จัดการได้ง่ายขึ้นมาก”
“แล้วทำไมคนช่วยต้องเป็นข้าเล่า ?” ซูเฉินตอบเสียงไร้อารมณ์
“ข้อแรก ท่านสังหารหม่าเหรินเจ๋อ ดังนั้นจึงไม่ถูกกับเขาแต่แรกอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข่งเฉิงคงไม่ปฏิบัติกับท่านเช่นนี้ สองคือพวกเขาเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรงในอารามนิรันดร์ หากต้องโจมตีสังหารใครมักเป็นพวกเขาลงมือ ข้ารู้ว่าท่านระแวดระวัง อารามนิรันดร์ นั่นก็มีเหตุผล แต่เป็นคนประเภทนี้ที่ท่านต้องกังวลมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าไม่ถูกกันตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็ยังได้ หากไม่สังหารข่งเฉิงตอนนี้ ตอนอื่นก็ต้องลงมืออยู่ดี สามคือหากท่านสังหารเขา ท่านจะได้เป็นเลือกสมบัติในปราสาทเป็นคนแรก สุดท้าย ท่านเป็นคนเดียวที่ไม่เกรงกลัวเขา ด้วยความสามารถที่ท่านแสดงให้เห็นกันแล้ว ทั้งยังเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านทำให้อารามนิรันดร์ พวกเขามองท่านเป็นพันธมิตรมีค่าที่ต้องรักษา ดังนั้นต่อให้ฆ่าข่งเฉิง พวกเขาก็จะฝืนทนไป”
ซูเฉินถอนใจ “ดูท่าข้าจะหาเหตุผลดี ๆ มาปฏิเสธไม่ได้เลย”
ฉือหมิงเฟิงเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “แล้วข้าจะกล่อมท่านให้มาทำภารกิจนี้เสียมากมายไปเพื่ออะไรเล่า ? อ้อใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขาล่วงเกินท่าน ข้าก็แอบบันทึกไว้แล้ว จะได้เป็นหลักฐานว่าเขาหาเรื่องท่านก่อน ต่อไปข้าจะสร้างโอกาสเช่นนี้ขึ้นอีก”
“ท่านคิดไว้ทุกอย่างแล้ว” ซูเฉินถอนใจชื่นชม
ฉือหมิงเฟิงตอบ “ยุคสมัยนี้จะหาแพะรับบาปมันไม่ง่าย โดยเฉพาะตัวที่เต็มใจยิ่งยาก !”
“นั่นก็ถูก !” ซูเฉินถอนใจ ภาพเยว่หลงซาพลันผุดขึ้นมาในหัว
ปีนั้นเขาก็เหมือนกับฉือหมิงเฟิง หลอกใช้เยว่หลงซารับมือกับหม่าเหรินเจ๋อ ตอนนี้กงกำเวียนมาถึงตาเขาแล้ว ตอนนี้เป็นเขาที่ต้องแบกหม้อดำแทนคนอื่น
ทุกหนทางทอดไปสู่ปลายทางเดียวกัน เล่ห์กลทั้งหลายก็เช่นกัน
ระหว่างที่คุยกัน คนทั้งหมดก็ซื้ออสูรอูฐกันเสร็จเรียบร้อย
ซูเฉินยังพูดคุยอยู่กับฉือหมิงเฟิง แต่ตอนนี้กำลังคุยกันเรื่องหาทางรับมือข่งเฉิง ด้วยข่งเฉิงไม่ได้มาคนเดียว แต่พกลูกน้องมาด้วย อีกทั้งมีคนหนึ่งอยู่ด่านสู่พิสดาร
ใช่แล้ว เดินทางครั้งนี้มีคนด่านสู่พิสดารอยู่ 2 คน คนหนึ่งคือฉือหมิงเฟิง อีกหนึ่งคือฉีเซินอวิ๋นที่มีหน้าที่ปกป้องข่งเฉิง
คิดสังหารคนที่มีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคุ้มครองนั้นไม่ง่าย แต่ทว่ามันก็น่าสนใจไม่น้อย !
ระหว่างซูเฉินและฉือหมิงเฟิงกำลังคุยเล่นกันอยู่นั่นเอง ซูเฉินก็เห็นเงาร่างหนึ่งวาดผ่านใบหน้าไป
เขาจึงหยุดชะงัก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงเห็นซูเฉินมีสีหน้าประหลาดไป
“ข้าพบสหายเก่า” ซูเฉินคิดแวบหนึ่งก็ตอบไปตามตรง
“สหายเก่าหรือ ?”
“อืม ข้าขอไปคุยกับเขาสักหน่อย”
ฉือหมิงเฟิงได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “หากไม่จำเป็นก็อย่าทำให้เรื่องซับซ้อนไปกว่านี้เลยเถอะ”
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้ารู้ขีดจำกัดตนดี”
ฉือหมิงเฟิงจึงพยักหน้า “เอาล่ะ เช่นนั้นท่านก็บอกจะไปปลดทุกข์ก็แล้วกัน แล้วพวกเรารวมตัวกันอีกทีที่โรงเตี๊ยม พักคืนหนึ่งแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”
ซูเฉินจึงปลีกตัวจากฉือหมิงเฟิงมาแล้วเดินเข้าตรอกใกล้ ๆ ไป
ที่สุดทางเล็ก หญิงสาวชุดขาวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น นางคือเยว่หลงซา
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” ซูเฉินเดินเข้ามา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองภูผาเมินได้ ?”
หลังจบการศึกษาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น ซูเฉินกับเยว่หลงซาพบหน้ากันเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และทั้ง 2 ครั้งก็ล้วนเป็นนางที่มาเมืองธารน้ำใสด้วยเรื่องราชการ แต่เพราะนางยุ่งเรื่องงานจึงได้พบหน้ากันเพียงช่วงสั้น ๆ
เมื่อเห็นเยว่หลงซา นางก็ยังดูงามสง่าเช่นแต่ก่อน อีกทั้งยังดูผ่าเผยมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ข้ามาหาเจ้า” เยว่หลงซาเอ่ยตามตรง
“หาข้า ?” ซูเฉินชะงักไป ก่อนจะรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘อวิ๋นเป้า’
อวิ๋นเป้าจริง ๆ แล้วเป็นลูกน้องเยว่หลงซา ทั้งยังสนิทกับนางมากที่สุด ไม่แปลกหากเยว่หลงซาจะรู้ว่าซูเฉินคิดทำอะไร
“เจ้าต้องการอะไร ?” เขาถาม
เยว่หลงซาจึงออกปากตามตรง “ในกลุ่มพวกเจ้ามีคนชื่อข่งเฉิงร่วมเดินทางมาด้วยหรือไม่ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “อะไรกัน ? เจ้าสนใจเขาหรือ ?”
เยว่หลงซาตอบ “เจ้าเคยได้ยินชื่ออันซื่อลี่มาก่อนหรือไม่ ?”
ซูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนนึกขึ้นได้แล้วโพล่งออกมา “อันซื่อลี่หัตถ์สีเลือด !?”
หากเป็นชื่ออันซื่อลี่คนอาจไม่รู้จักนัก แต่ชื่อหัตถ์สีเลือดนั้นเป็นที่รู้จักอย่างดี
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของเขาคือการกวาดล้างเมืองทั้งเมืองจนหายไปจนสิ้นด้วยตัวคนเดียว ผลออกมาคือการสังหารหมู่ ชีวิตที่ต้องสังเวยภายใต้เงื้อมมือเขา ทำให้ไม่อาจประมาณได้เลย
อาจกล่าวได้ว่าเพราะมีคนเช่นอันซื่อลี่ ชื่อเสียงอารามนิรันดร์ในฐานะผู้ก่อการร้ายจึงกลายเป็นความจริงขึ้นมา
“เจ้าไม่ได้จะบอกว่า……”
“ข่งเฉิงนั่นคือน้องชายของภรรยาอันซื่อลี่ หรือก็คือหัวหน้าของหม่าเหรินเจ๋อ” เยว่หลงซากล่าว
ใช่แล้ว กระทั่งของนับหมื่นชิ้นก็ยังต้องมีความสัมพันธ์กันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
“เจ้าคิดให้ข้าทำอะไร ?” ซูเฉินถาม “สังหารข่งเฉิง ?”
“ไม่ ข้าต้องการให้เจ้าหาของบนร่างเขา ส่วนมันคืออะไรข้าก็ไม่รู้ รู้เพียงมันเป็นรายชื่อคนเช่น อันซื่อลี่ และระบุทางติดต่อเอาไว้”
เยว่หลงซากล่าว “พอเจ้าได้มันมา เราก็จะเริ่มกำจัดอิทธิพลของอารามนิรันดร์ได้ เจ้ารู้ดีว่าเช่นนี้จะรักษาชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปได้อีกเท่าไหร่”
นางหยุดไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเสริม “เรื่องนี้ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว”