ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 204 มอบของขวัญ (1)
บทที่ 204 มอบของขวัญ (1)
วันเกิดของอานู๋ปี่มาถึงในที่สุด
มันเป็นโอกาสพิเศษที่ทุกคนจับตามองอย่างไม่ต้องถาม ไม่มีคนเถื่อนคนไหนรู้ว่าจะมีคนคลั่งแบบไหนมาปรากฏอยู่ในงานบ้าง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะผิดปกติไปมากเช่นนี้
นั่นก็เพราะเมื่อดูจากในอดีต เขามักจะก่อเรื่องใหญ่น่าประหลาดใจอันไม่คาดคิดขึ้นอยู่ตลอด
เมื่อวันเกิดครั้งก่อน ราชาผู้บ้าคลั่งสั่งให้ข้าราชการทั้งหมดส่งภรรยามาให้เขา ซึ่งซ่าเค่อเอ่อร์ที่ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็มักจะสามารถหยุดยั้งไม่ให้ภรรยาของข้าราชบริพารทั้งหลายเข้ามาในห้องนอนของอานู๋ปี่ไว้ได้บางส่วน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เล็ดรอดไปได้ และนั่น ก็เป็นสาเหตุที่อาเลี่ยวซาผู้ล่วงลับมาอยู่ที่นี่ได้นั่นเอง
ปีก่อนหน้านั้น อานู๋ปี่เผาที่อยู่ตนเอง ให้สาเหตุว่าเขาอยากทำให้มั่นใจว่าตนเองยังสามารถทำสิ่งใดตามใจได้ในฐานะราชา เมื่อซ่าเค่อเอ่อร์ถึงที่เกิดเหตุ บ้านเรือนทั้งหลายก็ถูกเผาเป็นจุลแล้ว ซ่าเค่อเอ่อร์โกรธเป็นยิ่งนัก เข้า ‘โจมตี’ ราชา กดร่างไว้กับพื้นแล้วทุบตีอย่างรุนแรง แต่อานู๋ปี่หัวเราะอยู่ตลอด
ปีก่อนหน้านั้น อานู๋ปี่กลับทำตัวดีอย่างเหลือเชื่อ ทำเพียงเลือกที่จะสู้กับอสูรกายตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หลังจากสู้เสร็จ เขากลับ ‘ขี่’ มันเสียอย่างนั้น
ใช่แล้ว เขาทำกับอสูรกาย ต่อหน้าชนชั้นสูงทั้งหลายที่กำลังนั่งมองอยู่ในสนามต่อสู้
ซ่าเค่อเอ่อร์โกรธจนแทบคลั่ง แต่เห็นได้ชัดว่าในขณะที่เขาสามารถควบคุมชีวิตอานู๋ปี่ได้เกือบทุกด้าน แต่กลับไม่สามารถคุมส่วนนั้นของอานู๋ปี่ได้ เพราะมันอยู่ในหัวข้อ ‘เรื่องส่วนตัว’ ของอานู๋ปี่
ด้วยเหตุผลนี้ ทุกคนจึงมักจะชินชากับการที่อีกฝ่ายสร้างเรื่องตกตะลึงในวันเกิดเสียแล้ว
นี่เป็นวันเกิดครั้งแรกที่อานู๋ปี่มีหลังจากซ่าเค่อเอ่อร์ตาย เขาจะทำอะไร ? ทุกคนต่างสงสัย
ซูเฉินมาถึงวังตั้งแต่เช้าตรู่
ในฐานะหัวหน้าฝ่ายภายใน ซูเฉินก็มีภาระที่ต้องจัดการ แน่นอนว่างานหลักคือการให้ความบันเทิงกับอานู๋ปี่ ส่วนการฝึกฝนเล่อเฟิงและคนอื่น ๆ เขาได้มอบเคล็ดลับที่จะสามารถทำให้อานู๋ปี่ชอบใจไว้บางส่วนแล้ว
สำหรับซูเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องยาก
จริง ๆ แล้วคนอย่างอานู๋ปี่ไม่ได้เข้าใจยาก
ในฐานะราชา เขาได้เห็นและได้ลงมือทำเกือบทุกอย่าง เมื่อทุกสิ่งอย่างอยู่แค่ปลายนิ้วแตะ ก็กลายเป็นไร้รสชาติไป
ดังนั้นอานู๋ปี่จึงพยายามสรรหาสิ่งแปลกใหม่เพื่อที่ตนจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่บ้าง
แต่ความคิดสร้างสรรค์อันจำกัดของคนเถื่อนทำให้อานู๋ปี่ไม่สามารถพึงพอใจได้ ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหากับซูเฉิน อย่างน้อยก็ในระยะสั้น
แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต ทว่าความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถทำให้อานู๋ปี่ได้รับความรู้สึกที่ถวิลหาแล้ว
ตอนนี้ซูเฉินเข้ามาในห้องอานู๋ปี่ เมินภาพสาวงามนุ่งน้อยห่มน้อยที่อยู่บนพื้น แล้วคำนับให้อานู๋ปี่ด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท”
“โอ้ หลงถู หัวหน้าฝ่ายจัดการภายในของข้า เจ้ามาสักที” อานู๋ปี่หัวร่อ “ก่อนหน้านี้ข้าชมแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดของเจ้าแล้ว ทำได้ดี”
“ของเล่นจากพวกมนุษย์น่ะขอรับ หากฝ่าบาทพึงพอใจก็ดีแล้ว” ซูเฉินตอบ
“ทำไมเจ้าถึงมีของจากพวกมนุษย์ได้ ?” เขิ่นอั้วถามเสียงฉงนจากด้านข้าง
“คงจะได้มาจากการหักหลังคนเถื่อนคนอื่นอีกกระมัง” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง เขาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขิ่นอั้ว จึงรู้ว่าจะสามารถเอาใจนายตนได้อย่างไร
“ของพวกนี้มาจากพวกมนุษย์จริง ๆ ท่านเสนาธิการใหญ่ แต่ข้าไม่จำเป็นต้องหักหลังใครเพื่อให้ได้มันมา ก็แค่มอบอาหารให้สักหน่อยเท่านั้น” ซูเฉินตอบ “แท้จริงแล้วมนุษย์พวกนั้นคือพวกที่ข้าได้มาจากท่านเขิ่นอั้ว”
เขิ่นอั้วชะงัก “นักสู้มนุษย์พวกนั้นน่ะหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “ถ้าบอกให้พวกนั้นแลกของมีค่ากับการที่ข้าจะปฏิบัติกับพวกเขาดีขึ้น พวกเราต่างรู้ดีว่าความสามารถในการประดิษฐ์สิ่งของของพวกมนุษย์นั้นเป็นรองแค่เผ่าอาร์คาน่า พวกนั้นฉลาดนัก หากเอาพวกเขาไปตายในสนามรบก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายไปสักหน่อย ที่อยากพูดคือ อย่างน้อยก่อนที่จะบีบเอาข้อมูลมาจากสมองมันได้ ก็อย่าได้เร่งมือสังหารมันจะดีกว่า”
อานู๋ปี่พยักหน้า “มองเช่นนั้นชาญฉลาดนัก”
เขิ่นอั้วยังอยากเอ่ยคำ แต่อานู๋ปี่โบกมือ “เขิ่นอั้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบหลงถู แต่อย่าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนั้นลอบโจมตีเขา เอามันออกไปตัดคอเสีย”
คนเถื่อนที่ก่อนหน้ายังล้อเลียนเรื่องที่ซูเฉินทรยศคนเถื่อนถูกลากออกไปทันที
เขิ่นอั้วเปลี่ยนสีหน้าไปทันใดแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำ
อานู๋ปี่เอ่ย “อ้อ มนุษย์พวกนี้คือเรื่องประหลาดใจที่เจ้าพูดถึงใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบ “บางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดขอรับ”
อานู๋ปี่หัวเราะลั่น “ว่าแล้วเชียว ! รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนที่จะทำเพียงการแสดงธรรมดาให้ค่าพึงพอใจ ไหนบอกข้ามา ครั้งนี้ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจอะไรอีกที่เตรียมมาให้ข้า ?”
“เรื่องประหลาดใจไม่จำเป็นต้องเป็นของอย่างเดียวที่ข้าเตรียมมา และแม้จะเปิดเผยให้ฝ่าบาทรู้ตอนนี้… มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อบางเรื่อง” ซูเฉินตอบ
อานู๋ปี่ถามเสียงฉงน “โอ้ ? ว่าต่อสิ”
ซูเฉินเอ่ย “เช่นนั้นให้พวกมนุษย์มอบของขวัญให้ท่านเป็นอย่างไร ? ให้พวกเขาคุกเข่าแทบเท้าท่านแล้วยอมจำนนกล่าวคำภักดีสรรเสริญต่อท่านเป็นอย่างไร ?”
เขิ่นอั้วหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอก มนุษย์หัวแข็งพวกนั้นไม่มีทางยอมจำนนง่าย ๆ แน่”
มนุษย์คนไหนที่สามารถต่อกรกับคนเถื่อนได้ย่อมเป็นคนมีฝีมือ แม้จะถูกจับตัวมา แต่ก็ไม่ยอมจำนนโดยง่าย ดังนั้นตอนที่เขาทดสอบในตอนแรกจึงมีเพียง 3 คนที่ยอมจำนนเท่านั้น
แต่ซูเฉินวางแผนจะให้พวกเขาดูหมิ่นเผ่าตนเองแล้วกล่าวสรรเสริญอานู๋ปี่
พวกเขาจะต้องทุ่มสุดตัว หากเหลือความไม่ยินยอมแม้สักนิดก็จะไม่สมจริง
ซูเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย “เห็นหรือไม่ ? การได้เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ข้ามั่นใจว่าคำสรรเสริญที่พวกมันกล่าวชื่นชมฝ่าบาทจะต้องเป็นเกียรติยศสูงส่งให้กับชนเผ่าเพลิงเป็นแน่”
“ฮ่า ๆๆ! วิธีคิดเช่นนั้นแปลกใหม่ไม่ใช่น้อย” อานู๋ปี่หัวร่อ อย่างที่ซูเฉินว่าไว้ หากทำได้จริงก็ถือเป็นเกียรติยศต่อเผ่ามาก เมื่อสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นว่าทุกสิ่งต้องเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจึงจะสามารถสร้างความบันเทิงได้
“เช่นนั้นแล้วจะรออะไรอยู่อีก ? ข้ารอดูของขวัญของเจ้าไม่ไหวแล้ว !” อานู๋ปี่ตะโกนลั่นแล้วยืนขึ้น “ไปเสียลูกน้องของข้า พาข้าไปยังสนามต่อสู้ จะได้เห็นพวกมนุษย์มันยอมสยบแทบเท้าข้า !”
“กรรร !”
ยากนักที่จะหาว่าต้นเสียงที่คำรามตอบรับคำสั่งอานู๋ปี่มาจากใคร คนเถื่อนนับร้อยพลันท่วมท้นเข้ามาในวัง ก่อนจะโห่ร้องเสียงยินดีกู่ก้องไปทั่ว
ในเวลาเดียวกันนั้น อานู๋ปี่ก็เดินออกมาจากห้องในร่างเปลือยครึ่งตัว ไร้ซึ่งความสง่าและโออ่าที่ราชาปกติพึงมี
ซูเฉินไม่แปลกใจนัก รู้ว่าเป็นธรรมเนียมของคนเถื่อนที่มักใช้ความประมาทกระฉับกระเฉงเช่นนี้แสดงวิถีความกล้า
ทั้งหมดพุ่งเข้าสู่สนามต่อสู้ เตรียมเหล้าแรงเพื่อพร้อมจะดูการต่อสู้ดุเดือด ทั้งร้องลั่นทั้งตะโกน บีบเอาความยินดีปรีดาสุดขีดออกจากร่าง
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
และเพราะเป็นวันเกิดราชา คุณภาพของการต่อสู้จึงสูงมากเช่นกัน
‘ราชันนักสู้’ ซื่อถาเค่อแห่งขวานสังหารขึ้นเวทีก่อนเพื่อมอบการแสดงนองเลือดให้อานู๋ปี่ ทันใดนั้นนักรบแห่งความตาย 2 ตัวจากหุบเขาทมิฬก็เข้าห้ำหั่น พวกมันผิวดำ กระหายเลือดนัก ชอบสังหารศัตรูด้วยการแยกร่าง จากนั้นเอาเลือดมาอาบร่างตน การต่อสู้นองเลือดป่าเถื่อนนี้ทำให้ผู้ชมชนชั้นสูงต่างโห่ร้องตื่นเต้น
การต่อสู้ทั้งหลายดำเนินไปเช่นนี้ พริบตาเดียวก็ผ่านการต่อสู้ไป 7 ครั้ง
ในการต่อสู้ครั้งที่ 8 พวกมนุษย์ของซูเฉินจึงได้ออกแสดง
นักสู้ทั้ง 30 เดินเข้ามาในสนามอย่างพร้อมเพรียง เต็มไปด้วยจิตวิญญาณกล้าของนักรบ
พวกเขาเดินหันหน้าไปยังกำแพงสนามต่อสู้ จากนั้นคุกเข่าลงแล้วประกาศเสียงลั่น “ขอแสดงความยินดีกับนายท่านผู้รุ่งโรจน์ของเรา ทหารผู้ภักดีของนายท่านจะสู้จนตัวตายอย่างไร้ความเสียใจใดเพื่อนายท่าน !”
เสียงประกาศดังลั่นถึงชั้นฟ้า ทำเอาคนเถื่อนทั้งหมดเงียบสนิท
มนุษย์บัดซบนั่นกำลังคำนับให้คนเถื่อนจริงหรือ ?
หากเป็นพวกขี้ขลาดไม่กี่ตัวก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่นี่คือทหารหลายสิบที่กำลังคุกเข่าลงพร้อมกันแล้วเอ่ยสรรเสริญเสียงดังลั่น ทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวนัก……
นี่ไม่ใช่แค่กลัวตายแล้วจะสามารถทำได้
ต้องมีความเชื่อมั่นและยอมรับจากส่วนลึกของหัวใจทีเดียว
เป็นไปได้ยังไงกัน ?
คนเถื่อนสังหารคนเก่ง แต่ไม่ใช่เก่งโน้มน้าวชักจูง
ถูกล้างสมองหรือ ?
“ฮ่า ๆๆ!” อานู๋ปี่หัวเราะลั่น “อย่างเจ้าว่า พวกมันคุกเข่าจริง ๆ! พวกมันยกย่องข้า !”
แม้การบอกก่อนจะเป็นการลดความน่าตื่นใจลง แต่ก็ทำให้ความคาดหวังเพิ่มขึ้น
อานู๋ปี่รู้สึกอิ่มเอมนักเมื่อความคาดหวังถูกเติมเต็มได้
การวิเคราะห์ของห่านปู้เอ่อร์นั้นถูกต้องไม่น้อย หากซูเฉินอยากเติบโตในหน้าที่นี้ก็จะไม่มีใครมาแทนที่เขาได้
ครู่ต่อมา เสียงสะเทือนเลือนลั่นก็ดังขึ้นในสนามต่อสู้
คนเถื่อนทั้งหลายเอ่ยเสียงขึ้นขรม ทั้งตะโกนตื่นเต้นราวกับเอาชนะทั้งทวีปได้ก็มิปาน
เล่อเฟิงมองทั้งหมดด้วยสายตาเย็นยะเยือกแล้วหัวเราะเหยียดในใจ …จงกระโดดโลดเต้นกันให้พอใจ ไม่นานพวกข้าจะกลับมาแก้แค้น !!
คนเถื่อนไม่รู้เลยว่าพวกเขาไม่ได้คุกเข่าให้อานู๋ปี่ แต่ให้ซูเฉินมากกว่า
ชายหนุ่มต่างหากที่เป็นนายท่านที่แท้จริงของพวกเขา
เป็นเขาต่างหากที่ทหารทั้งหลายยอมจำนวนและกล่าวแสดงความภักดี
หากมีผู้ชมเป็นมนุษย์ การที่ทหารไม่เอ่ยนามอานู๋ปี่ออกมาก็อาจทำให้ไม่พอใจนัก แต่เท่านี้ก็นับว่าเกินพอสำหรับคนเถื่อนแล้ว สมองป่าเถื่อนของพวกเขาไม่คิดอะไรให้มากความ
อีกทั้งพวกเขายังไม่คิดถึงคนอื่น หากตนเองพอใจก็นับว่าดีพอแล้ว
หลังจากทำความเคารพเสร็จ ทั้ง 30 คนก็ถอยไปเตรียมตัวทำการต่อสู้
การแสดงความเคารพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ซูเฉินเองก็คิดเรื่องนี้มาดีเช่นกัน
ประตูฝั่งตรงข้ามค่อยๆ เปิดออก เงาขนาดใหญ่เล็ดลอดออกมาจากประตูมืด
มันเป็นร่างมนุษย์ขนาดมหึมาสูงประมาณ 15 หมี่ ในมือคือค้อนเหล็กปกคลุมไปด้วยเพลิงดำ โซ่เหล็กหนักหน่วงพันรอบร่าง กลางหัวคือดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
“กรรร !” เสียงคำรามรุนแรงดังก้องไปทั่วสนามราวกับเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
“ปีศาจยักษ์ตาเดียว !” อานู๋ปี่ร้องขึ้น “เป็นปีศาจยักษ์ตาเดียว ! หลงถู เจ้าเต็มใจเอาทหารที่ฝึกมาอย่างดีไปสู้กับเจ้านี่ได้อย่างไรกัน ?”
“ไม่แน่ว่าอาจกลับกันเลยฝ่าบาท”