ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 207 ลงมือเอง (2)
บทที่ 207 ลงมือเอง (2)
ภายใต้การโน้มน้าวของซูเฉิน อานู๋ปี่จึงตัดสินใจไปแนวหน้าในที่สุด
คนเถื่อนทั่วทั้งอาณาจักรยินดีกับความเปลี่ยนแปลงนี้
คนเถื่อนเลือดร้อน ชอบทำสงคราม กระหายชัยชนะและเกียรติยศ คำประกาศของราชายิ่งทำให้พวกเขาเลือดร้อนดุเดือดยิ่งขึ้น อย่างน้อยในระยะสั้น ขวัญกำลังใจและพลังก็เพิ่มขึ้นมาก นับว่าการคำนวณของซูเฉินในด้านนี้ไม่ผิดเลย
กระทั่งอ้ายฝูหลี่เก๋อซือยังสนับสนุนความคิดนี้เมื่อได้ข่าว
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นขุนนางผู้ภักดีคนเดียวที่ดำรงชีวิตตามกฎเกณฑ์เคร่งครัด สิ่งที่เขาเกลียดชังคือท่าทางขาดความกระตือรือร้นของอานู๋ปี่
ดังนั้นเมื่ออานู๋ปี่ประกาศว่าจะเป็นคนนำทัพไปปะทะอยู่แนวหน้า อ้ายฝูหลี่เก๋อซือจึงมีความคิดว่าให้มีความกล้าทำเช่นนั้นดีกว่ามีแต่ความกลัว
ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างคนเถื่อนที่ฉลาดกับมนุษย์ที่ฉลาด
หากราชาลงสนามรบเอง มนุษย์จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน
แต่มันไม่สำคัญกับคนเถื่อน การมีจิตวิญญาณนักสู้ไม่ยอมแพ้นับเป็นเกียรติยศสูงสุดที่จะมีได้ในชั่วชีวิตนี้แล้ว
กระทั่งคนอย่างอ้ายฝูหลี่เก๋อซือก็ยังคิดเช่นนี้
ซึ่งเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีการคิดของคนทั้งเผ่า ไม่ได้เกี่ยวกับระดับสติปัญญาแต่อย่างใด
เมื่อผู้คนต่างสนับสนุน ปราการกู่หลานจึงส่งกองทัพออกไป
ในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดการภายในของอานู๋ปี่และเป็นคนที่เสนอการเดินทางในครั้งนี้ ซูเฉินย่อมต้องตามไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้เลื่อนยศเป็นหัวหน้าทหารม้า ซึ่งเป็นยศทางการของคนเถื่อน เมื่อมียศนี้แล้ว เขาจะสามารถมีอำนาจเหนือกองกำลังกว่า 5,000 คน ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กน้อย ผู้ถือครองตำแหน่งมีอำนาจอยู่ในมืออย่างแท้จริง แม้ซูเฉินสามารถ ‘ฝึกฝน’ มนุษย์ทั้ง 73 คนจนเกินความคาดหมาย ซึ่งเผยให้เห็นความสามารถของเขาแล้ว แต่การที่อานู๋ปี่มอบตำแหน่งนี้ให้ก็ยังมากเกินไป
แต่ก็เป็นความคิดของราชาผู้ไร้ความสามารถไม่ใช่หรือ ?
จากมุมมองของราชาผู้โง่เขลา ขุนนางภักดีที่เขาโปรดปรานผู้นี้คุมแค่กำลังคนเพียง 5,000 กว่าเท่านั้น ในสายตาเขานับว่ายอมมากพอแล้ว หากไม่ใช่ว่าขุนนางในกองทัพล้วนแต่ไม่เห็นด้วย เขาคงมอบตำแหน่งคุมทหารเรือนแสนให้ซูเฉินไปแล้ว
ช่วงนี้ข้าดูจะฉลาดขึ้นมาก ตอนนี้สามารถรับฟังข้อติชมของคนอื่นอย่างนิ่งสงบได้แล้ว อานู๋ปี่คิด
หากจะมีเรื่องที่ไม่พอใจ ก็คงเป็นท่าทีของผู้นำบรรพชนชนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์
ผู้นำบรรพชนชนปฏิเสธข้อเสนอที่จะนำไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดหรือโทเทมเข้าสู่สนามรบอย่างเด็ดขาด ด้วยรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป
หากแต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกัน
แม้จะไม่มีคำแนะนำของซูเฉิน อานู๋ปี่ก็คงพยายามเอาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดติดตัวไปด้วยอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขานำมันมาด้วยเพื่อเดินทางไปอารามพลัง
คำว่า ‘ชื่นชมยินดีในความโอ่อ่าตระการตา’ ใช้อธิบายคนอย่างเขาได้ดี
ในเมื่อไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเป็นของราชวงศ์ อานู๋ปี่จึงสามารถเอามันไปได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอันใดก็ได้ คำปฏิเสธของผู้นำบรรพชนชนแท้จริงแล้วไม่ได้มีความหมายมากมาย
ทว่าผู้นำบรรพชนชนมีอิทธิพลในเรื่องเกี่ยวกับโทเทมทั้้งสาม
แม้ซูเฉินที่เป็นตัวแทนจากอานู๋ปี่จะอธิบายถึงความสำคัญที่ต้องนำโทเทมติดไปด้วยอย่างละเอียดแล้ว ผู้นำบรรพชนชนก็ยังไม่ยอม
เขาใช้ชีวิตอยู่มานาน นิสัยสงบนิ่งลงมาก ไม่สนใจเกียรติยศและชื่อเสียงเรื่องสังหารจักรพรรดิอสูรกายอีก การดูแลไม่ให้สมบัติของอาณาจักรหายไปเป็นสิ่งสำคัญกว่า
ไม่แน่ว่าคนชราทั้งหลายก็มีความคิดเช่นนี้
อานู๋ปี่โกรธเกรี้ยวไป 3 ครั้ง สังหารลูกน้องไปทั้งหมด 12 คน สุดท้ายผู้นำบรรพชนชนจึงยอมส่งโทเทมให้ชิ้นหนึ่ง โทเทมแห่งพลังชีวิต
โทเทมแห่งพลังชีวิตคือโทเทมที่มีมูลค่าสูงสุดในหมู่โทเทมทั้งสามที่ยังเหลืออยู่ เป็นโทเทมที่เหมาะสมกับคนเถื่อนที่สุด
พลังโทเทมของมันสามารถมอบพลังชีวิตเป้าหมายได้ ทำให้มีพลังชีวิตแทบไม่จำกัด
ผู้นำบรรพชนชนยอมส่งโทเทมชิ้นสำคัญมาให้อานู๋ปี่แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
เช้าวันนั้น ท้องฟ้าใสกระจ่างทั่วทุกทิศ เหมาะแก่การออกเดินทางเป็นยิ่งนัก
กองทัพที่แข็งแกร่งสองแสนคนมารวมตัวกัน จากนั้นเมื่อทำพิธีทางกองทัพเล็กน้อยแล้วก็ออกเดินทาง
ในระหว่างที่กำลังเคลื่อนทัพนั้น ซูเฉินนั่งอยู่บนหมาป่าขนเหล็ก ด้านหลังคือทหารคนเถื่อน 5,000 คน และมีมนุษย์ทั้ง 73 คนที่เขาฝึกมา
“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงยืนยันจะนำพวกมันมาด้วย ให้พวกเขาอยู่ในกองทัพก็เหมือนโยนชิ้นเนื้อให้ฝูงหมาป่าที่หิวโหย แล้วหมาป่าจะมีสมาธิต่อสู้หรือ ?”
ผู้พูดมีชื่อว่าปู้ลาฉี เป็นรองแม่ทัพและขุยอินตี้เค่อของเขา
ขุยอินตี้เค่อ ในสำเนียงคนเถื่อนหมายถึงคนที่ไม่ได้มีสายเลือดแท้
แต่ปู้ลาฉีไม่ใช่ลูกผสมระหว่างคนเถื่อนกับเผ่าพันธุ์อื่น ขุยอินตี้เค่อในที่นี้หมายถึงพวกเขามีสายเลือดจากชนเผ่าเพลิงและชนเผ่าอื่น ๆ ของคนเถื่อน ซึ่งชนชั้นทางสังคมของคนเถื่อนคล้ายคลึงกับของมนุษย์และเผ่าปักษา สายเลือดบางอย่างก็มีความสำคัญเป็นพิเศษ
“ข้าว่าเนื้อก้อนนี้จะสามารถใช้เป็นหน่วยกล้าตายส่งไปกำจัดศัตรูที่แนวหน้าสุดได้ พวกเขาก็มีความสำคัญเหมือนกัน ในฐานะแม่ทัพ ต้องดูว่าลูกน้องเชื่อฟังหรือไม่ ส่วนมาจากเผ่าพันธุ์ไหน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือคนเถื่อน หรือกระทั่งสัตว์อสูร……”
ซูเฉินลูกอีกัวน่าที่อยู่แทบเท้าก่อนคลี่ยิ้ม “เรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญ”
ปู้ลาฉีพยักหน้า “ท่านพูดถูก คนเถื่อนสามารถสั่งให้สัตว์อสูรโจมตีสัตว์อสูรได้ ฉะนั้นก็ใช้มนุษย์รับมือกับมนุษย์ได้เช่นกัน แต่นอกจากเรื่องกลยุทธ์แล้วยังต้องนึกถึงเรื่องขวัญกำลังใจของทัพด้วย”
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว ดูเหมือนจะกระทบอยู่บ้าง แต่ข้าคิดไม่เหมือนเจ้า ปู้ลาฉี ข้าว่าทหารพวกนี้จะทำให้ขวัญกำลังใจกองทัพเพิ่มขึ้นไม่ใช่ลดลง”
“เพิ่มขึ้นนั้นหรือ ?” ปู้ลาฉีชะงัก
ซูเฉินกล่าว “ถูกต้อง เพิ่มขึ้น เจ้าลองคิดดู จู่ ๆ มีมนุษย์เข้าทัพมา คนเถื่อนส่วนมากก็จะรังเกียจไม่สนใจใช่หรือไม่ ? เป็นเหตุที่ทำให้เจ้าคิดว่าทำให้ขวัญกำลังใจลดลง”
ปู้ลาฉีตอบ “ถูกต้อง”
“แต่ถ้าทหารกลุ่มนี้สามารถสร้างความดีความชอบในสนามรบได้เล่า ? หากพวกเขาภักดีจนถึงที่สุด ไม่กลัวตาย ทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารศัตรูล่ะ ?” ซูเฉินถาม
ปู้ลาฉีว่าคำ ดูสับสนอยู่บ้าง “เช่นนั้นข้าคงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่”
“ถูกต้อง เจ้าย่อมไม่สบายใจ ไม่พอใจ อาจถึงขั้นโกรธ แต่หากควบคุมอารมณ์ดีได้ดี เมื่ออยู่ในสนามรบ ก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเพลิงแห่งความดุดันกล้าหาญและแรงใจได้…… จนกระทั่งเจ้ากลายเป็นฝันร้ายของศัตรู”
ปู้ลาฉีพลันเข้าใจ “ท่านพูดถูก ! คนเถื่อนใส่ใจเรื่องชัยชนะและความสำเร็จในการต่อสู้มาก ยอมไม่ยอมให้เชลยเผ่ามนุษย์เอาชนะไปได้ ทำให้เกิดความอยากสู้ เสริมขวัญกำลังใจด้วยการกระตุ้นพอสมควร ท่านคิดวิธีนี้มาได้อย่างไร ?”
ปู้ลาฉียกยอซูเฉินทันที อันเป็นวิชาที่รองแม่ทัพชาญฉลาดทุกคนต้องมี แม้พวกเขาจะเป็นคนเถื่อนก็ตาม
ซูเฉินเลิกคิ้ว “คนปกติเห็นสิ่งตรงหน้า คนฉลาดมองอนาคตข้างหน้า”
เช่นนี้ก็เสแสร้งมากไปหน่อย แม้กว่าปู้ลาฉีจะตอบคำก็ใช้เวลาสักครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดเสียงตะกุกตะกักออกมาได้ “ท่านแม่ทัพช่างชาญฉลาดและมองการณ์ไกลโดยแท้ !”
คำดังกล่าวส่วนมากเป็นคำยอ ด้วยปู้ลาฉียังคงไม่รู้แผนการเบื้องหลังของซูเฉิน
เขาคงไม่เคยได้ยินคำกล่าวโบราณของมนุษย์มาก่อน แผนการซึ่งนำหายนะทั้งหลายมา เริ่มต้นเดิมทีก็ดูจะสมบูรณ์แบบดีทั้งนั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นแผนหายนะ
7 วันให้หลัง กองทัพก็เดินทางมาถึงที่ราบชมธาร
มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งก็คือแม่น้ำเลื่องชื่อของคนเถื่อนแม่น้ำธาราเหิน
ริมฝั่งแม่น้ำธาราเหินเต็มไปด้วยพืชพรรณ ซึ่งหาได้ยากที่จะเห็นความมีชีวิตชีวาในแดนรกร้างของคนเถื่อน จึงนับเป็นแหล่งพลังชีวิตของเขตภาคเหนือ ดังนั้นชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถวนี้จึงตั้งชื่อให้แม่น้ำนี้ว่า แม่น้ำแห่งมารดา
หากแต่แม่น้ำธาราเหินไม่ได้อ่อนโยนเช่นมารดา จากที่ราบสูงทางทิศตะวันตก มันไหลไปทางทิศตะวันออก เดินทางนับหมื่นลี้ พาโคลนจำนวนมากไปตามสายน้ำ เพราะเป็นธารน้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก และเพราะเป็นแม่น้ำที่มีทั้งความกว้างและความลึกไม่เท่ากัน ผลก็คือก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังนับหมื่นปี ด้วยแม่น้ำธาราเหินมักไหลท่วมพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง
ในที่ราบชมธารนี้ แม่น้ำมีขนาดแคบเป็นพิเศษ ในบริเวณอื่นจะกว้างกว่า 300 จั้ง แต่เมื่อไหลผ่านที่ราบชมธาร ความกว้างก็ลดลงเหลือเพียง 12 จั้ง ความแรงน้ำจึงมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง
มันจึงได้ชื่อว่าแม่น้ำธาราเหิน
ถัดจากแม่น้ำธาราเหินไปคือเขาต้นเอล์ม เขานูน เขาหมี่อัว เรียกรวมกันว่าเขาสามธาราเหิน
จุดศูนย์กลางของภูเขาทั้ง 3 ลูกคือปราการสามเขา
ที่นี่เพิ่งถูกสัตว์อสูรยึดไปได้ไม่นาน
หลังจากยึดปราการสามเขาได้ สัตว์อสูรก็ไม่รุดหน้าต่อ แต่กลับตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ต่อสู้มาอย่างยาวนาน บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถบุกตะลุยต่อไปได้อีก
ไม่แน่ว่าที่นี่อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกมัน
แต่ใจสีเลือดยังไม่จากไปเพราะได้ข่าวว่าอานู๋ปี่จะนำไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและโทเทมแห่งพลังชีวิตมาปรากฏตัวที่แนวหน้า
อีกทั้งเขายังสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของสมบัติที่ถูกชิงไปได้
มันอยู่ในหมู่คนเถื่อน
แม้จะไม่เข้าใจว่าสมบัติที่ถูกมนุษย์ชิงไปมาปรากฏในหมู่คนเถื่อนได้อย่างไร แต่เท่านี้ก็ทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมาได้แล้ว
ดังนั้นใจสีเลือดถึงไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรตัวอื่นไม่สำคัญมากสำหรับเขา แต่สมบัตินั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สัตว์อสูรอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมโกลาหลกว่าคนเถื่อนนัก สัตว์อสูรส่วนมากที่นี่ไม่ใช่ลูกน้องโดยตรง แต่มารวมตัวกันเพราะพละกำลังของจักรพรรดิอสูรกาย ที่บุกโจมตีก็เพราะกระหายเนื้อและเลือด เมื่อล่าถอยไป ทุกตัวล้วนแยกย้ายกลับไปยังถิ่นฐานเดิม ไม่มีความจำเป็นที่ใจสีเลือดจะต้องรู้สึกเศร้าโศกที่สูญเสียลูกน้องประเภทนี้ไป อย่างมากก็ทำให้รู้สึกลำบากมากขึ้นยามถูกท้าทายจากจักรพรรดิอสูรกายตนอื่นก็เท่านั้น
ทว่าใจสีเลือดตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องเอาสมบัติที่ถูกชิงไปกลับมาให้ได้ แม้จะต้องเสียอำนาจครองชายแดนตะวันตกไปก็ตาม เพราะทรัพยากรก็เทียบเท่าได้กับกำลังความแกร่งเช่นกัน !
และในแดนสัตว์อสูร ความแกร่งคือทุกสิ่ง
สภาพแวดล้อมและวิธีการคิดที่แตกต่างทำให้เป็นเช่นนี้ แม้ใจสีเลือดรู้ว่าตนจะต้องพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่พยายามหนี
เขาต้องได้สิ่งที่เสียไปคือมา ไม่แน่ว่าอาจได้กลับมามากกว่าเดิม
และเพื่อสิ่งนี้ เขายอมทำทุกอย่าง !
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว การต่อสู้ตัดสินชะตาย่อมต้องเกิด
หลังจากใช้เวลาจัดระเบียบทัพใหม่วันหนึ่ง ณ ที่ราบชมธาร กองทัพสองแสนก็เริ่มการเดินทัพครั้งสุดท้ายไปยังปราการสามเขา
ภายในปราการสามเขา สัตว์อสูรฝูงใหญ่กำลังรวมตัว พวกมันยืนเฝ้าอยู่เหนือกำแพงปราการเช่นเดียวกันกับคนเถื่อน จ้องมองไปไกลจากที่สูง
แต่ครั้งนี้ฝ่ายที่โจมตีเป็นคนเถื่อน
ขณะที่สัตว์อสูรเป็นฝ่ายตั้งรับ
“ข้าจะจับมันในคราเดียว !” อานู๋ปี่เอ่ย ความภาคภูมิใจของเขาเริ่มพุ่งทะยาน