ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 22 สหาย
บทที่ 22 สหาย
ซูเฉินหยุดการสื่อสารไว้เท่านั้นก่อนนวดศีรษะตน เพราะเขาเองก็ปวดหัวเช่นกัน
เขาเริ่มทวนความจำถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ปัญหาใหญ่ของซูเฉินตอนนี้คือเรื่องเฮ่อซื่อ
และแค่เรื่องเฮ่อซื่อก็ทำให้ส่งผลใหญ่หลวงได้ถึง 2 เรื่องแล้ว
เรื่องแรก สายเลือดอสูรพันหน้าของเขายิ่งทำให้จูเซียนเหยามั่นใจว่าศัตรูสามารถแปลงกายได้ เมื่อมีหนึ่งย่อมเป็นไปได้ว่ามีสอง จูเซียนเหยาไม่มีเหตุให้ต้องไม่เชื่อว่าจะไม่มีสายเลือดอสูรพันหน้าอีกคนหนึ่งลอบเข้ามา นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นางเริ่มสงสัย
เรื่องที่สอง เฮ่อซื่อเป็นทั้งตัวประกันและจุดอ่อนที่ดีที่สุดในตอนนี้ ซูเฉินปกป้องเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่มีอะไร แต่หากจูเซียนเหยาเริ่มสงสัยเขา คิดจะปกป้องเขาต่อไปคงยากเอาการ
ข่าวดีคือจูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ ยังไม่มีวิธีเปิดโปงเขาโดยตรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ จูเซียนเหยาจึงได้แต่ใช้กำลังบังคับ
ไม่บีบให้ซูเฉินต้องสำแดงพลังที่โหยวเทียนหย่างไม่มี ก็จะทำให้เขาใช้พลังจนหมด จนไม่อาจคงร่างแปลงไว้ได้ กลยุทธ์ทั้งสองใช้ได้ดีทีเดียว
แต่ยังดีที่หากคิดใช้กลยุทธ์เหล่านี้หมายความว่านางไร้ข้อแคลงใจใดอีก จูเซียนเหยาจะไม่ลงมือหากนางความสงสัยยังไม่ได้รับการยืนยัน
ไม่ เช่นนั้นไม่ถูกต้อง
นางยังมีอีกวิธี นั่นก็คือขอประมือกับเขา อ้างว่าเป็นการฝึกวิชา !
เมื่อคิดถึงจุดนี้ นัยน์ตาเขาก็มีแสงประหลาดวาบหนึ่ง
เป็นตอนนั้นที่มีเสียงฝีเท้าเดินมานอกห้อง ซูเฉินเปิดประตูเดินออกมา เห็นจ้าวจิ่งเหวินกำลังตรงเข้ามา
เมื่อเห็นซูเฉิน จ้าวจิ่งเหวินก็คลี่ยิ้ม กำลังจะอ้าปากพูด ซูเฉินกลับโบกมือ “จิ่งเหวิน มาพอดีเชียว มีหินพลังต้นกำเนิดบ้างหรือไม่ ? ข้าขอยืมหน่อย”
“ยืมหินพลังต้นกำเนิดหรือ ? ท่านจะเอาไปทำอะไร ?” จ้าวจิ่งเหวินชะงักไป
“ไปซื้อของน่ะสิ เหยาเหยาต้องการให้เราเตรียมการภายในปราสาท ให้สร้างค่ายกลขึ้นสักหลายแห่ง แต่ข้ายังไม่ได้ลงมือทำอะไรมือสังหารก็เข้ามาเสียก่อน เจ้าก็เห็นว่ามีพวกมันรอดไปได้ ดังนั้นคนพวกนั้นอาจรอวางแผนอะไรอยู่อีกก็เป็นได้ ข้าจึงต้องไปซื้อวัตถุดิบมาเพิ่ม”
“แต่ข้างนอกมีมือสังหาร ท่านออกไปจะไม่อันตรายหรือ ?”
“พวกนั้นเพิ่งพ่ายแพ้ไป ดังนั้นตอนนี้ไม่ควรลงมืออะไรอีก หรืออย่างไรก็ตามแต่ พวกมันมีอะไรให้ต้องโจมตีข้า ? เป้าหมายพวกมันคือเหยาเหยา อีกทั้งหากข้ายอมเสี่ยงสักหน่อยเพื่อเหยาเหยา นางก็ยิ่งซาบซึ้งต่อข้า อาจเริ่มชอบข้าขึ้นมาก็ได้ เร็ว ๆ เข้าสิ……”
“อ่า…. อ้อ” จ้าวจิ่งเหวินเงียบไป แม้ซูเฉินจะบอกว่ายืม แต่ไม่ได้คิดจะคืนให้ เพราะพวกมันก็ใช้เพื่อปกป้องคุณหนูของพวกเขาอยู่แล้ว
ซูเฉินคว้าหินพลังต้นกำเนิดมาแล้วตาลีตาเหลือกจากไป ถึงตอนนั้นจ้าวจิ่งเหวินจึงรู้ตัวว่าตนยังไม่ได้ทำเรื่องที่คุณหนูสั่งไว้เลย
เขากำลังจะเรียกคนไว้ แต่เมื่อเห็นว่าโหยวเทียนหย่างกำลังรีบหาหนทางปกป้องคุณหนู จะเรียกกลับมาประลองฝีมือก็ใช่เวลา รอสักหน่อยจะดีกว่า
จนกระทั่งซูเฉินออกจากปราสาทไปแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมา
เขากำลังจะมุ่งหน้าไปหาฉือหมิงเฟิงกับพวก เมื่อเงาร่างหนึ่งพลันกระโจนออกจากตรอกหนึ่งแล้วดึงตัวเขาเข้าไป
คือเยว่หลงซา
“ทำไมมาอยู่นี่ได้ ?” ซูเฉินถามเสียงประหลาดใจ
“เข้าเรื่องเถอะ เจ้ายังไม่ได้ลงมือเรื่องที่ข้าขอเลย ดีนะที่ข้าติดตามมาด้วย” เยว่หลงซาเบ้ปาก
ซูเฉินถอนใจ “สถานการณ์ซับซ้อนเล็กน้อย”
“ข้ารู้ จูเซียนเหยามาที่นี่” เยว่หลงซาว่า
“รู้ดีนี่”
“กองกำลังลับไม่ได้นั่งเล่นเฉย ๆ นี่ ไม่เช่นนั้นข้าจะหาตัวเจ้าพบหรือ ?” เยว่หลงซาว่าพลางมองหน้าซูเฉินด้วยความพึงพอใจในตนเองนัก
ซูเฉินรู้ว่าลูกน้องบางคนจ้องฉือหมิงเฟิงเป็นสายของเยว่หลงซา ไม่เช่นนั้นนางคงไม่รู้สถานการณ์ดีเช่นนี้
หากแต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก เพียงเอ่ยขึ้นว่า “เฮ่อซื่อถูกจับตัวไป ข้าไม่อยากให้แผนล่มจึงลอบเข้ามา เรื่องที่เจ้าฝากฝังไว้กับข้า ข้ายังจำขึ้นใจ จริง ๆ แล้วก่อนจะเกิดเรื่อง ข้าค้นพบที่อยู่ของรายชื่อพวกนั้นแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสชิงมาก็เท่านั้น”
“ที่ไหน ?”
“อยู่ในลูกแก้วที่ข่งเฉิงพกติดตัวไว้ ดูเหมือนจะเก็บใส่แหวนต้นกำเนิดไม่ได้ มันอาจมีคุณสมบัติด้านพื้นที่กักเก็บอยู่กระมัง”
“คุณสมบัติด้านพื้นที่กักเก็บ ?” เยว่หลงซาถามเสียงฉงน
“ใช่แล้ว มันไม่ใช่แค่รายชื่อเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสื่อสารทางไกลที่สามารถสื่อสารกับเป้าหมายเจาะจงที่อยู่ห่างไกลออกไปได้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
“เพราะเขาใช้รายชื่อนั่นเรียกคนชื่อเฝิงซีหั่วมาลอบสังหารข้า”
“เฝิงซีหั่ว ?” เยว่หลงซาอึ้งไป “ไม่แปลกที่จู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาได้”
“เจ้าเห็นเขาหรือ ?” ซูเฉินชะงัก
“เมื่อตอนเที่ยง ก่อนจูเซียนเหยาถูกโจมตี” เยว่หลงซาตอบ “เขาเป็นมือสังหารเลื่องชื่อในอารามนิรันดร์ จะบอกว่าเลื่องชื่อในหมู่กองกำลังลับด้วยก็ได้ แม้จะอยู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่ก็มีวิชาลับที่ทำให้ระเบิดพลังใช้วิชาสังหารในคราเดียวได้ เขายังเคยสังหารคนด่านสู่พิสดารมาก่อนด้วย หากไม่ใช่เพราะข้าต้องการรายชื่อนั่นและไม่อยากให้ศัตรูรู้ตัว วันนี้ข้าคงจับเขาไปแล้ว”
“หน้าตาเขาเป็นอย่างไร ?”
“เป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยตีนกา ผิวดำมาก ดูเหมือนชายแก่ตัวเล็ก ค่อนข้างเตี้ย หูกาง แต่เพราะเขาปลอมตัวไม่เก่ง เขาจึงชอบสวมหมวกฟางปิดบังใบหน้า มีนิสัยชอบสวมรองเท้าหญ้าสาน มีสายเลือดอสูรระเบิดพลัง ทำให้สามารถกักเก็บพลังแล้วปล่อยออกมาในคราเดียวเพื่อโจมตีหมายสังหารได้ ฉะนั้นหากไม่ได้เตรียมตัวมาดีจะรับมือยากมาก คนด่านสู่พิสดารที่ถูกเขาสังหารก็ถูกความสามารถนั้นปลิดชีพไปนั่นล่ะ……” เยว่หลงซาพูดไม่หยุดพัก
เขาต้องยอมรับเลยว่ากองกำลังลับมีฝีมืออยู่บ้าง เห็นได้จากการที่พวกเขารู้ข้อมูลเรื่องเฝิงซีหั่วมากมายเช่นนี้
โชคร้ายที่แม้จะรู้ข้อมูลมามากมาย แต่ก็ยังจับตัวอีกฝ่ายไม่ได้ เฝิงซีหั่วมีนิสัยที่หากท่าสังหารใช้ไม่ได้ผลก็จะรีบหลบหนีไป ดังนั้นจึงลงมือสำเร็จหลายครั้ง แต่ก็พลาดท่าหลายครั้งเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เขาก็เอาตัวรอดไว้ก่อน ไม่เพียงแต่มีความสามารถระเบิดพลังได้ แต่ยังรวดเร็วมากด้วย
“เข้าใจแล้ว” ซูเฉินพยักหน้า “ข้าจะหาทางช่วยเจ้าต่อ”
“ไม่จำเป็น” เยว่หลงซาหัวร่อ “ในเมื่อพวกเรารู้แล้วว่ารายชื่อนั่นทำอะไรได้และอยู่ที่ไหน ข้าไปเอามาเองก็ได้”
เรื่องปวดหัวในตอนแรกเป็นเพราะนางไร้ข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อนั้น ตอนนี้เมื่อรู้ว่ามันถูกเก็บไว้ในลูกแก้ว นางจึงกล้าไปชิงเอามาแม้จะไร้ความช่วยเหลือจากซูเฉินก็ตาม
“เดี๋ยวก่อนหลงซา” ซูเฉินเรียกนางไว้ “เจ้าเอาคนมาเท่าไหร่ ?”
“มากพอจะรับมือกับฉือหมิงเฟิงและพวกได้”
“รอสักนิดได้หรือไม่ ? ข้าไม่อยากทำให้เรื่องมันซับซ้อนไปมากกว่านี้ก่อนจะหาคลังสมบัติของขาปี่เอ๋อซือพบ”
“ข้าต้องตกลงหรือ ?” เยว่หลงซาถาม
ซูเฉินเริ่มไม่สบายใจ “ข้าเป็นคนบอกสถานที่ของรายชื่อนั่นให้เจ้านะ”
“แต่ข้าก็บอกเจ้าเรื่องเฝิงซีหั่ว ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าอีก !” เยว่หลงซาเอ่ยโดยไร้แววสุภาพ
“เรื่องนี้……” ซูเฉินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาไม่คิดว่าเยว่หลงซาจะปฏิเสธเขาซึ่งหน้าเย็นชาเช่นนี้ ทั้งยังตอบสมองไว้นัก
เขาพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วหากเป็นข้าขอให้เจ้าช่วยอยู่เฉย ๆ เล่า ? เจ้าเป็นสหายข้า ข้าก็หวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้าได้”
เยว่หลงซายิ้มกล่าว “ได้”
ซูเฉินไม่คิดว่าเยว่หลงซาที่ปฏิเสธกลางแสกหน้าเขาไปเมื่อครู่จะพลันเปลี่ยนใจง่ายดายเช่นนี้ เขาอดอึ้งไปไม่ได้
เยว่หลงซาเอ่ยขึ้น “ที่ข้าปฏิเสธเจ้าเมื่อครู่เป็นเพราะข้าไม่ชอบเหตุผลนั้น…. แต่อันนี้ข้าชอบ”
นางพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที
ก่อนจาก นางยังกล่าวขึ้นว่า “จำไว้ซูเฉิน เราเป็นสหายกัน ที่ข้าช่วยเจ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ !”