ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 222 ประชาพิจารณ์ (2)
บทที่ 222 ประชาพิจารณ์ (2)
“ฮ่า ๆๆๆ”
มีเสียงหัวเราะร่าดังก้องไปทั่วทั้งโถง แม่ทัพต่างก็ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของซูเฉิน
ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะมีอิทธิพลมากเพียงใด มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเคารพในตัววีรบุรุษของพวกเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ ?” หลินเหวินจวิ้นหัวเราะอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาคาดหวังให้คำตอบนี้ออกมาจากปากของซูเฉินอยู่นานแล้ว “แต่ดูเหมือนว่าคนจากอารามนิรันดร์ จะไม่ได้พูดแบบเดียวกับเจ้านะ”
“โอ้ ? เช่นนั้นพวกเขาพูดไว้ว่าอย่างไร ?” ซูเฉินถาม
“เจ้าอยากจะรู้หรือ ?” หลินเหวินจวิ้นปรบมือและกล่าวว่า “นำชายคนนั้นขึ้นมา !”
สิ้นสุดเสียงตะโกนขององค์รัชทายาท ชายผู้หนึ่งก็ได้ถูกพาเข้ามา
เมื่อเขาเดินผ่านซูเฉิน เขาก็ชำเลืองมองชายหนุ่ม
ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม
ซูเฉินค่อนข้างมั่นใจว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนของฉือหมิงเฟิง เมื่อความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับอารามนิรันดร์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ความสำคัญของเขาก็เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเขา นอกจากคนที่รู้จักซูเฉินตั้งแต่แรก ๆ ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อกับซูเฉินโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อีก
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกคุ้นเคยนี้บอกกับซูเฉินว่า มีความเป็นไปได้จริง ๆ ที่พวกเขานั้นเคยพบกันมาก่อน
ชายคนนั้นหยุดยืนอยู่ต่อหน้าที่ประชุมและกล่าวขึ้น “ซุนโม่ คำนับองค์รัชทายาทและผู้บัญชาการทหารสูงสุด”
หลินเหวินจวิ้นแสร้งกล่าวอย่างอวดดี “ที่นี่ไม่มีองค์รัชทายาท มีแต่รองผู้บัญชาการ”
“อ่า ใช่แล้ว ๆ คำนับรองผู้บัญชาการ”
“เอาล่ะ มาคุยกันเถอะ เจ้ารู้จักซูเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“ตอนนั้นพวกข้าอยู่ที่เมืองหลินเป่ย… ” ขณะที่ซุนโมอธิบายอย่างละเอียด ความทรงจำส่วนหนึ่งของซูเฉินที่เขาคิดว่าเขาลืมไปแล้ว ก็เริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจอีกครั้ง
กลายเป็นว่าชายผู้นี้คือหนึ่งในลูกน้องของซางเจิน
ย้อนกลับไปตอนที่เขายังคงอยู่ในเมืองหลินเป่ย ซูเฉินถูกส่งไปอยู่ภายใต้การดูแลของซางเจิน ในเวลานั้นอีกฝ่ายมีลูกน้องจำนวนหนึ่งอยู่ภายใต้การควบคุม และคนผู้นี้คือหนึ่งในนั้น
ในตอนนั้นซุนโม่ไม่โดดเด่นมากนัก และมันก็ผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว ดังนั้นซูเฉินจึงจำเขาไม่ได้เลย
ซูเฉินอาจจะลืมฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ทว่าผู้ที่ได้พบเจอกับซูเฉินไม่อาจลบความประทับใจแรกที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ได้เลย
ในขณะที่อารามนิรันดร์กำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อแฝงตัวเข้าไปในหมู่คนระดับสูงของอาณาจักรหลงซาง อาณาจักรหลงซางเองก็กระตือรือร้นในการทำลายอารามนิรันดร์อย่างยิ่ง พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงและซื้อตัวคนของอีกฝั่งมา
ไม่กี่ปีหลังจากที่เขาได้พบกับซูเฉินเป็นครั้งแรก ซุนโม่ก็ถูกซื้อตัวมา เขาไม่รู้แน่ชัดว่าซูเฉินแลกเปลี่ยนอะไรกับอารามนิรันดร์ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองหรือเรื่องของเนินกลบวิญญาณ
สำหรับผู้ที่สนใจใคร่รู้ การได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์และการร่วมมือครั้งแรกนี้ ก็มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาตีความคาดเดาไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังได้แล้ว
คำอธิบายของซุนโม่ก็เหมือนการเปิดเผยความลึกลับของประวัติศาสตร์ ทำให้เหล่าแม่ทัพในห้องโถงได้รู้จักซูเฉินในเวลาและสถานที่ที่ต่างออกไป
ซูเฉินในตอนนั้นทั้งอ่อนแอและไร้อำนาจ แต่เขากลับสามารถเปลี่ยนจากการถูกไล่ล่าลอบสังหารให้เป็นการร่วมมือกันได้ เหล่าคนที่ได้ฟังต่างก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความมหัศจรรย์ใจ
ถ้าองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เรื่องนี้คงอาจกลายเป็นตำนานที่ดีเรื่องหนึ่ง ถ้าอารามนิรันดร์ไม่ใช่ภัยคุกคามที่พวกเขาต้องการลบให้หายไป นี่อาจเป็นเรื่องราวที่เล่าขานไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ทว่าเพราะเงื่อนไขที่กล่าวไป ทำให้ความน่าทึ่งของเรื่องราวเหล่านี้มัวหมองลง ผู้ที่ได้ฟังต่างต้องลอบถอนหายใจ พวกเขาสงสัยนักว่าซูเฉินจะจัดการกับข้อกล่าวหานี้ได้อย่างไร
ซูเฉินยังคงเงียบและสงบ
เขาฟังซุนโม่เล่าเรื่องราววีรกรรมในอดีตของตนอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ความคิดของเขาคอยวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการคำนวณอันทรงพลังที่ผลึกวิญญาณมอบให้ ทำให้เขาได้สำรวจความเป็นไปได้หลากหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ขณะที่เขาค้นหาช่องโหว่ในคำพูดของซุนโม่
ใช่แล้ว ‘ช่องโหว่’
แม้ว่าซุนโม่จะอยู่ที่นั่นและคำพูดที่เขาพูดมาจะเป็นความจริง แต่มันก็ยังมีช่องโหว่อยู่
ฟังดูแปลกใช่มั้ย ? ในเมื่อสิ่งที่กล่าวไปล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วมันจะไปมีช่องโหว่อยู่ได้อย่างไร ?
แต่ถ้าความจริงนั้นแปลกประหลาดเกินกว่าจะจะเป็นเรื่องแต่ง แล้วมันจะไม่มีช่องโหว่อยู่เลยหรือ ?
แน่นอนว่าย่อมมี !
ในที่สุด การเล่าเรื่องราวของซุนโม่ก็สิ้นสุดลง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อเขาเล่าไปถึงจุดที่ซูเฉินยุติข้อตกลงแล้ว คำอธิบายที่เหลือหลังจากนั้นจะเป็นการคาดเดาทั้งหมด นั่นก็เพราะว่าหลังจากออกจากเมืองหลินเป่ยเขาไม่เคยได้ติดต่อกับซูเฉินอีกเลย แต่มันไม่ได้เป็นเหตุผลให้เขาหยุดจากการวิเคราะห์ความร่วมมือระหว่างซูเฉินกับอารามนิรันดร์จากรายละเอียดบางอย่าง
โดยเฉพาะเรื่องของยาสามหยาง
นี่เป็นปัญหาที่ซูเฉินไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้
“ …นั่นคือทั้งหมดที่ข้ารู้ ข้าสามารถรับประกันได้ว่าทุกประโยคที่พูดมาจนถึงตอนนี้คือความจริง” ซุนโม่กล่าว
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่เขาพูดหรือไม่ ซูเฉิน ?” หลินเหวินจวิ้นถาม
“ข้าได้ยิน” ซูเฉินตอบ
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
“ไร้สาระ” ซูเฉินตอบกลับในทันที
“โอ้ ? เจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับงั้นหรือ ?”
‘แล้วข้าจะไปบ้ายอมรับเพื่ออะไรกัน งี่เง่า !’ ซูเฉินกลอกตาในใจของเขา
เขาไม่สนใจหลินเหวินจวิ้นและหันไปมองซุนโม่
“ซุนโม เจ้ามีตำแหน่งอะไรเมื่อตอนที่เจ้ายังอยู่ในอารามนิรันดร์ ?”
ซุนโม่ตอบว่า “ผู้บริหาร”
ผู้บริหารเป็นสถานะที่ต่ำที่สุดในอารามนิรันดร์ ไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นทางการอะไรและถูกมองเป็นเพียงพวกชนชั้นพลเรือน เมื่อยามที่เยี่ยเม่ยถูกส่งมาลอบสังหารเขา นางก็เป็นเพียงแค่ผู้บริหารธรรมดาทั่วไป
ซูเฉินถามขึ้นทันที “เท่าที่ข้ารู้ อารามนิรันดร์มีกฎที่ว่าเหล่าผู้บริหารทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น และไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในขั้นตอนการวางแผน ใช่ไหม ? เช่นนั้นแล้วเรื่องสำคัญ ๆ อย่างเนินกลบวิญญาณ เจ้ามีสิทธิ์เข้าร่วมฟังรายละเอียดแผนมาได้อย่างไรกัน ?”
นี่คือช่องโหว่แรกในคำอธิบายของซุนโม่
องค์กรที่มีชื่อเสียงอาทิอารามนิรันดร์ มักจะมีกฎเกณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาความลับอยู่แล้ว ผู้บริหารไม่มีสิทธิ์รู้เกี่ยวกับแผนหรือเป้าหมายสำคัญ ยังไงซะท้ายที่สุดแล้วผู้บริหารก็ไม่ต่างอะไรจากตัวเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงนั้นถือเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตามกฎเหล่านี้อย่างเคร่งครัด
น้อยคนมากที่จะทำตามกฎระเบียบอย่างเข้มงวดจริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วผู้คนก็มักจะทำในสิ่งที่พวกเขาพอใจ
ย้อนกลับไปในตอนนั้นความสัมพันธ์ของซูเฉินกับอารามนิรันดร์กำลังพัฒนา ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินมาจนถึงจุดนี้ ดังนั้นซางเจินจึงไม่ได้เข้มงวดจริงจังกับลูกน้องของเขามากนัก
ด้วยเหตุนี้ช่องโหว่แรกจึงเปิดออก
เหตุผลของซูเฉินเป็นการหักล้างความเป็นจริง จนแม้แต่ซุนโม่ก็ยังผงะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายข้อขัดแย้งที่ดูย้อนแย้งนี้อย่างไรดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดได้เพียงว่า “นั่นเป็นเพราะในเวลานั้นเจ้ายังไม่ถูกมองว่าสำคัญกับพวกเขา !”
“เจ้าบอกว่าพวกเขาไม่เห็นข้าสำคัญงั้นหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้น ข้ามีคำถามอื่นจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าบอกว่าข้าได้สังหารปรมาจารย์เฟิงและบังคับให้ซางเจินยอมรับเงื่อนไขของข้า นั่นมันเรื่องตลกอะไรกัน ? ชายคนนั้นเป็นนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ ! ทั้งสถานะที่สูงยิ่งและตัวตนที่สูงส่ง ! หากข้าฆ่าเขาไป ข้าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยได้อย่างไร ? อารามนิรันดร์เป็นองค์กรเช่นไร ? ข้าในยามนั้นสามารถข่มขู่พวกเขาได้เชียวหรือ ? และพวกเขายังช่วยข้าฝึกฝนปรุงยา เพื่อจะได้ทำยาให้พวกเขา ? เจ้าไม่คิดว่ามันออกจะเป็นเรื่องไร้สาระไปหน่อยหรือ ? ใครจะโง่พอที่จะทำอะไรแบบนั้น ? เจ้าจะใช้เงินเป็นจำนวนมากมายเพื่อฝึกคนที่สังหารนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ ให้เป็นนักปรุงยาคนใหม่แทนงั้นหรือ ?”
ประโยคสุดท้ายนี้เป็นคำถามที่เขาส่งไปหาทุกคนในห้องโถงนี้ แม่ทัพทั้งหมดต่างก็ส่ายหน้า
ในชีวิตมนุษย์นี้เรื่องหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น แต่ดูไม่สมจริงและเป็นไปไม่ได้ หรือต่อให้จะพยายามทั้งชีวิตก็ตาม ผู้คนมักเรียกเหตุการณ์เหล่านี้ว่าปาฏิหาริย์
การมีอยู่ของปาฏิหาริย์คือการทำลายสามัญสำนึก
ถึงกระนั้น ปาฏิหาริย์เหล่านี้ก็ไม่อาจเอาชนะตรรกะในเวทีของการโต้วาทีได้
ข้อตกลงของซูเฉินกับซางเจินเกิดขึ้นได้เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เหตุผลที่ซูเฉินทำอย่างนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือก และเหตุผลที่ซางเจิ้นทำเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกเช่นเดียวกัน สภาพแวดล้อม บุคลิกภาพของแต่ละคน ความเคารพและไว้วางใจอีกฝ่าย ล้วนมีบทบาทในการทำให้เกิดสถานการณ์ที่ท้าทายตรรกะแบบนี้ขึ้น
อย่างไรก็ตามตรรกะเดียวกันนี้ก็สามารถใช้เพื่อหักล้างสามัญสำนึกเหล่านั้นได้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง แต่ในการโต้แย้งสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมักจะไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
นี่คือช่องโหว่ที่สองในคำให้การของซุนโม่
ซุนโม่ถูกคำถามของซูเฉินทำให้พูดไม่ออก ช่องโหว่แรกเขาสามารถอธิบายได้แต่ช่องโหว่ที่สองไม่ อันที่จริงแม้แต่ซางเจินเองก็ยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ ว่าในตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่
ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ในโลกที่จะต้องมีอธิบายชัดเจน เรื่องที่ได้ทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว แม้ว่าซูเฉินจะสังหารนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ไป แต่ถ้าซางเจินยังมองเขาในแง่ดีอยู่และคิดจะใช้เขาแทน แล้วไง ?
ขนาดก่อนหน้านี้จูเซียนเหยายังเกือบจะฆ่าซูเฉินทิ้งเพียงเพราะนางไม่มีความสุขได้อยู่เลย
ในโลกนี้มีสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นมากมายก็จริง
ทว่าในการอภิปรายโต้แย้ง ยังต้องมีเหตุผลรองรับเสมอ
ซุนโม่พบว่าเขากำลังถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล เป็นสาเหตุทำให้เขาตื่นตระหนก
เขาเริ่มตะโกนเถียง “นั่นเป็นเพราะเขามองว่าเจ้าสำคัญ !”
ซูเฉินโต้กลับทันที “แต่เจ้าเพิ่งจะบอกว่า พวกเจ้าไม่ได้มองว่าข้าสำคัญ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงกลับบอกว่าข้าสำคัญล่ะ ?”
“ข้า… ” ซุนโม่ถึงกับพูดไม่ออก
เสียงหัวเราะเยาะเริ่มดังขึ้นในห้องโถง
ซุนโม่เริ่มกระวนกระวาย “ข้าจะรู้เนื้อหาการสนทนาของเจ้าได้อย่างไร ? ไม่ว่ายังไง นั่นก็คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น !”
ซูเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา “งั้นข้าจะเปลี่ยนคำถามใหม่ เจ้าละทิ้งวิถีชั่วของเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ซุนโม่ตอบว่า “10 ปีที่แล้ว”
“10 ปี ? เจ้ากำลังบอกข้าว่าเจ้าออกจากอารามนิรันดร์มา 10 ปีแล้ว แต่อารามนิรันดร์ไม่เคยพยายามฆ่าเจ้า หรือเตือนข้าเกี่ยวกับตัวตนของเจ้าเลย ?” ซูเฉินถามอีกครั้ง
นี่เป็นช่องโหว่อีกหนึ่งประการที่อีกฝ่ายได้สร้างขึ้น
เมื่อพิจารณาจากสถานะปัจจุบันของซูเฉิน และคำกล่าวที่อีกฝ่ายบอกอ้างว่าตัวเขานั้นสำคัญต่ออารามนิรันดร์ บุคคลที่อาจเปิดเผยตัวตนของเขากลับออกมาจากองค์กรได้ โดยไม่โดนไล่ล่ากำจัดแต่อย่างใด ? นั่นมันไร้เหตุผลเกินไป
ซูเฉินไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ในตอนนี้เหตุผลของเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือ มันกลายเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลในคำให้การของซุนโม่
แค่ไร้เหตุผลก็เพียงพอแล้ว !
ตราบใดที่มันไม่สมเหตุสมผล เขาก็สามารถย้อนคำพูดของอีกฝ่ายได้ และสามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้ได้จนถึงที่สุด
ความสัมพันธ์ของซูเฉินกับอารามนิรันดร์นั้นมีพื้นฐานมาจากความบังเอิญที่ดูเหมือนไร้เหตุผลหลายอย่าง และเมื่อความไร้เหตุผลเหล่านี้ถูกขจัดออกไปด้วยตรรกะ มันก็ยากเกินจะเชื่อว่าการร่วมมือของพวกเขาจะคงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
หากถามซูเฉิน ชายหนุ่มก็จะตอบว่ามันเป็นความสามารถของเขา
ใช่แล้ว คนที่มีความสามารถและพรสวรรค์ มักจะสร้างเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผลขึ้นเสมอ มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่จะตะโกนว่า ‘มันไม่สมเหตุสมผล มันทำไม่ได้’ ในทุกสิ่ง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนธรรมดาถึงเป็นคนธรรมดา ในขณะที่ผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงกลับสามารถเปลี่ยนความเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นความเป็นไปได้
ในทางกลับกัน คนส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็นคนธรรมดา ดังนั้นการชี้ให้เห็นถึงแง่มุมที่ ‘ไร้เหตุผล’ จึงกลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผลไปทันตา
ตอนนี้ซูเฉินได้ชี้ให้เห็นถึงความไร้เหตุผล และย้อนแย้งเหล่านี้ ทั้งคำพูดทั้งข้อสรุปต่างมีเหตุผลรองรับที่เหมาะสม จนแม้แต่หลินเหวินจวิ้นเองก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าคนจากอารามนิรันดร์ที่เขาซื้อตัวมาผู้นี้เป็นตัวปลอมหรือไม่ ไปชั่วครู่
มันไม่สมเหตุสมผลเลยจริง ๆ!
คำอธิบายของซุนโม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซูเฉินกับอารามนิรันดร์นั้นเต็มไปด้วยความไร้เหตุผล ดังนั้นมันจึงมีสิทธิ์น้อยมากที่การวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองหลังจากที่ซูเฉินออกมาจากเมืองหลินเป่ยของซุนโม่จะเป็นจริง… ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาตัวเองอาจไม่ใช่เรื่องถูกต้อง การวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ต่อไปของเขาก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พยานผู้นี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย !