ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 224 งานเลี้ยง
บทที่ 224 งานเลี้ยง
หลังจากประชาพิจารณ์ได้สิ้นสุดลง เซียวเฟยหนานก็มาหาเขา
“ทำได้ดีมาก” เซียวเฟยหนานตบไหล่ซูเฉิน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังชมเชยเขาเรื่องที่เกิดในการประชาพิจารณ์หรือสิ่งที่เขาทำในดินแดนคนเถื่อนกันแน่ ?
ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “อาจารย์และแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“อย่ากังวลไปเลย แม้ว่าองค์รัชทายาทจะต้องการสร้างปัญหาให้กับพวกเขา แต่ทางนั้นก็ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับพวกคนเถื่อนจริง ๆ ฉะนั้นคงทำได้แค่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นแหละ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพวกเขาคงจะกลับมาพร้อมรางวัลที่ได้รับล่ะน่ะ”
“คำถามคือเหตุใดองค์รัชทายาทถึงต้องทำเช่นนี้ ?” ซูเฉินถาม
เซียวเฟยหนานถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้คำตอบอยู่แล้วหรอกหรือ ?”
ดวงตาของซูเฉินหรี่ลงเล็กน้อย
เช่นนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับอาจารย์สินะ ?
นั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ฉือไคฮวงเคยกล่าวไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อมันเกิดขึ้น จะมีผู้บริสุทธิ์นับหมื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ถึงกระนั้น ชนชั้นสูงก็ยังเป็นชนชั้นสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของตน ไม่ว่าจะต้องมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตหรือบาดเจ็บไปมากแค่ไหน พวกเขาก็มองมันเป็นการเสียสละที่ยอมรับได้อยู่ดี
เมื่อเห็นอารมณ์ของซูเฉินยังคงคุกรุ่นอยู่ เซียวเฟยหนานจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ลืมมันไปเถอะ อย่าไปคิดให้มากความเลย ไหน ๆ ก็ได้กลับมาแล้วก็ควรจะมาพบหน้ากันเสียหน่อย คืนนี้มาที่บ้านข้าสิจะพาคนรู้จักมาด้วยก็ได้ เจียงซานกับคนอื่นๆ ก็อยากจะเจอเจ้าอยู่เช่นกัน”
นี่เป็นงานฉลองสำหรับซูเฉิน และซูเฉินก็ยอมรับมัน
เย็นวันนั้นที่บ้านของเซียวเฟยหนาน เหล่าเจ้าหน้าที่กับแม่ทัพจากปราการลุ่มน้ำทองก็ทยอยมารวมตัวกันอย่างช้า ๆ พวกเขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงของเซียวเฟยหนานในนาม ส่วนในความเป็นจริงนั้น พวกเขามาเพื่อทำความรู้จักกับซูเฉิน ซูเฉินในปัจจุบันแตกต่างจากซูเฉินในอดีตอย่างมาก คนที่สามารถนำพากองทัพกำลังสวรรค์กลับมาอย่างปลอดภัยได้ก็ย่อมควรค่าแก่การทำความรู้จักอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกันมันก็ถึงเวลาที่จะเลือกข้างแล้ว ทุกคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้วก็เท่ากับว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าพวกเขาสนับสนุนซูเฉิน
“ซูเฉิน ทางนี้คือแม่ทัพกองทัพไฟปฐพี ฉือเลี่ย”
ในห้องโถงใหญ่ เซียวเฟยหนานกำลังถือไวน์หนึ่งอยู่ในมือขณะที่เขาชี้ไปทางชายหัวล้านผู้หนึ่งเพื่อแนะนำให้ซูเฉินรู้จัก
ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองดูเปลวไฟที่มีชีวิตที่สมกับชื่อของอีกฝ่าย เปลวไฟที่เจิดจ้าและร้อนแรงลุกโชนอยู่ต่อหน้าเขา ประหนึ่งมีคลื่นความร้อนก่อขึ้นลึกในใจของเขา
ฉือเลี่ยเดินเข้ามาหาซูเฉินพร้อมเสียงหัวเราะดังก้อง “เด็กน้อยทำได้ดีมาก เจ้าช่วยกองทัพกำลังสวรรค์กลับมาและยังทำให้เจ้าคนขี้ขลาดหลินเหวินจวิ้นต้องหงุดหงิดจนหนีกลับไปได้อีก ทำได้ดีมาก !”
เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้สนใจสถานะองค์รัชทายาทของหลินเหวินจวิ้นเลยแม้แต่น้อย
แม่ทัพส่วนใหญ่นั้นใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบ การโตมากับเลือดและไฟสงคราม ทำให้พวกเขากลายเป็นลูกผู้ชายที่มีความเข้มแข็งและกล้าหาญอย่างแท้จริง พวกเขามักจะคบหาสมาคมกับผู้คนโดยดูจากว่ารู้สึกถูกชะตากันหรือไม่ แทนที่จะชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย
อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้เป็นคนแรกที่เรียกองค์รัชทายาทว่าคนขี้ขลาดโต้ง ๆ อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด
เซียวเฟยหนานขมวดคิ้ว “เจ้าควรจะระวังปากระวังคำเสียหน่อยนะ ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าจะไม่มีคนขององค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ด้วย”
“ใครสน ?” ฉือเลี่ยกล่าวด้วยแววตาดุร้าย “กะอีแค่เด็กเหลือขอที่ขนยังไม่ขึ้น ถ้ามันมีความสามารถจริงทำไมไม่ออกไปเอาชนะพวกคนเถื่อนเสียเล่า จะมัวมานั่งขุดหลุมพรางและพยายามวางแผนต่อต้านคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันไปเพื่ออะไร นั่นมันวีรบุรุษประเภทไหนกัน ?”
“พูดได้ดี” เสียงปรบมือดังขึ้น
เป็นฉางจื่อซิน เขาคือแม่ทัพของกองทัพปฐพีสงบ
ชายคนนี้ดูบอบบางและอ่อนแอเล็กน้อย แต่มือที่เรียวยาวของเขากลับถือแก้วไวน์ได้อย่างมั่นคง
ฉางจื่อซินมาหยุดยืนอยู่ข้างซูเฉินและกล่าวว่า “ซูเฉิน เจ้าไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อพวกข้าสนับสนุนเจ้าแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธในผลงานครั้งนี้ของเจ้า พวกมันจะไม่มีโอกาสแม้แต่คิดที่จะทำร้ายเจ้า”
ซูเฉินยิ้ม “ขอบคุณท่านมาก แม่ทัพฉาง”
“อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูจะสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในศาลทหารเจ้าก็ไม่ได้ดูหวั่นไหวเลย หรือว่าเจ้า … จะเลื่อนระดับถึงด่านสู่พิสดารแล้ว ?” ฉางจื่อซินถาม
ผู้คนรอบข้างต่างพากันชะงักไปทันที เมื่อได้ยินคำถามนี้ของเขา
แม้ว่าซูเฉินจะฝึกการสะกดข่มอารมณ์มาแล้ว แม้ว่าพลังจิตของเขาจะอยู่ในระดับที่ไม่ว่าจะเป็นผู้มีตาทิพย์หรือผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็มองทะลุได้ยากแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารก็ยังคงแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าซูเฉินจะพยายามปกปิดความแข็งแกร่งของเขามากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจซ่อนได้อยู่ดี…
ดวงตาของเขาไร้ซึ่งความลังเล เมื่อรวมเข้ากับท่าทีและกลิ่นอายที่สงบของเขา ซูเฉินจึงได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีหนทางที่จะยืนยันเรื่องนี้ ทุกคนก็ทำได้เพียงสงสัยและคาดเดาต่อไป
ณ เวลานี้ ผลประโยชน์ของการเข้าข้างซูเฉินนั้นได้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
คนขององค์รัชทายาทไม่เต็มใจที่จะเชื่อว่าซูเฉินได้เลื่อนระดับถึงด่านสู่พิสดารแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่ผิดปกติของชายหนุ่ม เฉกเช่นผู้ที่จะไม่แสวงหาคำตอบในเรื่องที่พวกเขาน่ารำคาญใจ
ในทางกลับกัน ผู้ที่ชื่นชอบซูเฉินก็เต็มใจที่จะแสวงหาคำตอบนั้น เพราะไม่ว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเขา และแม้ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะได้รับผลกระทบ.. แต่มันก็นับเป็นเรื่องดี
ดังนั้นฉางจื่อซินจึงไม่เกรงใจที่จะถามออกไปตรง ๆ
ซูเฉินเหลือบมองไปรอบ ๆ ตัวเขาเพื่อยืนยันว่าไม่มีคนขององค์รัชทายาท ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนที่จะพยักหน้าลง “ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน ?” เซียวเฟยหนานถามขณะที่เขาคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้
คำตอบนี้สำคัญเกินไปและยังส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติทั้งมวล !
ซูเฉินกล่าวว่า “ข้าเลื่อนขั้นขึ้นไปโดยไม่ต้องใช้สายเลือดก็จริง ทว่าน่าเสียดายที่ข้ายังไม่อาจพัฒนาวิธีการนั้นให้เหมาะสำหรับใช้กับทุกคนได้”
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตานปา ซูเฉินเลยไม่อาจอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปราการกู่หลาน เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาได้ยกระดับขึ้นเพราะอารามพลังต้นกำเนิด ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกล่าวออกไปว่ายังไม่อาจพัฒนาวิธีการนั้นให้เหมาะสำหรับทุกคนได้
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“แต่ในเมื่อเจ้าประสบความสำเร็จมาด้วยตัวเจ้าเองแล้ว บางทีหลังจากนี้อีกไม่นาน เจ้าก็คงจะพัฒนามันได้สำเร็จใช่ไหม ?” หงเฉียนจู้ถามขณะที่เดินเข้ามาหาวงสนทนาของพวกเขา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้นี้ไม่ได้ปะปนอยู่กับฝูงชนในตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน แต่หูของชายชราเฉียบคมจนไม่มีประโยคใดหลุดรอดไปจากการรับรู้ของเขา
เนื่องจากฐานการบ่มเพาะของชายชรานั้นอยู่ในด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ที่เป็นรองเพียงแค่ด่านมหาราชันเท่านั้น ในหมู่มนุษย์จึงมีเพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งกว่าเขา
ในขณะที่ได้ยินแค่เสียงของหงเฉียนจู้ แต่ยังมองไม่เห็นร่างของเขา ซูเฉินตอบด้วยความเคารพ “ขอรับ ซูเฉินจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ”
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของฉือเลี่ยกลับดูไม่มีความสุขนัก “ถ้าคำพูดนี้ไปถึงหูคนพวกนั้น ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พยายามอย่างเต็มที่นี่สิ… ”
เซียวเฟยหนานถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเก็บความลับนี้ได้ตลอดไป”
หลินเหวินจวิ้นสามารถหลอกตัวเองได้นานเท่าที่เขาต้องการ ทว่าถึงแม้ว่าเขาจะปฏิเสธที่จะมองความจริง แต่คนของเขาก็จะมองเห็นปัญหานี้อยู่ดี เรื่องที่ซูเฉินอยู่ด่านสู่พิสดารแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถปกปิดได้นาน
ซูเฉินยิ้ม “ไม่เป็นไร มันไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว ก่อนนี้เองก็มีคนที่ต้องการจะหยุดไม่ให้ข้าเผยแพร่วิธีทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตมาแล้ว ข้าจึงเตรียมการรับมือสำหรับเรื่องนี้ไว้นานแล้ว”
“ผู้ที่พยายามจะหยุดเจ้าในตอนนั้นเป็นเพียงชนชั้นสูงปลายแถวจากต่างอาณาจักร ทว่าตอนนี้ผู้ที่เจ้ากำลังจะสู้ด้วย คือชนชั้นสูงนับไม่ถ้วนกับองค์รัชทายาทคนปัจจุบันเชียวนะ” ฉางจื่อซินกล่าวเตือน
ซูเฉินยักไหล่ “ข้าเองก็ไม่ใช่ตัวข้าคนเก่าแล้วเช่นกัน”
แม่ทัพทั้งหมดมองหน้ากัน จากนั้นก็เริ่มหัวเราะ
ใช่ ซูเฉินคนปัจจุบันไม่ใช่ซูเฉินคนเดิมอีกต่อไป เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้ที่สามารถจัดการกับจักรพรรดิอสูร และชนชั้นสูงที่พยายามจะสั่งสอนตนได้ ทั้งที่ยังอยู่เพียงแค่ด่านก่อเกิดลมปราณอีกต่อไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นเหตุใดซูเฉินผู้ที่อยู่ในด่านสู่พิสดารจะต้องกลัวพวกเขา ? นอกจากนี้ ซูเฉินคนปัจจุบันคนนี้ยังมีคนค่อยสนับสนุนเขาอยู่อีกมากมายด้วย
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องไปพูดถึงมันแล้ว” ฉางจื่อซินกล่างพลางขยิบตา
ยังไงซะหัวข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ดังนั้นยิ่งพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มันก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนจะเข้าใจและแยกย้ายกันไป
ซูเฉินอยู่คนเดียวอีกครั้ง เขาจึงเดินเล่นไปรอบ ๆ อยู่สักพักก่อนจะสังเกตเห็นต้วนเจียงซานเดินมาทางเขา
“เจียงซาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?” ซูเฉินถามพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ยังเหมือนเดิม” ต้วนเจียงซานหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม “ไม่เหมือนเจ้า ที่ผ่านไปแค่ปีเดียว ชื่อเสียงกลับแพร่กระจายไปได้ไกลยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก”
“เรื่องแค่นี้เจ้าเองก็ทำได้” ซูเฉินพูดอย่างสบาย ๆ
ประโยคที่ธรรมดาที่ไม่มีความหมายอะไรพิเศษนี้ กลับสร้างความประหม่ากับต้วนเจียงซานอย่างไม่คาดคิด
ต้วนเจียงซานสวนกลับในทันที “ข้า ? ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถถึงขนาดนั้นหรอกนะ ซูเฉิน เจ้ารู้ไหมว่าข้าอิจฉาเจ้ามากแค่ไหน ?”
“หือ ?” ซูเฉินมองต้วนเจียงซานอย่างประหลาดใจ
ต้วนเจียงซานกล่าวต่อ “เมื่อตอนยังอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นเจ้าเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เจ้าไม่เคยปรากฏตัวในการจัดอันดับ ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลกับราคาของชื่อเสียง ทุก ๆ วัน เราต่างก็ต่อสู้กันเองอยู่ในสถาบันเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น เพื่อผู้หญิง ต่อสู้เพื่อทุกสิ่งที่สามารถแย่งชิงกันได้ ส่วนเจ้ากลับซ่อนตัวอยู่แต่ในหอพลังต้นกำเนิด และไม่เคยก้าวออกไปนอกประตูหน้า ในเวลานั้นไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับเจ้าสักคน … จนกระทั่งเรามาถึงปราการลุ่มน้ำทอง”
ต้วนเจียงซานพักถอนหายใจ “เจ้าอดทนมาเป็น 10 ปี แล้วระเบิดสร้างชื่อให้ตัวเองในคราวเดียว ตอนนั้นข้าคิดว่านั่นคือจุดสูงสุดของเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวันแห่งความรุ่งโรจน์ของเจ้า”
“ในขณะที่เราอยู่ในสถาบันเรานำหน้าเจ้าอยู่หลายก้าว เมื่อสำเร็จการศึกษาเรายืนอยู่เคียงข้างกัน แต่ตอนนี้ข้ากลับตามหลังเจ้าอยู่ไกลนัก ข้าอยู่ในกองทัพมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้เป็นมากไปกว่าหัวหน้าหน่วย และยังคงอยู่แค่ด่านทะลวงลมปราณขั้นปลายสุด แล้วเจ้าล่ะ ? เจ้าสามารถพูดและหัวเราะอย่างมีความสุขกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าเองก็ก้าวหน้าไปมากจนได้เลื่อนไปสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว…”
“เจ้ารู้ไหม ? มันยากมากจริง ๆ ที่ต้องเฝ้ามองเจ้าพูดคุยกับพวกเขาอย่างสบายใจจากที่ไกล ๆ มันอึดอัดจริง ๆ … ”
การที่ต้วนเจียงซานสามารถกล่าวเรื่องเช่นนี้ออกมาจากใจได้ แสดงว่าความอิจฉานั้นมากเกินพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ของเขา
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เจ้าคิดผิดไปบางเรื่อง”
“เรื่องอะไร ?”
“10 ปีที่อยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ข้าไม่เคยต้องอดทนเลยแม้แต่วันเดียว ข้าไม่เคยมีความตั้งใจที่จะเด่นดังอยู่บนท้องฟ้าในชั่วข้ามคืน เพื่อให้ผู้คนประหลาดใจกับความรุ่งโรจน์ของข้าเลยสักนิด ข้าไม่มีความจำเป็นที่ต้องซ่อนตัวและก็ไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้น ช่วงเวลา 10 ปีในสถาบันเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในชีวิตของข้า ไม่เคยมีความอดกลั้น มีแต่ความเพลิดเพลิน เพียงแค่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าถึงความเพลิดเพลินนั่นเท่านั้นเอง”
“เป็นเช่นนั้น ?” ต้วนเจียงซานพึมพำ
ซูเฉินกล่าวต่อ “ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองไล่ตามแตกต่างกันไป บางทีเจ้าอาจสนุกกับการได้รับการชื่นชมบูชาจากผู้คนนับล้าน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการแม้แต่น้อย ข้ายอมรับว่าอาจมีหลายคนที่ถูกข้าทิ้งไว้ข้างหลัง หลายคนชื่นชมและเห็นด้วยกับข้า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าตามหาเลย ทั้งหมดที่ข้าต้องการตามหา คือความจริงที่ซ่อนอยู่ในโลกนี้”
“ข้าอยากรู้ว่าพลังต้นกำเนิดนั้นคืออะไร ? ข้าอยากรู้ว่ามันมีวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากพลังต้นกำเนิดได้ดียิ่งกว่านี้หรือไม่ ? ข้าอยากรู้อนาคตของมนุษยชาติจะไปจบลง ณ ที่แห่งใด ? ข้าอยากรู้ว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริงคืออะไร ? ข้าอยากรู้แม้กระทั่ง… คนที่ทำให้ข้าตาบอดเป็นใครกันแน่ ?”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงของซูเฉินก็ค่อย ๆ เบาลง
คำพูดของเขาตรงไปตรงมาและเรียบง่าย แต่ความรู้สึกข้างในคำเหล่านั้นกลับจริงใจอย่างยิ่ง
สำหรับซูเฉิน เขาไม่เคยต้องการที่จะถูกชื่นชมบูชาจากผู้คนรอบข้างเลย ไม่ใช่กระทั่งการหาวิธีที่จะอยู่ยงคงกระพันหรือเป็นอมตะ
สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือความจริง การค้นหาความจริงของโลกนี้ !
นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ล้วนเป็นเพียงผลพลอยได้ขณะซูเฉินกำลังมองหาจุดหมายปลายทางของตนเท่านั้น
ต้วนเจียงซานตกตะลึง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าซูเฉินจะดูถูกสิ่งที่ตนต้องการมาตลอด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดต้วนเจียงซานก็พูดขึ้น “เห็นไหม ? แม้ในแต่อุดมคติของข้าก็ยังถูกเจ้าทิ้งเอาไว้ข้างหลัง”
“เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นให้น้อยลงบ้าง แล้วชีวิตของเจ้าจะมีความสุขมากขึ้น” ซูเฉินตอบกลับ