ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 3 แผนการ
บทที่ 3 แผนการ
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ซูเฉินก็พบว่าคนอื่น ๆ รอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
เมื่อซูเฉินมาถึง ข่งเฉิงก็คำรามเสียงไม่พอใจทันที “วางท่าใหญ่โตนักเชียว ! ยังไม่ทันไรก็เริ่มออกลายแล้ว !”
ฉือหมิงเฟิง เอ่ยตามตรง “ซูเฉินเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญ และสหายสนิทของอารามนิรันดร์ เราไม่ได้มีสหายมากหน้าหลายตานัก ช่วยเคารพเขาสักนิดด้วยเถอะ”
ซูเฉินรู้ว่าฉือหมิงเฟิงแอบบันทึกเหตุการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นจึงใช้คำพูดสุภาพเช่นนี้
ข่งเฉิงกลอกตา “นับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินถึงพันธมิตรที่ทำร้ายพวกเดียวกันเอง”
แม้เยว่หลงซาจะรับหน้าเรื่องสังหารหม่าเหรินเจ๋อไป แต่ทุกคนก็รู้ว่าซูเฉินคือมือมืดหลังม่าน ที่เขาต้องให้เยว่หลงซาออกหน้าเป็น ก็เพื่อสร้างทางลงให้ทั้งสองฝ่าย
ซึ่งในทฤษฎีเดียวกันนั้น หากข่งเฉิงตายไป ทุกคนก็ย่อมรู้ว่าต้องเกี่ยวพันกับฉือหมิงเฟิงแน่
แต่อย่างไรการคาดเดาก็เป็นเพียงการคาดเดา หากไร้หลักฐานมากพอก็ไม่อาจรู้ว่าเรื่องราวเชื่อมโยงกันลึกซึ้งมากแค่ไหน
ดังนั้นข่งเฉิงจึงหาเรื่องกับซูเฉินอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
หากแต่ไม่นานเรื่องราวก็กระจ่าง
ซูเฉินเดินเข้ามาพลางตอบ “เจ้าโง่หรือไร ? การเป็นพันธมิตรกันไม่ได้หมายความว่าจะปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างดีอะไร มันเหมือนกับการเป็นคู่หูและมีความสนใจเรื่องเดียวกัน ข้าเป็นพันธมิตรกับอารามนิรันดร์ รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่ามีเพียงอารามนิรันดร์ที่จะสามารถเสนอและกำหนดเรื่องพันธมิตรกับข้าได้ ส่วนคนที่ระดับต่ำกว่านั้นก็แค่มดปลวกไร้ค่า หากข้าเหยียบมดตาย ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องใส่ใจชื่อเสียงของเจ้าของมดตัวนั้น เพราะหากสายสัมพันธ์มันแน่นแฟ้นพอ ข้าตีสุนัขมีเจ้าของตายก็ยังได้”
“ว่าอะไรนะ ?” ข่งเฉิงจ้องซูเฉินด้วยนัยน์ตากร้าว
“ข้าบอกว่า…… ในสายตาข้า เจ้าก็แค่มดตัวหนึ่ง ข้าเป็นคนที่ทำผลประโยชน์มหาศาลให้อารามนิรันดร์ได้ อ้อ พูดถึงเรื่องนั้น ครั้งก่อนที่ร่วมมือกับอารามนิรันดร์ก็ได้หินพลังต้นกำเนิดมา 7-8 ร้อยล้านก้อน มีค่ามากกว่าชีวิตน่าสมเพชของเจ้ากี่เท่ากัน ?”
ข่งเฉิงเอ่ยเสียงขรึม “หากเราสังหารเจ้าไปตอนนั้น หินพลังต้นกำเนิดนับพันล้านก็จะตกเป็นของพวกข้า”
“ไม่หรอก พวกเจ้าจะไม่ได้อะไรเลย คิดหรือว่าข้าจะเหลือช่องว่างเช่นนั้นไว้ให้ ? นี่ล่ะ เจ้าถึงได้ยังเป็นคนไม่สำคัญคนหนึ่ง ทั้งที่มีชื่อเสียงพี่สาวคอยหนุนหลังแท้ ๆ ก็เพราะว่าโง่จนน่ากลัวเลยอย่างไรเล่า !”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ข่งเฉิงหน้าคว่ำ เขาเกลียดการที่ถูกกล่าวหาว่าพึ่งพาชื่อเสียงพี่สาวให้ได้ตำแหน่งมายิ่งกว่าอะไรดี
“อยากสู้กับข้าไหมเล่า ? ข้ารับปากว่าจะให้ศพเจ้าสมประกอบ” ซูเฉินเอ่ยเสียงสบาย
ซูเฉินไม่นับค่ากับขยะประเภทนี้ ขนาดพวกเลือดบริสุทธิ์ยังไม่อยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับเลือดผสม
หากจะให้เขามองศัตรูที่มีขั้นพลังเทียบเท่ากันอย่างจริงจังแล้วละก็ อย่างน้อย ๆ อีกฝ่ายต้องมีสายเลือดราชันอสูรหรือสูงกว่านั้น เพราะนั่นถึงจะนับเป็นพวกฝีมือดีในหมู่ยอดยุทธ์
ข่งเฉิงนั้นไม่มีค่าอะไรให้ใส่ใจ
ข่งเฉิงรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่มือของซูเฉิน อีกฝ่ายสังหารหมู่ตระกูลเหลียนด้วยตัวคนเดียว หากแต่ความโกรธในใจก็ยังไม่จางลง แต่ตัวเขาก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอ ทำได้แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะใช้สายตาฟาดฟันสังหารคน
ท้ายที่สุดฉือหมิงเฟิงก็ลงมือคลายสถานการณ์ “เอาล่ะ ๆ เราก็อยู่กลุ่มเดียวกัน อย่าทะเลาะกันเช่นนี้เลย ข่งเฉิง ซูเฉินเป็นแขกคนสำคัญของอารามนิรันดร์ เป็นอย่างที่เขาว่า หากไม่ได้เขา เราก็คงไม่ได้หินพลังต้นกำเนิด 800 ล้านก้อนมา ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราในช่วงหลายปีมานี้ดีขึ้นก็เพราะเหตุนี้ ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังก็มีมากขึ้น 2 เท่าล้วนเป็นเพราะท่านซู่ อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เลย”
ข่งเฉิงตะโกน “แต่เราก็ช่วยให้เขาได้เงินจำนวนมหาศาลเช่นกันนะ”
“นั่นก็เพราะความสามารถของซูเฉิน หากเจ้ายังต่อปากต่อคำไร้เหตุผลไม่หยุด ข้าจะรายงานเบื้องบน !”
เมื่อฉือหมิงเฟิงเริ่มโกรธขึ้นมาเช่นนี้ ข่งเฉิงก็ได้แต่กัดฟันทนไป
ฉือหมิงเฟิงดึงแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมา
หลังจากเปิดใช้งานแล้ว มันก็ฉายภาพปราสาทโบราณขนาดยักษ์ขึ้นมา
ฉือหมิงเฟิงชี้ไปที่ปราสาท “นี่คือปราสาทไหลน่าตะวันตก เป็นหนึ่งในปราสาทของปัวเอ่อร์ ภารกิจของเราคือการแทรกซึมเข้าไปในปราสาทโดยไม่ให้ปัวเอ่อร์รู้ตัว จากนั้นค้นหาทุกซอกทุกมุมเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณ”
“หนึ่งในปราสาทของปัวเอ่อร์ ? เขามีปราสาทมากกว่าหนึ่งหลังงั้นหรือ ?” ซูเฉินถามขึ้น
ฉือหมิงเฟิงตอบ “ปัวเอ่อร์มีปราสาททั้งหมด 6 หลังบนเกาะหุบเหว ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในทั้งหมดนั่นเท่านั้น ทุก ๆ หน้าร้อน ปัวเอ่อร์จะมาพักผ่อนที่นี่เป็นเวลาสั้น ๆ แต่ส่วนมากเขาจะอาศัยอยู่ที่ปราสาทอาลี่ในเขตตะวันตกเกาะหุบเหว ด้วยที่นั่นเป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสเผ่าเกล็ดทรายอาศัยอยู่ทั้งหมด”
“หรือก็คือเราไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัวเอ่อร์และพวกเผ่าเกล็ดทรายงั้นหรือ ?” เยี่ยเม่ยถาม
แม้แผนการโจมตีจะร่างไว้นานแล้ว แต่ก็มีเพียงฉือหมิงเฟิงที่รู้รายละเอียด และนี่นับเป็นครั้งแรกที่แผนการถูกเปิดเผยอย่างละเอียดให้ทุกคนรับรู้
“ใช่แล้ว หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัวเอ่อร์หรือเผ่าเกล็ดทรายจำนวนมากนัก” ฉือหมิงเฟิงตอบ “ปราสาทไหลน่าตะวันตกมีเผ่าเกล็ดทรายประมาณ 150 คน ส่วนมากเป็นพวกข้ารับใช้ มีไม่เท่าไหร่ที่เป็นนักรบ อีกทั้งด้านกำลังก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ที่แกร่งหน่อยก็จะมีหัวหน้าทหารยามนามข่าเล่อ เราจะใช้ยาวิญญาณโกลาหลกับเขา”
ลูกน้องคนหนึ่งแลบลิ้นออกมา “ข้านึกว่าจะเอาไว้ใช้กับปัวเอ่อร์เสียอีก”
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ปัวเอ่อร์เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังห้าแท่นบงกช มีจิตแข็งแกร่งมาก ยาวิญญาณโกลาหลอาจใช้กับเขาไม่ได้ผล อีกทั้งข้างกายยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังอีกมากมาย ดังนั้นจะเข้าใกล้เขาเพื่อใช้ยาอาจเป็นไปไม่ได้เลย เพราะยาชนิดนี้ต้องดื่มเข้าไปเท่านั้นจึงจะออกฤทธิ์”
“แล้วเราจะทำให้ข่าเล่อ ยอมดื่มยาอย่างไร ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ข้าจัดการเอง” ลูกน้องคนหนึ่งของฉือหมิงเฟิงเสนอตัว
เขาคือเฮ่อซื่อ
เฮ่อซื่อกล่าว “สายเลือดของข้าคือสายเลือดอสูรพันหน้า ข้าปลอมตัวเป็นเผ่าเกล็ดทรายแล้วแทรกซึมเข้าปราสาทไปได้”
อสูรพันหน้านั้นเป็นอสูรกายเจ้าเล่ห์ มีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ตราบเท่าที่สิ่งนั้นมีขนาดพอ ๆ กับตัวมัน
ตามแผนการของฉือหมิงเฟิงนั้น เฮ่อซื่อจะต้องเข้าใกล้ข่าเล่อ ด้วยการปลอมตัวเป็นคนในปราสาทไหลน่าตะวันตก จากนั้นก็แอบใส่ยาวิญญาณโกลาหลลงในอาหาร แล้วใช้ยาควบคุมอีกฝ่าย
และเมื่อคุมข่าเล่อได้เมื่อไหร่ อารามนิรันดร์ก็จะสามารถเปิดทางเข้าปราสาทและเข้าไปค้นภายในได้
เรียบง่ายทว่าใช้ได้จริง
แผนการชั้นยอดไม่จำเป็นต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อน จริง ๆ แล้วกลับตรงกันข้าม แผนการที่เรียบง่ายลงมือได้จริงต่างหากที่มีประโยชน์ที่สุด
เรียบง่ายหมายความว่าทั้งความยากลำบากและตัวแปรนั้นต่ำ
นั่นเป็นแผนการของฉือหมิงเฟิง
ปัญหาเดียวคือพวกเขาไม่รู้ว่าต้องค้นหาอยู่นานเท่าไหร่
พวกเขาขาดข้อมูลเรื่องสมบัติลับของเผ่าวิญญาณ ซึ่งเป็นจุดด้อยใหญ่ที่สุดของแผนการนี้ อีกทั้งยังเป็นตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงเรื่องต่าง ๆ ได้มากที่สุดอีกด้วย
หากแต่ในความเป็นจริงนั้น หากคิดจะลงมือทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องมีความมั่นใจว่ามันจะสำเร็จไปเสียทุกอย่าง
ดังนั้นฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ จึงพร้อมทำงานอย่างสุดฝีมือ
“หากล้มเหลวเล่า ?” ซูเฉินถาม
“เช่นนั้นเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ที่เหลือก็ต้องพึ่งโชคแล้ว ล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ควรเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ” ฉือหมิงเฟิงว่าพลางยิ้มบาง