ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 31 พลังจิตอันน่าตกตะลึง
บทที่ 31 พลังจิตอันน่าตกตะลึง
ไม่มีใครรู้ว่าในคลังสมบัติลับจะมีอะไรอยู่บ้าง
อาจจะดี อาจจะแย่ หรืออาจจะไม่ดีไม่ร้ายอะไร
แต่ไม่ว่าสิ่งที่เจอจะดีร้ายอย่างไร ซูเฉินก็อยากเป็นคนแรกที่ได้รู้ มีแต่วิธีนี้เขาจึงจะได้ผลประโยชน์สูงที่สุด นั่นคือการได้เลือกของเป็นคนแรก ของดี ๆ เขาจะได้เก็บไว้ เลี่ยงของไม่ดีไป การเป็นคนเริ่มลงมือหมายความว่าจะได้เลือกของดี ๆ ไปก่อน
ซูเฉินไม่อยากทิ้งสิทธิ์นั้นไป ดังนั้นแม้จะทำให้ถูกสงสัยแต่ก็จะคว้ามันไว้
โชคดีที่จูเซียนเหยาไม่สงสัย
หลังจากถูกลอบสังหารครานั้น จูเซียนเหยาก็เชื่อใจซูเฉินขึ้นมาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่สงสัยเขาแล้ว
นางคิดเพียงว่าคำของซูเฉินเป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถซุกซ่อนมากมายเช่นนี้” จูเซียนเหยากล่าวพลางส่งสายตามองเขาอย่างมีความหมาย
ในสายตาจูเซียนเหยา ซูเฉินอาจเป็นคนที่แสร้งทำเป็นหมูเพื่อกินเสือกระมัง
ซูเฉินจึงตอบว่า “ก่อนหน้านี้ก็ไม่สูงมากหรอก แต่หลังจากสายเลือดตื่นขึ้นก็รู้สึกว่าพลังจิตเพิ่มขึ้นเร็วมาก ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดหรือเพราะบาดแผลนี่กันแน่”
“หากบาดเจ็บเพิ่มพลังงานจิตได้ ข้ายอมถูกทุบวันละเจ็ดแปดรอบเลย” จ้าวจิ่งเหวินหัวเราะ
“ฝันไปเถอะ” จูเซียนเหยาหัวเราะเหอะ นางส่งเข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตาให้ซูเฉิน “เอ้านี่”
เมื่อรับมันมาแล้ว เขาก็เริ่มตั้งค่ายกล
สถานที่ตั้งค่ายกลประเภทนี้ที่ดีที่สุดคือในห้องโถงใหญ่ของปราสาท มันอยู่ใจกลางปราสาท ทั้งยังมีพื้นที่โล่งกว้าง ทำให้สามารถวางค่ายกลทั้งหมดได้
จูเซียนเหยาไม่คิดเสียเวลา รีบพาทุกคนมายังห้องโถงใหญ่ทันที
ซูเฉินหยิบแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเข้ามาในห้องโถง ยังไม่ทันได้วางมันลงก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านนอก
ข่าเล่อรุดหน้าเขามาท่าทางโกรธเกรี้ยว “แม่นางจูคิดจะทำอะไรกัน ?”
“ก็อย่างที่ท่านเห็น เรากำลังจะตั้งค่ายกลกันที่นี่”
มาถึงจุดนี้แล้ว จูเซียนเหยาไม่คิดมาเล่นตลกกับข่าเล่ออีก
ข่าเล่อเอ่ยเสียงเหี้ยม “ท่านหัวหน้าว่าไว้ไม่ผิด พวกเจ้าไม่ได้หมายจะมาทำการค้าอยู่แล้ว”
“แล้วอย่างไร ?” จูไป๋อวี่เดินหน้าขึ้นมา คว้าคอข่าเล่อไว้ “เจ้าหนู หากยังไม่อยากตายก็นิ่งไว้ ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้าเสียตอนนี้ !”
ข่าเล่อคำราม แต่ก็เงียบเสียงไป
ซูเฉินใจสะดุดอยู่เล็กน้อย เอ่ยเสียงเบากับจูเซียนเหยาว่า “เจ้าระวังด้วย เจ้านี่อาจจะมีอะไรผิดปกติ”
“เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งเสียเลย !” จูเซียนเหยาว่า
“ไม่ รอก่อน ! เราเปิดคลังสมบัติได้เมื่อไหร่ ค่อยให้เขาเป็นคนนำทางก็ยังได้” ซูเฉินกล่าว
เขาวางแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดบนพื้น แสงสว่างจ้าวาบเป็นจังหวะออกมาจากแผ่นนั้นส่องสว่างไปทั่วห้องโถง
ซูเฉินยืนอยู่ตรงกลาง เริ่มรู้สึกสายตาพร่ามัว พลังจิตเพิ่มสูงขึ้นในทันที
เส้นสายพลังจิตนับไม่ถ้วนเริ่มแผ่ออกจากร่าง มันสะบัดพลิ้วเกรี้ยวกราดจนมองด้วยตาเปล่าเห็น ลมแรงพัดทั่วห้องโถงใหญ่
นี่คือการที่พลังจิตของซูเฉินแกร่งขึ้นจนสามารถมองเห็นได้ ความสามารถในการแทรกแซงสภาพแวดล้อมของเขาก็ยิ่งสูงขึ้นจนมองเห็นได้ตามไปด้วย
ตอนนี้ซูเฉินสวมเข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตาอยู่ และได้ค่ายกลคอยช่วยเหลืออีก พลังงานจิตของเขาจึงแตะสูงถึง 800 หน่วย แต่เขาก็ยังไม่อาจสัมผัสความผันผวนพลังใดในปราสาทได้
“เทียนหย่าง รับนะ” จูเซียนเหยาปลดสร้อยข้อมือหยกออก
สร้อยข้อมือใสกระจ่างสามารถเพิ่มพลังจิตได้อีก 120 หน่วย จูเซียนเหยาใช้มันเพื่อเพิ่มพลังจิตให้นางอยู่ที่ราว 300 หน่วย แม้รูปร่างจะเหมือนของสตรีไปหน่อย ทั้งซูเฉินสวมแล้วออกจะเคอะเขินอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่ามาคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
แต่โชคร้ายที่ยังไม่ครบพันหน่วย
ซูเฉินหยิบโอสถปลุกวิญญาณแล้วกระดกหมดในคราเดียว
การดื่มโอสถปลุกวิญญาณ 3 ขวดในคราเดียวนั้นเป็นไปได้ แต่ผลที่ให้ในแต่ละขวดก็จะลดลงด้วย พอถึงขวดที่ 4 ก็จะไม่ให้ผลอะไรแล้ว
โอสถปลุกวิญญาณทั้งสามเพิ่มพลังจิตให้เขาอีก ซู150 หน่วย ดันเขาทะลุกำแพง 1000 หน่วยไปแล้ว
พลังงานจิตทรงพลังพลุ่งพล่านขึ้นมา เกิดเป็นพายุลมขึ้นในห้องโถง พลังจิตมีรูปร่างจับต้องได้ขึ้นมา นำพามาซึ่งแรงกดดันที่ทำเอาคนอื่น ๆ ผวา ราวกับว่ามีผู้เชี่ยวชาญทรงพลังยืนอยู่เบื้องหน้าตน
นี่คือแรงกดดันจิต !
แรงกดดันจิตที่มาจากพลังจิตอันกล้าแข็งของคนผู้หนึ่ง
แม้ความแข็งแกร่งของซูเฉินจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่แรงกดดันจิตที่แผ่ออกมานั้นอยู่ในระดับที่มีแต่มนุษย์ที่มีพลังอำนาจสูงสุดเท่านั้นจึงจะทำได้ แค่มีตัวตนของเขาอยู่ก็ทำเอาความกลัวแล่นขึ้นในใจทุกคนได้แล้ว ซึ่งมันก็มากกระทั่งทำให้คนทั้งหลายอยากก้มหน้าก้มตัวเคารพบูชาเสียด้วยซ้ำ
หากซูเฉินใช้วิชาจิตตอนนี้ ทุกคนคงได้ตกอยู่ในวิชาไม่เหลือรอดเป็นแน่
แต่น่าเสียดายที่แม้จะทรงพลังเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยของคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือเลย
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ยังสัมผัสสิ่งใดไม่ได้เลย”
“เป็นไปได้อย่างไร ?” จูเซียนเหยาว่า
พวกนางเสียเวลา เสียเงิน เสียพลังไปตั้งมาก แต่ก็ยังไม่อาจหาคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือพบหรือ ?
น่าผิดหวังนัก
“อย่าด่วนตัดสินใจเถอะ พันหน่วยนั่นแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น ไม่แน่อาจจะยังต่ำไป”
“ใช้คัมภีร์เลย !” จูไป๋อวี่บอกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน ยังมีนี่อีก” ซูเฉินหยิบของอีกชิ้นขึ้นมา มันคือผลึกแก้วต้นกำเนิดอสรพิษห้วงฝันผวาที่เขาชนะมาในงานประมูลหมู่เมฆเมื่อครั้งนั้น
ทุกคนชะงักไป ไม่คิดว่าซูเฉินจะซ่อนของดีไว้กับตัวเช่นนี้ จูไป๋อวี่นัยน์ตาส่องประกายประหลาดขึ้น
เมื่อใส่ผลึกแก้วอสรพิษห้วงฝันผวาลงในเข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา พลังจิตของซูเฉินก็เพิ่มขึ้นอีก 100 หน่วย
แต่ซูเฉินก็ยังสัมผัสอะไรไม่ได้อยู่ดี
เขากัดฟันแล้วฉีกม้วนคัมภีร์ออก
ตู้ม !
พลังงานจิตระเบิดออกจากร่างซูเฉินอย่างรุนแรง ถึงตอนนี้เขามีพลังจิต 1,370 หน่วยแล้ว
และเมื่อพลังงานจิตเขาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งโถงใหญ่จึงเต็มไปด้วยแรงกดดันที่แผ่ออกจากร่างซูเฉิน
ถึงตอนนี้ แรงกดดันจิตไม่เพียงแต่ส่งผลต่อจิตใจคนแล้ว แต่มันกลับส่งผลต่อร่างกายได้ด้วย หากใจซูเฉินต้องการ เขาก็สามารถใช้พลังจิตหยุดการเคลื่อนไหวคนเป็นกลุ่มได้ คนธรรมดาจะกลายเป็นเหมือนผี กระทั่งคนเช่นจูเซียนเหยาที่บ่มเพาะพลังมาไม่น้อยก็ยังต้านทานได้ยากยิ่ง
ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงน่ากลัวนัก พวกเขาสามารถใช้พลังจิตควบคุมจิตใจมนุษย์ได้โดยง่าย แล้วยังใช้วิชามายากับพวกเขาได้อีก
เมื่อพลังจิตสูงเช่นนี้แล้ว ซูเฉินจึงเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่าง
“ข้าสัมผัสได้แล้ว !” ซูเฉินร้องเสียงดังขึ้น
“อะไรหรือ ?” จูเซียนเหยาตะโกนกลับไปด้วยความตื่นเต้น
“เป็นคลื่นวน มันเป็นกระแสพลังวน…… อยู่…… อยู่เหนือศีรษะเรานี่เลย” ซูเฉินพูดแล้วก็แหงนหน้ามองเพดาน
หากแต่เพดานโถงใหญ่ก็ยังเรียบสนิท ไม่เห็นเป็นกระแสพลังวนแต่อย่างไร
“มันยังไม่เผยตัว” จูเซียนเหยาโพล่งออกมา
ซูเฉินจึงเข้าใจทันที “พลังจิตของข้าพลังจิตของข้ายังมีไม่มากพอจะบีบให้มันเผยตนโดยสมบูรณ์ บัดซบ เรายังขาดพลังจิตอีก แต่อีกนิดก็จะสำเร็จแล้ว ! ข้าสัมผัสมันได้ มันอยู่ตรงนั้นเอง ! แต่ข้าทำให้มันเผยตนไม่ได้ !”
ซูเฉินเริ่มตะโกนเสียงขุ่นขึ้น “อีก 130 หน่วย ข้าขาดอีก 130 หน่วยเท่านั้น !”
คลังสมบัติลับนี้จะถูกเปิดออกได้ด้วยพลังจิต 1500 หน่วย
แต่พลังจิตอีก 130 หน่วยนั่นจะหามาจากไหนได้อีกเล่า ?