ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 39 เข้าปะทะ
บทที่ 39 เข้าปะทะ
ตู้ม !
ปัวเอ่อร์เผยใบหน้าหมดความอดทน พลางขยี้ชามดินเคลือบที่ไม่ยอมหุบปากเสียที “ข้าเริ่มจะเบื่อเจ้าพวกนี้แล้วนะ ของที่ข้าต้องการเล่า ?”
“น่าจะอยู่ด้านหน้าแล้วขอรับ” ตาเหยี่ยวซาเค่อตอบ
พายุทรายขนาดย่อมหมุนวน กลายเป็นศรสีทองชี้ไปเบื้องหน้า
หากไม่ใช่ว่ามีของประหลาด ๆ โผล่เข้ามาอยู่เรื่อย ทำให้ไม่อาจเดินหน้าต่อ พวกเขาก็คงจะถึงที่ไปนานแล้ว
“เช่นนั้นก็รีบไปเสีย !” ปัวเอ่อร์ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไป
จู่ ๆ พลันมีเทียนเล่มหนึ่งโผล่ออกมา “อย่าได้คิดจะเอาของออกไปจากที่นี่เลยนะ !”
ปัวเอ่อร์กลอกตา “บัดซบเอ๊ย เจ้าเป็นเทียนเงินของโปรดข้าเสียด้วย เจ้าเองก็จะขวางข้างั้นหรือ ?”
เทียนเงินบิดร่างไปมา “ก็ไม่แปลก เพราะเลือดของหัวหน้าคนเก่าที่เจ้ารักและเคารพนักมันย้อมร่างข้าไว้นี่ หลังจากเจ้ายัดข้าลงคอเขา ข้าก็เปื้อนเลือดแค้น กลายเป็นเพลิงแห่งความเกรี้ยวโกรธที่เฝ้ารอเจ้าอยู่จนถึงตอนนี้”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” เผ่าเกล็ดทรายหลายคนจ้องเจ้าเทียนด้วยความตกตะลึง
“โอ๊ย เวรเอ๊ย !” ปัวเอ่อร์ตบหน้าผากตนเอง “ข้าน่าจะละลายเจ้าไปเสีย”
“หากข้าทำจากทอง เจ้าก็คงทำไปนานแล้วกระมัง” เจ้าเทียนว่า
ทหารคนหนึ่งจ้องหน้าปัวเอ่อร์ด้วยความโกรธ “ไหนท่านว่าหัวหน้าคนก่อนตายด้วยน้ำมือมนุษย์ไงเล่า”
“ใช่แล้ว ข้าพูดไว้เช่นนั้น เจ้าเองก็พูดว่าจะภักดีต่อข้าไปตลอดเช่นกัน” ปัวเอ่อร์ตวาดกลับ
ทหารผู้นั้นส่ายหน้า
เขาดูสับสน ราวกับไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ถอยไปทีละก้าวเท่านั้น
นั่นอาจเป็นวิธีประนีประนอมของเขากระมัง
แต่ปัวเอ่อร์เห็นแล้วกลับไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าไม่ควรยื้อสองอย่างไว้พร้อมกัน หากสละความภักดี นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าทรยศ” ปัวเอ่อร์เอื้อมมือไป
การเคลื่อนไหวนั้นไม่เร็ว แต่เพียงท่าเคลื่อนง่าย ๆ กลับทำให้ทหารผู้นั้นร่างลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาได้
เขาคว้าคอทหารผู้นั้นไว้ “ข้าเคยเห็นค่าเจ้า แต่สุดท้ายเจ้าก็โง่เง่าเกินไป”
จากนั้นก็บีบมือจนอีกฝ่ายคอหักในทันใด
“โอ๊ย !” เจ้าเทียนร้องพลางยกมือปิดหน้า “โหดร้ายเกินไปแล้ว !”
“เท่านี้ยังไม่เรียกว่าโหดร้ายได้” ปัวเอ่อร์ว่าพลางหยิบเจ้าเทียนขึ้นมา มันพลันร่างระเบิดในพริบตา
หากแต่เจ้าเทียนเงินก็ฟื้นคืนกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
มันพลันลอยขึ้นไป “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก !”
“ได้สิ ข้าออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะเผาทุกอย่างให้วอด วิญญาณไร้ชีพที่นี่จะสลายกลายเป็นผุยผง !” ปัวเอ่อร์คำรามเสียงเย็น
“ไม่นะ !” มีเสียงกรีดร้องดังลั่นทั่วปราสาท
ทั้งเทียน ไม้กวาด นาฬิกาลูกตุ้ม เปียโน จานต่าง ๆ ช้อนส้อม และถ้วยชาทั้งหลายต่างพุ่งเข้าใส่ปัวเอ่อร์
แต่แม้จะถูกทำลายได้เร็ว ความสามารถในการคืนร่างของพวกมันก็ทำให้ปัวเอ่อร์หัวเสียไม่น้อย
“ไสหัวไปซะไอ้พวกขยะ !” ปัวเอ่อร์ตะโกนเกรี้ยวกราด คลื่นทรายขนาดใหญ่พลันพุ่งออกจากร่าง ไม่ว่าขยะชิ้นใดที่หมายเข้าใกล้ล้วนถูกทรายขยี้เป็นผุยผง
พายุทรายน่าเกรงขามไม่ยอมสงบลง พวกวิญญาณไร้ชีพทั้งหลายจึงไม่อาจเข้าใกล้เขาได้
ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปยังทางที่ตาเหยี่ยวชี้ไว้อย่างดุดัน พวกเขาส่งเสียงดังเช่นนี้ จะลอบโจมตีคงทำไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงห้องโถงด้านบน ก็เห็นฉือหมิงเฟิงกับจูไป๋อวืยืนอยู่ด้วยกัน กระทั่งเขายังไม่มองว่าแปลก
เขาเอ่ย “เดิมทีอยากทำให้พวกเจ้าประหลาดใจ แต่ไอ้พวกขยะนั่นกลับทำข้าเสียเวลานานนัก น่ารำคาญจริง”
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ข้าว่าพวกมันช่วยเจ้าด้วยซ้ำ… เพราะพวกข้าเองก็เตรียมเรื่องที่ทำให้เจ้าประหลาดใจไว้เช่นกัน !”
ปัวเอ่อร์หรี่ตาลง “ฟังเจ้าว่า ดูเหมือนจะรู้ว่าข้าจะมาแล้วกระมัง ?”
จูไป๋อวี่คำราม “เรื่องนั้นไม่แปลก ทุกคนไม่ใช่คนโง่นี่”
ปัวเอ่อร์สีหน้าทะมึน กลิ่นอายความโกรธเริ่มแผ่ออกจากร่าง “แต่พวกเจ้าทำราวกับว่าข้าโง่ไม่ใช่หรือ ? ถึงได้คิดใช้แผนต่ำช้าเช่นนั้นมาหลอกลวงข้า”
จูเซียนเหยาหัวเราะเสียงเย็น “หากไม่ใช่เพราะท่านเคยถูกหลอกมาก่อนหลายครา อุบายเหล่านั้นก็คงมากพอจะรับมือคนอย่างท่านได้แล้วล่ะ”
“ย๊ากกกก !” ปัวเอ่อร์คำรามลั่น
จูเซียนเหยาทำให้เขาโกรธขึ้นมาได้สำเร็จ และราวกับว่าความโกรธเป็นแหล่งพลังพายุทรายที่พัดวนอยู่รอบกายเขา ด้วยฉับพลันนั้นมันกลับรุนแรงขึ้นมาก จากนั้นก็ขยายพุ่งเข้าใส่คนตรงหน้า
ฉือหมิงเฟิงยกมือขึ้น ก่อนสายลมแผ่วเบาจะพัดผ่าน หยาดฝนเริ่มปรอย พร้อมกันนั้นจูไป๋อวี่ก็ลงมือ แสงเรืองสีเลือดแผ่ออกจากร่าง ผสานเข้ากับหยาดฝนเป็นประกาย พุ่งเข้ายับยั้งพายุทราย
ได้เห็นความแกร่งของปัวเอ่อร์ก็ครานี้ แม้เขาจะเผชิญหน้ากับคนสองคน ทั้งคนหนึ่งยังมีสายเลือดจักรพรรดิอสูร ปัวเอ่อร์ก็ยังไม่เสียเปรียบสักนิด
พายุทรายบ้าคลั่งพุ่งไปไม่หยุดยั้ง ปะทะเข้ากับการโจมตีคู่ของศัตรูทั้งสองอย่างสูสี ไม่ว่าพายุพัดไปทางใด ของทั้งหลายก็ถูกทำลายสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวปราสาทหรือสิ่งมีชีวิตที่พูดได้ ล้วนถูกทำลายแล้วกลับคืนสภาพขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ในภาพฉายพลังงานสูญถูกทำลายแล้วสร้างใหม่วนเวียนไปไม่หยุด
แต่สุดท้ายสายเลือดจักรพรรดิอสูรก็คือสายเลือดจักรพรรดิอสูร หากสู้กันเช่นนี้ต่อไป ปัวเอ่อร์ก็ไร้หนทางเอาชนะคนทั้งสองได้
แต่ปัญหาคือเขาไม่ใช่เผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารเพียงคนเดียว
จังหวะที่คนทั้งสามต่อสู้พัวพันกันดุเดือด ทหารเผ่าเกล็ดทรายอีกคนก็ได้เข้าโจมตี และเขาเองก็อยู่ด่านสู่พิสดารเช่นกัน เลยทำให้พลังโจมตีผสานจากเผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารทั้งสองคน กำเนิดเป็นพายุทรายหมุนรุนแรงกว่าเก่า กดดันจูไป๋อวี่และฉือหมิงเฟิงไม่น้อย
เห็นดังนั้น ปาเลี่ยหยวน จ้าวจิ่งเหวิน และคนอื่น ๆ จึงลงมือบ้าง ทหารเผ่าเกล็ดทรายคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
การต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเริ่มแล้วทั้งจำนวนคนและความดุดันเข้าห้ำหั่นจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าทุกคนจะลงมือ และจะหยุดลงก็ต่อเมื่อตัดสินผู้ชนะแล้วเท่านั้น
หากแต่ซูเฉินไม่คิดเข้าไปสู้ด้วย
เมื่อศึกเริ่มต้น ซูเฉินก็ถอยออกไปทันที
“เจ้าจะไปไหน ? คิดจะหนีไม่ช่วยสู้หรือ ?” จูเซียนเหยาเดินตามมาแล้วร้องถาม
นางไม่ได้ละสายตาสังเกตซูเฉินเลยตั้งแต่ต้น
“ข้าจะไปหาคลังสมบัติของขาปี่เอ๋อซือน่ะสิ” ซูเฉินว่าพลางมุ่งหน้าไปอีกทาง
“เจ้าจะทิ้งพวกพ้องแล้วออกหาคลังสมบัติเองหรือ ?” จูเซียนเหยาเดินตามเขาไปติด ๆ เอ่ยถามเสียงตกตะลึง
“ใช่แล้ว” ซูเฉินตอบ ท่าทางราวกับตนไม่ได้ทำอันใดผิด “ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของเราอยู่แล้ว จะแพ้หรือชนะศึกไม่สำคัญ สำคัญที่บรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ต่างหาก เราไม่ได้มาเพื่อสังหารปัวเอ่อร์ แต่มาหาสมบัติลับ หากหาไม่พบ ชนะปัวเอ่อร์ไปก็ไร้ความหมายอยู่ดี กลับกันแล้ว ตราบเท่าที่เราค้นสมบัติพบ ถึงจะสู้แพ้ปัวเอ่อร์ แต่เราก็ยังบรรลุจุดประสงค์”
“เจ้าพูดเสียดิบดี แต่ที่พูด ๆ มาก็เป็นข้ออ้างใครความโลภของตนทั้งนั้น !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงดัง
“จริง ๆ แล้วกลับกันเลยต่างหาก เรื่องนี้ฉือหมิงเฟิงกับข้าคุยกันไว้นานแล้ว เจ้าจะตรงไปบอกเขาเลยก็ได้นะว่าข้าออกมาตามหาคลังสมบัติลับแล้ว เขาไม่คิดห้ามข้าหรอก ซึ่งเขาอาจไม่ แต่ปัวเอ่อร์อาจเข้ามาหยุดข้าก็เป็นได้”
จูเซียนเหยาชะงักไป “เป็นไปได้อย่างไร ? เขาไม่กลัวว่าเจ้าจะฮุบเอาของไปคนเดียวหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ไม่กลัวหรอก เทียบกันแล้ว ดูเหมือนข้าจะเป็นคนเดียวที่เขาเชื่อใจได้มากที่สุดแล้วกระมัง”