ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 40 แดนกายลวงตา (1)
บทที่ 40 แดนกายลวงตา (1)
ซูเฉินไม่ได้โกหกแต่อย่างไร หากฉือหมิงเฟิงสามารถเลือกคนเข้าคลังสมบัติได้เพียงหนึ่ง เขาก็จะเลือกซูเฉินเป็นแน่เพราะเขาเชื่อใจอีกฝ่ายมากที่สุด
ไม่ใช่เพราะนิสัยของซูเฉิน แต่เป็นเพราะคนทั้งสองต้องการของที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่างหาก
อารามนิรันดร์ต้องการสมบัติ เครื่องมือต้นกำเนิดล้ำค่า ทรัพยากรหายาก วิชาลึกล้ำ ทุกอย่างที่มีมูลค่า
แต่ซูเฉินต้องการเพียงอย่างเดียว นั่นคือความรู้
เขาไม่ขาดเงิน ในมือเขามีหินพลังต้นกำเนิดอยู่หลายพันล้าน และถึงจะใช้ไปไม่น้อย เขาก็ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งพันสองร้อยล้านก้อน
ไม่ว่าสมบัติใดก็ตาม หากมีป้ายราคาแปะไว้ย่อมหาซื้อด้วยเงินได้ ซึ่งก็คงไม่มีใครมีเงินมากมายเท่าซูเฉินอีกแล้ว กระทั่งผู้ครองแคว้นแห่งหลงซางก็ยังมีไม่มากเท่าเขา
สำหรับตัวเขา ของทุกอย่างที่หาซื้อได้ด้วยเงินนั้นนับว่าไร้ค่า ในสายตาเขามีแต่ความรู้เท่านั้น
หากแต่อารามนิรันดร์ไม่เห็นค่าของความรู้
ถึงจะได้มาโดยไม่เสียเงินสักแดง ก็ยังไม่เห็นค่ามันอยู่ดี
ส่วนหนึ่งที่ตกลงกันได้ เป็นเพราะสองฝ่ายต้องการคนละอย่างกัน ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงสามารถพูดได้ว่าเขาจะไปหาคลังสมบัติ และให้พวกเขารับมือการต่อสู้ไป
จูเซียนเหยาไม่เข้าใจตรงจุดนี้
แต่อย่างน้อยนางก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง
นางจ้องซูเฉิน “เจ้าไม่ใช่ลูกน้องฉือหมิงเฟิง ?”
“อะไรนะ ?” ซูเฉินชะงักไป
จูเซียนเหยากล่าว “เจ้ากล่าวชื่อฉือหมิงเฟิงขึ้นมาด้วยท่าทีสบายนัก ราวกับกำลังพูดถึงคนที่มีฐานะเสมอกัน เจ้าเป็นเพียงคนด่านทะลวงลมปราณ แต่กลับพูดกับฉือหมิงเฟิงราวกับฐานะเสมอกันเช่นนี้ เจ้าต้องไม่ใช่ลูกน้องเขาแน่ และ…… และเจ้าก็อาจไม่ใช่คนอารามนิรันดร์ด้วยซ้ำ !”
ซูเฉินไม่คิดว่าเขาเผลอพูดออกมาไม่กี่คำ จูเซียนเหยาจะล่วงรู้ได้มากเพียงนี้ เขาจึงชะงักไปก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
เขาหมุนตัวแล้วเดินต่อทันที
จูเซียนเหยายังตามมาไม่ห่าง “สีหน้าเจ้าบอกว่าข้าเดาถูก !”
ซูเฉินจึงหยุดเดิน ดูท่าจะโกรธ “แล้วนี่เจ้าจะตามข้ามาให้ได้อะไร ? ตกลงกันแล้วนี่ว่าสมบัติของขาปี่เอ๋อซือเป็นของพวกข้า”
“ก็เจ้าสัญญาว่าจะช่วยข้าฟื้นความทรงจำ ข้าย่อมต้องตามเจ้าไว้สิ ! เกิดหนีขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร ?”
“ฉือหมิงเฟิงสาบานไปแล้ว พอข้าเอาสมบัติออกมาได้ หลังจากออกจากที่นี่ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าแน่ !”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะกลัวอะไร ? ข้าก็รับปากแล้วว่าจะไม่แย่งสมบัติกับเจ้า แล้วเจ้ายังจะไล่ข้าไปอีกหรือ ? หรือว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่นอีก ?”
“หึ !” ซูเฉินแบมือทั้งสอง “จุดประสงค์อะไรอีก ? ข้าแค่ไม่ชอบให้เจ้ามาเดินตามข้าก็เท่านั้น”
“ข้าก็ไม่ได้ตามเจ้านี่ ข้าเดินอยู่ข้าง ๆ เจ้าเนี่ย อีกอย่าง เจ้าหาสมบัติได้ ข้าก็หาได้เช่นกัน! ข้ารับปากว่าจะไม่เอาของไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ออกตามหานี่ ข้าเพียงอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่เท่านั้น คงจะไม่เป็นไรกระมัง ?”
“……”
จูเซียนเหยามีไหวพริบไม่น้อย ซูเฉินไม่อาจปฏิเสธคำนางได้จริง ๆ
เขาคิดครู่หนึ่งก่อนเอย “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ไปหาเองเสียเล่า ? จะมาเดินตามข้าทำไม ?”
“เพราะเจ้ายังมีของที่ยังไม่ได้คืนข้าอยู่ !” จูเซียนเหยาว่าหน้าซื่อ
ของของเจ้า ?
ซูเฉินชะงักไป
เขานึกถึงบางอย่าง แล้วถอดสร้อยข้อมือใสกระจ่างออกจากข้อมือ “เอ้า”
ในเมื่อจากศัตรูกลายเป็นพันธมิตรแล้ว ถือของของอีกฝ่ายไว้กับตัวก็คงมากไปสักหน่อย
“แล้วก็เข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา” จูเซียนเหยาเอ่ย
“เจ้านี่ใช้ดี ข้าชอบ ข้าขอซื้อต่อ”
“หินพลังต้นกำเนิดร้อยล้านก้อน”
“เจ้าเลิกพูดเล่นเถอะ ผลึกแก้วประเภทพลังจิต 3 ก้อนในราคา 10 ล้านก็ดีแล้ว ข้าใช้เพียง 3.25 ล้านซื้อผลึกแก้วต้นกำเนิดอสรพิษห้วงฝันผวามา เข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตาคงมีมูลค่าราว 2 ล้าน เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าทั้งหมด 12 ล้าน”
“15 ล้าน ตระกูลจูไม่ขาดเงิน”
“13 ล้าน ข้าไม่เคยได้ยินใครที่ไหนที่ไม่ขาดเงินจริง ๆ มาก่อน”
จูเซียนเหยาจ้องเขาด้วยสายตามีความนัย “เจ้าเป็นใครกันแน่ ? มีไม่กี่คนนักหรอกที่จะยอมจ่ายเงิน 13 ล้านตาไม่กะพริบเช่นนี้ได้”
“ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ทีนี้เลิกตามข้าได้หรือยัง ?”
“เจ้ายังค้างเงิน 13 ล้านกับความทรงจำข้าอยู่ !”
“……”
ซูเฉินรู้ว่าอย่างไรก็คงสลัดจูเซียนเหยาไม่หลุดแน่
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าชอบตามข้านัก เช่นนั้นก็ตามไป แต่ข้าจะบอกไว้ก่อน อย่าเป็นตัวถ่วงข้า”
จูเซียนเหยาเบ้ปาก “นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าทำได้ดีเท่าไหน”
ซูเฉินคร้านจะใส่ใจนางอีก เขาจึงเดินหาสมบัติต่อไป
ทั้งสองเดินไปค้นหาของไป จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูสีดำขนาดใหญ่บานหนึ่ง
“ประตูนี่ไม่ได้อยู่ในปราสาทไหลน่าตะวันตก” จูเซียนเหยาเอ่ย
“เช่นนั้นก็คงเหมือนพิธีอัญเชิญโบราณ” ซูเฉินเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ สัมผัสบรรยากาศภายในประตู
โชคดีที่ครั้งนี้ประตูบานใหญ่ไม่ได้มีชีวิตขึ้นมาอีก
จากนั้นเขาก็บอกให้จูเซียนเหยาถอยไปเล็กน้อย
เขาทาบฝ่ามือบนบานประตู ก่อนจะค่อย ๆ ผลักมันเปิดออก
เสียงเอี๊ยดดังตามมา ก่อนบานประตูจะอ้าออก
ไม่มีตัวอะไรดุร้ายพุ่งเข้าใส่ มีแต่พื้นที่ว่างเปล่าดำสนิทเท่านั้น
ซูเฉินหยิงตะเกียงผลึกแก้วออกจากแหวนแล้วโยนมันออกไป แสงเรืองให้แสงส่องสว่างทั่วถ้ำขนาดใหญ่ เผยให้เห็นโถงทางเดินทอดตัวยาว ไม่รู้ว่าจุดหมายคือที่ใด แต่ตามกำแพงสองฝั่งนั้นเต็มไปด้วยหินมีค่าทั้งหลาย พวกมันส่องล้อแสงระยิบระยับงดงามตา
“หินกลีบดอกม่วง หินเมฆาแดงทะยาน และหินวิญญาณล่วงลับ…… นี่ขาปี่เอ๋อซือไปขุดเจอเหมือนหินล้ำค่ามาหรือไร ?” จูเซียนเหยาเดินเข้าไปหมายจะดึงหินก้อนหนึ่งออกมา แต่พบว่าพวกมันฝังอยู่แน่นมาก ต้องใช้แรงไม่น้อยถึงจะแกะออกมาได้
เมื่อนางคิดจะดึงอีกก้อนออกมา ซูเฉินก็หยุดนางไว้ “เลิกดึงมันออกได้แล้ว รีบเข้าไปด้านในเถอะ”
“ก็ข้าเห็นว่ามันสวยดี เลยคิดเก็บไป” จูเซียนเหยาว่าพลางมุ่ยหน้า
“ไม่ใช่ว่าให้ไม่ได้ ข้าไม่ใส่ใจเท่าไหร่หรอกเรื่องหินพวกนี้ แต่ข้ามีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าเราอย่ามาเสียเวลาอันล้ำค่าของเราไปกับของพวกนี้ดีกว่า”
จูเซียนเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป “แล้วเจ้าคิดถูกหรือไม่ ?”
“ไม่รู้สิ แต่หากข้าเป็นขาปี่เอ๋อซือ ก็คงไม่อยากให้ทายาทแห่งขุมสมบัติไปสนใจแต่หินสวย ๆ หรอกนะ”
จูเซียนเหยาพลันหน้าแดง “เจ้าล้อข้าหรือ ?”
“คิดมากไปแล้ว” ซูเฉินตอบ
เขารีบก้าวเท้าเดินต่อไป ไม่แม้แต่จะชายตามองหินล้ำค่าทั้งหลาย
เมื่อเห็นเงาร่างซูเฉินที่กำลังหายไป จูเซียนเหยาก็ถอนหายใจ “ก็ได้ ข้าว่าฉือหมิงเฟิงเชื่อใจเจ้านี่ไม่ผิดเลย”
นางเก็บหินพวกนั้นไป
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินที่ยาวจนน่าประหลาด ใช้เวลานานกว่าจะสุดทางเดิน
และเมื่อถึงปลายทาง ทั้งสองก็พบว่าตนอยู่ใต้ท้องฟ้าดาวระยับ ราตรี ที่ด้านบนเต็มไปด้วยแสงริบ ๆ ส่วนใต้เท้าก็เหมือนเป็นความว่างเปล่า แม้จะเหมือนไม่มีอะไรให้ยืน แต่ก็ไม่ได้จมลงไปราวกับเป็นสุญญากาศ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้าง
“ที่นี่มันที่ไหนกัน ?” จูเซียนเหยาถามด้วยความกลัวหน่อย ๆ
ซูเฉินมองรอบข้างก่อนตอบ “เจ้าไม่ต้องประหม่า พวกนี้ไม่ใช่ดาวจริง หากเดาไม่ผิด ตอนนี้เราคงเข้ามายังพื้นที่ที่สร้างจากพลังจิตแล้ว”
“เจ้าจะบอกว่าพวกเราถูกวิชามายางั้นหรือ ?”
“เปล่า เราเข้ามายังแดนกายลวงตาต่างหาก”
“มันต่างกันด้วยหรือ ?”
“ที่ต่างคือ…… สิ่งที่เข้ามามันไม่ใช่จิตของเรา !”