ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 42 ข้าไม่ชอบเลย!
บทที่ 42 ข้าไม่ชอบเลย!
เมื่อน้ำเสียงนั้นดังขึ้น เงาร่างหนึ่งก็เผยกายออกจากความมืด
ซาเค่อตาเหยี่ยวนั่นเอง
“เป็นเจ้าหรือ ?” ซูเฉินนัยน์ตาสั่นระริกเล็กน้อย
“ใช่ เป็นข้า !” ซาเค่อจ้องซูเฉินสายตาเย็นชา “เจ้าสังหารน้องชายข้า ข้าจึงมาแก้แค้น มันแปลกนักหรือ ?”
“น้องชาย ?” ซูเฉินอึ้งไป
“เจ้าไม่รู้หรือ ?” ซาเค่อเองก็ประหลาดใจนัก “ข่าเล่อเป็นน้องชายของข้า”
ซูเฉินจึงพลันเข้าใจ “เขาเป็นน้องของเจ้านี่เอง แต่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคงสังหาร……”
ทันใดนั้นซูเฉินก็เงียบไปแล้วหันมองจูเซียนเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า !?”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” จูเซียนเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “ข้าเป็นคนบอกเขาว่าเป็นเจ้าที่สังหารน้องชายเขา ข้ายังเป็นคนที่บอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ด้วย”
ซูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำเช่นนั้นทำไม ?”
จูเซียนเหยาถอยไปหลายก้าวก่อนตอบ “พวกเราไม่ใช่สหายกันอยู่แล้ว นี่ก็แค่เป็นพันธมิตรชั่วคราวเท่านั้น จะวางแผนตลบหลังกันสักหน่อยก็คงไม่แปลกกระมัง ?”
“ไม่แปลกหรอก” ซูเฉินพยักหน้า “แต่เจ้าอย่าลืมว่าหากข้าตาย เจ้าก็จะไม่ได้รู้ความจริงอีก”
ซูเฉินค่อย ๆ ดึงดาบหั่นภูผาออกมา
“ข้าย่อมรู้ แต่แล้วอย่างไร ?” จูเซียนเหยาเลิกคิ้วเอ่ยโต้ “เจ้าคิดว่าจับโหยวเทียนหย่างเป็นตัวประกัน กดดันพวกเราด้วยการขู่ว่ามีศัตรูตัวฉกาจร่วมกัน ล่อข้าด้วยสัญญาว่าจะช่วยข้าฟื้นความจำ เช่นนั้นจะทำให้ข้าเชื่อใจเจ้าโดยไร้คำถามหรือ ? ใช่ วิธีของเจ้าสมบูรณ์มีเหตุผล ใครที่มีหัวคิดย่อมเลือกไปกับเจ้า ทว่าโลกนี้ไม่เคยมีเหตุผล ข้า จูเซียนเหยา เป็นสตรี ข้ามีอารมณ์ความคิดเป็นของตน มีหรือจะให้เจ้าจูงจมูกได้ ?” นางพูดแล้วก็ชี้นิ้วใส่
ซูเฉินชะงักไป
จูเซียนเหยายังเอ่ยเสียงไม่ใส่ใจ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้ารู้ว่าข้าเกลียดเจ้า เกลียดความมั่นใจของเจ้าที่ทำราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุม… ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงเกลียดเจ้าเช่นนี้ แต่ข้าไม่ชอ บ!”
ใช่ นางไม่ชอบ !
จูเซียนเหยาจึงลงมือทำเช่นนั้น เป็นเหตุผลของนาง !
สำหรับนาง เท่านั้นก็มากพอแล้ว
“…เจ้า ไม่… ชอบ……” ซูเฉินพึมพำ
พริบตานั้น เขาก็จำเรื่องในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ตอนที่อยู่ในป่าไผ่เล็ก ๆ และความสุขใจที่ได้รู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
จูเซียนเหยาจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ทว่าความอัปยศอดสูที่ซึมซาบอยู่ในภาพฉากแห่งความล้มเหลวนั้นได้สลักลงในใจนาง นางรังเกียจ เดียดฉันท์ และไม่อาจเห็นด้วยได้โดยสัญชาตญาณ
ดังนั้นแม้นางจะรู้ว่าหากซูเฉินตายไปนางก็จะไม่รู้ความจริงอีก อีกทั้งทำไปนางก็ไม่ได้อะไร แต่นางก็ยังทำ
นี่คืออารมณ์ของสตรี
ไม่ใช่ว่าทุกอย่างในใต้หล้าจะตัดสินใจโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์และกำไรเท่านั้น
ยังมีคนหลายคน มีหลายตัวอย่างที่มักจะทำในสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรทำก็ตามแต่
ซูเฉินคิดคำนวณถูกต้องทุกประการยกเว้นเรื่องจูเซียนเหยา สุดท้ายจึงตกเป็นเหยื่อของนาง
จูเซียนเหยาเอ่ย “ตอนนี้ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยเถอะว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ! ข้ามีความรู้สึกว่า…. ข้าต้องจำเจ้าได้แน่ !”
นัยน์ตานางฉายแวววาดหวัง
ซาเค่อเอ่ยเสียงเย็น “ข้าก็อยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฆาตกรที่สังหารน้องข้าเช่นกัน !”
นัยน์ตาเขาฉายแววคมกริบ
แววนี้สามารถสะบั้นภาพลวงทั้งหลายออกได้ ศัตรูไม่อาจร่างแปลงไว้ได้อีก จะต้องกลับร่างเดิม ทำให้นักฆ่าทั้งหลายต่างเป็นศัตรูกับวิชานี้
ซูเฉินพลันรู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดในร่างพลุ่งพล่านขึ้นมา ราวกับเสียการควบคุม ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวและเริ่มเผยร่างจริงออกมา
จูเซียนเหยาเบิกตาจ้องซูเฉินเขม็งไม่กะพริบสักครา
ภายใต้อานุภาพตาเหยี่ยวของซาเค่อ ร่างอวบของ ‘โหยวเทียนหย่าง’ ก็เริ่มผอมลง ใบหน้ากลมเริ่มยาวขึ้น เปลี่ยนไปไม่หยุด แต่เมื่อใบหน้าที่แท้จริงของศัตรูกำลังจะปรากฏ จูเซียนเหยาก็เห็นเขาก้มหน้าลง ทันใดนั้นก็มีหน้ากากปรากฏขึ้นปิดบังใบหน้าไว้
หน้ากากไร้ค่านั่นคือหน้ากากปีศาจ
“ไม่ ! เวรเอ๊ย !” จูเซียนเหยาร้องลั่น
ซูเฉินหัวเราะ “อภัยให้ด้วย ข้าให้เจ้าเห็นใบหน้าไม่ได้จริง ๆ คุณหนูจูไม่เห็นจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะตกใจกลัวเอา”
ซาเค่อเริ่มเผยไอสังหารออกมา “เช่นนั้นข้าก็จะกระชากมันออกเอง !”
คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาพลันระเบิดออกจากร่างพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ก่อนที่แท่นบงกชจะปรากฏบนหน้าผากของซาเค่อ
ด่านสู่พิสดาร !
แท้จริงแล้วเป็นคนด่านสู่พิสดาร !
จูเซียนเหยาสีหน้าเปลี่ยนผัน
นอกจากนางจะประเมินซูเฉินผิดไปแล้ว ยังประเมินซาเค่อผิดไปด้วย ทหารที่ยืนอยู่หลังปัวเอ่อร์ ที่ดูอย่างมากก็เป็นได้แค่คนด่านทะลวงลมปราณขั้นสุด แท้จริงแล้วคือคนด่านสู่พิสดาร !
ปัวเอ่อร์จอมเจ้าเล่ห์ลวงทุกคนสำเร็จแล้ว !
กระทั่งซูเฉิน ยังประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเองก็ไม่คิดว่าซาเค่อจะอยู่ด่านสู่พิสดารเช่นกัน
ทว่าการเผชิญหน้ากับด่านสู่พิสดารก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังเช่นจูเซียนเหยา เขาหยิบยาขึ้นมาหลายขวดขึ้นมาดื่มก่อนควงดาบหั่นภูผาในมือ “ตอนนี้ร่วมมือกันได้หรือยัง ? หากเจ้ายืนกรานจะทำตัวงี่เง่า สุดท้ายก็มีแต่ตายทั้งคู่”
จูเซียนเหยากัดฟันตอบ “ข้าไม่ได้ทำตัวงี่เง่า”
“ข้าถามว่าจะร่วมมือกันหรือไม่ !” ซูเฉินเอ่ย
“ก็ได้ !” จูเซียนเหยาตะโกนตอบ
แม้นางจะหัวแข็ง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าหากซาเค่อสังหารซูเฉินได้ นางเองก็คงมีชะตาไม่ดีไปกว่ากัน
ซาเค่อหัวเราะเสียงเย็น “ไก่อ่อนสองตัว ไม่คุ้มค่า……”
ฟ้าว !
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ดาบหั่นภูผาก็ใหญ่ขึ้นสิบแปดจั้ง เมื่ออยู่ในการควบคุมของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดแล้ว มันก็ตวัดผ่านอากาศไปอย่างน่าเกรงขาม ตัวดาบโอบล้อมไปด้วยเพลิงสีดำมืด
ซูเฉินเปิดการโจมตีด้วยท่าสังหาร ยามต่อกรกับคนด่านสู่พิสดาร กระทั่งซูเฉินก็ไม่อาจยั้งมือได้
จูเซียนเหยาเองก็ลงมือเช่นกัน
นางไม่ได้ใช้ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ด้วยรู้ดีว่าพื้นฐานพลังของนางไม่มากพอจะปลดปล่อยพลังที่ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ควรมีได้
นางร้องเพลงออกมา
น้ำเสียงก้องกังวานกระจ่างแจ้งดังออกมา ท่วงท่าอ่อนหวานสะท้านจิตใจ ราวกับจะทำให้น้ำผุดจากหินได้
นางร่ายรำ
ท่าระบำของนางนั้นมีชีวิตชีวา สง่างาม และลื่นไหล ความงามไร้ที่ติหว่านเสน่ห์จับใจคนมองไม่ว่าเป็นผู้ใด
หมอกขาวเองก็เริ่มฟุ้งขึ้นมาเช่นกัน เกิดเป็นภาพงดงามดั่งภาพวาดกลางอากาศ
บทเพลงและท่วงท่างดงามได้เริ่มต้นขึ้น
บทเพลงคือกลอนหยกนิรันดร์ ทุกคำสลักในห้วงจิต ส่วนท่าร่ายรำคือระบำจิ้งจอกสวรรค์ ทุกการเคลื่อนไหวสะดุดสายตาคนมอง ส่วนหมอกคือหมอกสะเทือนวิญญาณ ทุกไอหมอกดึงจิตให้หลงเสน่ห์
จูเซียนเหยาเองก็ใช้วิชาสัมบูรณ์ของจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูเช่นกัน
คนธรรมดาเพียงเหลือบมอง ได้ยินเสียงกระซิบหนึ่ง หรือสูดหมอกเขาไปเล็กน้อย ก็จะสูญเสียสตินึกรู้ไปสิ้น บ้างอาจตกอยู่ในการควบคุมของนาง ให้นางใช้ได้ตามใจชอบเลยก็ยังมี
ทว่าซาเค่อนั้นไม่ธรรมดา
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร
แท่นบงกชคอยปกป้องจิตของเขาไว้ ทำให้เขายังมีสติกระจ่างอยู่ได้
กระทั่งคนที่มีพื้นฐานพลังเทียบเท่ากันยังใช้ระบำจิ้งจอกสวรรค์ล่อลวงเขาได้จาก ไม่ต้องกล่าวถึงจูเซียนเหยาเลย
ถึงกระนั้นจูเซียนเหยาก็ไม่ได้คิดทำเช่นนั้นแต่แรกอยู่แล้ว
นางไม่คิดจะทำให้ซาเค่อถูกลวงจิตได้ ทว่าก็ไม่ใช่ว่าระบำจิ้งจอกสวรรค์ตระกูลจูนั้นไร้ผลเสียทีเดียว
หากซาเค่อไม่อยากถูกวิชา เขาก็จำต้องแบ่งความสนใจมาอีกทาง ถูกทำให้เสียสมาธิ จิตใจอ่อนแอลง กระทั่งต้องแบ่งพลังต้นกำเนิดมาคุ้มครองจิตใจด้วย
เท่านั้นก็พอแล้ว
จูเซียนเหยาที่เคยประมือกับซูเฉินด้วยตนเองมาแล้วรู้ดีว่าเขาแกร่งเช่นไร
แม้บทเพลงและระบำของนางจะลดพลังของซาเค่อลงได้เพียง 2 ใน 10 ส่วน แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ซูเฉินมีหนทางชนะขึ้นมาได้แล้ว !