ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 45 คนที่สี่
บทที่ 45 คนที่สี่
ตุ้บ !
ซูเฉินล้มลงกับพื้นโดยแรงก่อนบ้วนเลือดออกมาคำหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้า
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากให้จูเซียนเหยาเห็นใบหน้า
เห็นได้ชัดว่าซาเค่อแกร่งกว่าเซินอวิ๋นหง นอกจากกำลังปกติแล้วเขายังมีสมบัติหลายชิ้นติดตัวด้วย
ซึ่งไม่น่าแปลกอะไร แม้เผ่าเกล็ดทรายจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงลูกน้องคนสนิทของผู้นำเผ่าเกล็ดทราย ดังนั้นเขาย่อมร่ำรวยกว่าเซินอวิ๋นหงที่เป็นผู้อาวุโสตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองห่างไกลอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเรื่องเงินหรือพลัง ซูเฉินก็ไม่อาจเอาชนะซาเค่อได้ ดังนั้นจึงต้องมาตามล้างตามเช็ดตนเองหลังจากถูกซาเค่อซัดจนหมอบ
แต่ไม่ว่าจะจนใจเพียงไหน ซาเค่อก็ยังคงรู้สึกคับข้องหมองใจกว่า
“กล้าทำให้ข้าบาดเจ็บเพียงนี้ ! บัดซบ ไอ้บัดซบเอ๊ย !” เขาคำรามคลั่ง เอียงศีรษะมุมประหลาดขณะที่นอนจมกองเลือดตนเอง “ข้าไม่มีวันแพ้ !”
“เวรเอ๊ย ยังไม่ตายอีก ?” เฮ่อซื่อสบถด่าพลางกุมท้องตน เขาวาดมือ แสงหลายเส้นซัดปะทะร่างซาเค่อทันที
ซาเค่อไม่สนใจมันด้วยซ้ำ เขาเค้นกำลังทั้งร่างเพื่อยกมือขึ้น ภายใต้การคุมพลัง ทำให้ธารทรายสีทองไหลเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง พากันมุ่งหน้าไปหาซูเฉิน
“หึ ยังจะดิ้นรนก่อนตายอีกหรือ ?” ซูเฉินจึงยกมือขึ้นบ้าง ก่อนเพลิงอัสนีหลายลูกจะถูกโยนออกไป
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
เปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งออกไป ระเบิดธารทรายทองแตกกระจาย หนึ่งในนั้นระเบิดใส่ร่างซาเค่อกระเด็นลอยไป
ทว่าศัตรูคนนี้หนังหนาไม่น้อย ยังสามารถกระแทกฝ่ามือหนึ่งใส่กิ้งก่าบนพื้นได้
ตู้ม !
แรงซัดแผ่ว ๆ ปลุกเจ้ากิ้งก่าให้ออกจากโลกมายา
“ฮ่า ๆ ไปสังหารมันเสีย !” ซาเค่อร้องลั่น
เจ้ากิ้งก่าจึงพุ่งเข้าใส่คนทั้งสาม
“ไม่นะ !” จูเซียนเหยาเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
ทว่าจังหวะนั้นก็มีเสียงผิวปากทุ้มต่ำดังมาจากไกล ๆ
เมื่อมันได้ยินเสียงนั้น เจ้ากิ้งก่าก็พลันพุ่งออกไปหาความมืดทันที
จากนั้นก็เกิดเสียงการต่อสู้ดังสนั่นขึ้น ทว่าด้วยความมืดบดบังสายตาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดอะไรขึ้น ?” ซาเค่อชะงักไป
“ไม่มีอะไร สหายข้าเอง” ซูเฉินตอบ
“เช่นนั้นไม่เผยตนหน่อยหรือ ?” เฮ่อซื่อกับจูเซียนเหยาถามขึ้นพร้อมกัน
“เขาระแวงคนแปลกหน้าน่ะ” ซูเฉินว่า
เฮ่อซื่อกับจูเซียนเหยาเหลือบมองกัน ไม่รู้ว่าทำไมซูเฉินจึงต้องทำซ่อนเร้นเช่นนี้
“ไม่ !” ซาเค่อร้องลั่น ทั้งโกรธทั้งสิ้นหวัง
ทั้งที่กำลังจะทำสำเร็จแล้วแท้ ๆ กลับมีคนยื่นมือเข้าแทรกอีกครา แล้วเขาจะยอมรับมันได้หรือ ?
ทั้งความโกรธที่อัดแน่นในอกและบาดแผลร้ายแรงผสานกันจนทำให้เขาขาดใจตายคาที่ไป
จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงโกรธ “เจ้าจะยังไม่ลดมือลงอีกหรือ ? หรือคิดจะปิดหน้าเช่นนั้นไปตลอด ?”
ซูเฉินถอนใจ ก่อนจะลดมือลง
ใบหน้าธรรมดาสามัญพลันปรากฏ
“เจ้า……” จูเซียนเหยาอึ้งไป นางไม่เคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน ชั่วอึดใจหนึ่งนางจึงเข้าใจเรื่องราว “นี่เจ้ายังปลอมตัวอยู่อีกหรือ ?”
เมื่อไร้ตาเหยี่ยวของซาเค่อแล้ว ซูเฉินจึงสามารถใช้วิชาร่างแปลงอีกครั้ง
“แทนที่จะมานั่งหัวเสียกับเรื่องนี้ เอาเวลาไปฟื้นพลังเถอะ” ซูเฉินว่าพลางโยนยาฟื้นพลังให้จูเซียนเหยากับเฮ่อซื่อ
“ดื่มขวดสีแดง ราดขวดสีฟ้าใส่แผล” ซูเฉินกล่าว
จากนั้นเขาก็หยิบขวดยาสีฟ้ามาเริ่มทาบนบาดแผลตนเอง
ชิ้นเนื้อขนาดกลางถูกตัดออกจากแขนขวาของเขา ที่อกก็มีแผลยาว ส่วนเครื่องในก็แทบจะระเบิดออกมารอมร่อ ทว่าเมื่อได้ยาสีฟ้าแตะที่บาดแผล เส้นใยเนื้อเยื่อนับไม่ถ้วนก็เริ่มผสานขึ้นที่บาดแผล ไม่นานมันก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิม ไม่กี่ชั่วอึดใจ แขนข้างที่ขาดไปของซูเฉินก็กลับมาเชื่อมกันอีกครั้ง
“นี่มันยาอะไรกัน ?” กระทั่งจูเซียนเหยายังไม่เคยเห็นยาที่ให้ผลฟื้นฟูน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อน
“เป็นยาที่แพงมากอย่างไรเล่า” ซูเฉินตอบ
หลังใช้ยาแล้ว บาดแผลของซูเฉินก็ฟื้นฟูจนสามารถยืนได้ ทว่ากระดูกที่หักยังไม่อาจสมานโดยเร็ว แม้จะได้ยาช่วยแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลากว่าจะหายเป็นปกติ
หากมีวิชาเช่นวิชากลืนสวรรค์ที่มีความสามารถฟื้นฟูอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ไม่มีผลลัพธ์เป็นเรื่องเสียสุขภาพละก็นะ ซูเฉินถอนใจกับตนเอง
หากมีเวลา ลองศึกษาดูอาจคุ้มค่ากระมัง
เสียงปะทะกันในความมืดยังดำเนินต่อไป ทว่าเงียบลงบ้างแล้ว
ไม่นานก็ถึงจุดจบ
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงทั้งหมดก็สงบลง
บังเกิดเสียงฝีเท้าแผ่วเบาขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนจะก้าวจากไปไกลแล้ว
เมื่อซูเฉิน เฮ่อซื่อ และจูเซียนเหยาเดินไปพบสถานที่ต่อสู้แห่งนั้น ก็พบเพียงซากกิ้งก่า ทว่าคู่ต่อสู้ของมันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
มาเงียบเชียบ
กลับเงียบเชียบ
เฮ่อซื่อกับจูเซียนเหยาชะงักไป
เป็นซูเฉินที่เอ่ยขึ้น “ที่นี่จะสลายแล้ว พวกเจ้าไปขุดเอาหินล้ำค่าพวกนั้นตอนที่ยังพอมีเวลาเถอะ”
เฮ่อซื่อกับจูเซียนเหยาจึงได้สติ รีบพุ่งเข้าไปขุดเอาหินล้ำค่าออกมาทันที ทว่าซูเฉินกลับไปเก็บเอาของลับที่เหลืออยู่ในพื้นที่นั้นและใช้ยาบางอย่างกับร่างของซาเค่อ
คนด่านสู่พิสดารหาช่างตัวจับยากจริง ๆ
สำหรับซูเฉิน คนผู้นี้เป็นของทดลองชั้นยอดทีเดียว
คนทั้งคู่เข้าไปในถ้ำที่มีแต่หินล้ำค่าเรียงรายเต็มไปหมด
จูเซียนเหยาบ่นพลางดึงหินออกมา “อย่างไรหินพวกนี้ก็ไม่ใช่ของข้า ทำไมข้าต้องช่วยเก็บด้วยเล่า ?”
“เพราะเจ้าเป็นคนที่ล่อไอ้ชั่วนั่นมาและทำเราเสียเวลา อีกทั้งเจ้ายังขังข้าไปเดือนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะข้าไว้หน้าซู…… ข้าก็คงไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก !”
จูเซียนเหยามือชะงัก “ไว้หน้าใครนะ ?”
“อ๋า ? ข้าบอกว่า…… ไว้หน้าให้สหาย” เฮ่อซื่อว่า
จูเซียนเหยาหน้าคว่ำ “ไม่ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกว่าสหาย”
เฮ่อซื่อหัวเราะเสียงแหย “เจ้านี่ขี้ระแวงจริง อาจจะฟังผิดก็ได้กระมัง ?”
จูเซียนเหยายิ่งหน้าทะมึน “เจ้าพูดคำว่า ‘ซู’…… คนผู้นั้นสกุลซูกระมัง ?”
เฮ่อซื่อเลียริมฝีปากดูประหม่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ซูหรือ ? ซูอะไร ? ฟังผิดแล้ว”
“โกหก !”
จูเซียนเหยาพลันกรีดเสียงเยียบเย็นออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแรงโกรธ
เฮ่อซื่อร้องเสียงตกใจเสียงเบาออกมา
เขาลืมไปเลยว่าหญิงบัดซบผู้นี้อ่านเขาออกว่าโกหกหรือไม่
จูเซียนเหยาเดินเข้าไปหาเฮ่อซื่อ “เจ้าโกหกทำไม ? ทำไมถึงปฏิเสธ ? สกุลซูแล้วอย่างไร ? ทำไมถึงบอกข้าไม่ได้…… สวรรค์”
ตอนที่นางหยุดพูดไป เช่นเดียวกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
นางจ้องหน้าเฮ่อซื่อนิ่ง “เขาคือซูเฉินใช่หรือไม่ ?”
เฮ่อซื่อกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน “เจ้าพูดอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจ”
“โกหก !” จูเซียนเหยาว่าต่อ
นางหันไป พบซูเฉินกำลังเดินออกมาจากห้องมืดพร้อมกับหิวร่างซาเค่อมาด้วย
ในที่สุดเขาก็จัดการทุกอย่างในห้องนั้นเสร็จแล้ว
เมื่อเห็นจูเซียนเหยากับเฮ่อซื่อยืนจ้องหน้ากันเช่นนั้น เขาก็ประหลาดใจอยู่บ้าง เลยถามขึ้นตามสัญชาตญาณ “พวกเจ้าทำอะไรกัน ?”
“ซูเฉิน !” จูเซียนเหยากล่าวคำ
ซูเฉินชะงักค้างไป
เป็นตอนนั้นเอง ดูท่าเวลาจะถูกหยุดลง ด้วยคนทั้งสามยืนนิ่งไม่ไหวติง
ซูเฉินยืนค้างอยู่เช่นนั้น