ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 47 กลับสู่ความจริง
บทที่ 47 กลับสู่ความจริง
ตู้ม !
เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นแล้วแดนกายลวงตาก็สลายลงอย่างสมบูรณ์
พื้นที่เริ่มบิดเบี้ยวหมุนเวียนราวกับบ่าน้ำวนก่อนมันจะพังทลายลง และหดตัวลงจนเหลือเพียงจุดขนาดเล็กก่อนจะหายไปในพลัน
หากไม่ได้ซูเฉินลากออกมาในจังหวะสุดท้าย เฮ่อซื่อก็คงหายไปกับแดนกายลวงตาแล้ว
“บ้าเอ๊ย ! ยังมีอัญมณีที่ข้ายังไม่ได้แงะออกมาอีกตั้งมาก ! เสียดายจริง !” เฮ่อซื่อกระทืบเท้าร้องเสียงกร้าว
เขายืนขวางหน้าซูเฉิน ใช้สายตาจ้องมองอย่างไม่ค่อยพอใจ “ท่านไม่คิดจะช่วยหน่อยหรือ ?”
“ข้าไม่สนอยู่แล้ว เราตกลงกันแล้วว่าของพวกนั้นเป็นของเจ้า ดังนั้นกับข้าก็ไม่ต่าง” ซูเฉิน ตอบ
“ว่าแล้วว่าต้องเอ่ยเช่นนั้น” เฮ่อซื่อถอนใจ
“เอาล่ะ ๆ อย่างไรครั้งนี้ก็ไม่ได้มาเปล่า ทั้งยังเอาชีวิตรอดออกมาได้นี่ ?” ซูเฉินตบไหล่เฮ่อซื่อพลางหัวเราะร่วน
“อืม ก็คงงั้น” เฮ่อซื่อมองไปรอบกาย “จูเซียนเหยาเล่า ? นางหายไปไหนแล้ว ?”
“สหายข้าพานางไปแล้ว ไม่ต้องห่วง นางไม่เป็นไรหรอก”
“มีหรือข้าจะห่วงนาง” เฮ่อซื่อถุยน้ำลายลงพื้น “ไปช่วยเหล่าฉือกัน”
“คงไม่จำเป็นแล้ว” ซูเฉินตอบ “แดนกายลวงตาถูกทำลายลง ภาพฉายพลังงานสูญก็จะสลายเป็นอันดับต่อมา พวกเราเตรียมกลับโลกจริงจะดีกว่า”
ขณะที่ซูเฉินกล่าว ก็เห็นภาพฉายของปราสาทเริ่มสั่นสะท้าน พวกวิญญาณไร้ชีพทั้งหลายเริ่มกรีดเสียงออกมา
“ไม่นะ โลกของเรากำลังจะสลายหรือ ?”
“เรากำลังจะตายกันแล้ว”
“ไม่ ข้ายังไม่อยากจากไป !”
“ไอ้พวกเวรนั่น ! พวกมันทำลายแก่นของโลกใบนี้ จุดจบของพวกเราใกล้เข้ามาแล้ว”
ทั่วทั้งปราสาทเริ่มมีแต่เสียงร้องหวนขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ปราสาทก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ปราสาทบางส่วนจะเริ่มพังลงมาและกลายเป็นฝุ่นผง
ทว่าครั้งนี้มันไม่ฟื้นกลับมาดังเดิมอีก
“ท่านทำอะไรน่ะ ?” เฮ่อซื่อเห็นซูเฉินยืนถือแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดไว้แล้วใช้มันชี้ไปทั่วทิศ
ซูเฉินตอบ “ข้าก็บันทึกมันไว้อย่างไร การพังทลายของภาพฉายพลังงานสูญนั้นหาดูได้ยากมาก พอข้ากลับไปแล้วข้าจะได้ทำความเข้าใจหลักการทำงานของวิชาพลังสูญให้ลึกซึ้งขึ้น ทำให้ข้าอาจหาทางปรับปรุงวิชาพลังสูญที่มีให้แกร่งกว่าเดิมขึ้นได้”
เฮ่อซื่อกลอกตา “ข้านับถือท่านจริง ๆ”
“จริง ๆ แล้วข้าก็นับถือตัวเองมากเช่นกัน” ซูเฉินว่าพลางยิ้มบาง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
เสียงปราสาทพังทลายลงดังมาให้ได้ยินจากที่ไกลขณะที่ซูเฉินกับเฮ่อซื่อค่อย ๆ เดินทางกลับสู่โลกจริง
พวกเขาพบว่าตนเองยืนอยู่ในโถงทางเดินในปราสาทไหลน่าตะวันตกที่คล้ายกับของในภาพฉายพลังงานสูญมาก ทว่าในจังหวะที่ภาพมายาเลือนกับความจริงเช่นนี้ก็ราวกับพวกมันมาซ้อนทับกัน และเมื่อภาพฉายพลังงานสูญค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ ภาพปราสาทไหลน่าตะวันตกก็ค่อย ๆ จางหายไป จนกระทั่งซูเฉินกับเฮ่อซื่อกลับคืนสู่โลกจริงโดยสมบูรณ์
พวกเขายืนอยู่ในโถงทางเดิน ซูเฉินรู้สึกราวกับกำลังร่วงหล่น ราวกับความตายกำลังจากลากเขาลงไปนรก แต่สุดท้ายก็พบว่ากลับมาอยู่ในอีกโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง……
“เป็นความรู้สึกที่ประหลาดจริง” ซูเฉินเงยหน้ามองเพดาน ปราสาทที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนภาพมายาทั้งหลายก็ค่อย ๆ จางหายไป
ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยประการฉะนี้
ยังได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากที่ไกล ๆ อยู่
นั่นคือฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ ที่ยังประมืออยู่กับปัวเอ่อร์
ซูเฉินยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว”
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไปทิศตรงกันข้าม หลังจากผ่านโถงทางเดินมาแห่งแล้ว ก็เดินเข้าไปหากำแพงธรรมดา ๆ แห่งหนึ่งแล้วลองเอามือลูบมันดู ทันใดนั้นพื้นกำแพงก็เกิดภาพสะท้อนราวกับเป็นกระจก ภาพที่เกิดขึ้นในกระจกคือภาพการต่อสู้ของ ฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ กับปัวเอ่อร์
ปัวเอ่อร์ ผู้นำเผ่าเกล็ดทราย มีแท่นบงกชห้าชั้น ทรงพลังเป็นอย่างมาก ทว่าสายเลือดจักรพรรดิอสูรของจูไป๋อวี่ก็ไม่ได้มีไว้อวดดีเฉย ๆ ทั้งสองฝ่ายสู้กันสูสี ไม่มีใครได้เปรียบ และเพราะภาพฉายพลังงานสูญสลายไปแล้วพวกเขาจึงกลับมาโลกจริง ตอนนี้กำลังต่อสู้พัวพันหนักหน่วงอยู่ในห้องโถงใหญ่ ครั้งนี้พลังทำลายล้างเป็นของจริง ดังนั้นกระบวนท่าพวกเขาจึงส่งเศษหินเศษของต่าง ๆ กระเด็นไปทั่ว ทั้งปราสาทสั่นสะเทือนเลือนลั่นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าอีกไม่นานก็จะถล่ม
“ข้าจะไปช่วย” เฮ่อซื่อเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยปาก
“ไม่จำเป็น อยู่ดูต่อเถอะ” ซูเฉินตอบ
ว่าแล้วก็หยิบผลึกแก้วหกเหลี่ยมออกมาแล้วโบกมันไปมาที่หน้ากระจก ห้องโถงใหญ่เริ่มมีแสงเรืองสว่างวาบขึ้น ต่อมา ริ้วแสงนับพันก็พลันซัดออกมาจากแพงปราสาท เข้าโจมตีปัวเอ่อร์กับพวกอย่างไรปรานี
การโจมตีนั้นดุเดือดอย่างเหลือเชื่อ แต่ละคราสามารถขจัดสิ่งกีดขวางจนสิ้น เผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งหลบไม่ทัน ถูกริ้วแสงจนร่างไหม้เกรียม
คนที่เห็นพลังน่าเกรงขามนี้ต่างสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
“ท่านทำได้อย่างไร ?” เฮ่อซื่อถามขึ้น
“เจ้าจำตอนที่เราตามหาคลังลับของขาปี่เอ๋อซือที่นี่ได้หรือไม่ ?”
“จำได้สิ แต่ตอนนั้นพวกท่านแค่หาค่ายกลไม่ใช่หรือ ?”
“ตอนนั้นข้าคิดดูแล้ว พบว่าข้าคงปิดตัวตนไปได้ไม่ตลอด หากพวกเขารู้ตัวจริงข้าเสียก่อนเล่า ? ถึงตอนนั้นจะให้เหล่าฉือมาช่วยก็คงไม่ได้ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยใช่ไหมเล่า ? ข้าก็เลยให้เหล่าฉือส่งค่ายกลโจมตีสักหลายอย่างมาให้และแอบติดตั้งมันไว้”
“อ้อ……” เฮ่อซื่อตอบ “เจ้าเล่ห์ไม่น้อย”
แท้จริงแล้วเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ซูเฉินทำเช่นนี้เป็นเพราะเขาอยากเรียนรู้เรื่องค่ายกลอีกหน่อย
หากอยู่ในปราสาทก็ทำการทดลองอะไรไม่ได้ ซูเฉินที่เห็นเวลาสำคัญยิ่งชีพจึงต้องหาอย่างอื่นทำ และอีกอย่าง ในใจเขาก็ยังหวั่นแกรงจูไป๋อวี่และคนอื่น ๆ อยู่ด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงเตรียมการพวกมันไว้เช่นนี้
แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะไม่ได้ใช้มันกับตระกูลจู แต่เป็นปัวเอ่อร์แทน
ตอนนี้ห้องโถงใหญ่ของปราสาทไหลน่าตะวันตกเต็มไปด้วยเสียงฟ้าลั่นดังสนั่น กระทั่งปัวเอ่อร์เองยังตกที่นั่งลำบาก
สุดท้ายก็รู้ว่าตนแย่แล้วจึงร้องขึ้น “หนีออกจากที่นี่ !”
เขาจึงคิดจะหนี
“หยุดมันไว้ ! อย่าให้มันหนีไปได้ !” เฮ่อซื่อร้องเสียงตื่นเต้นขึ้น
ซูเฉินกดไหล่ดับความตื่นเต้นอีกฝ่าย “ช่างเถอะ ด้วยกำลังของเราอาจหยุดเขาไว้ไม่ได้ มีแต่จะยิ่งทำให้ฝ่ายเราตกอยู่ในอันตรายกว่าเก่า อีกทั้งปล่อยเขาไปก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์”
“หือ ?” เฮ่อซื่ออึ้งไป “ทำไมว่าเช่นนั้นเล่า ?”
“ไม่คิดเลยหรือว่าหากปัวเอ่อร์ตายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?” ซูเฉินตอกกลับ
“ปัวเอ่อร์ตาย……” เฮ่อซื่อชะงัก เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
ซูเฉินถอนใจ “ตระกูลจู……”
เฮ่อซื่อพลันกระจ่าง “ใช่แล้ว ตระกูลจูหันมาเล่นงานเราแน่”
ตระกูลจูกับอารามนิรันดร์ร่วมมือกันเป็นเพราะปัวเอ่อร์ หากไร้ปัวเอ่อร์แล้ว ทั้งสองก็ต้องหันมาห้ำหั่นกันเองแน่
นี่เป็นสิ่งที่ซูเฉินไม่อยากให้เกิดขึ้น
“ว่ามาเช่นนี้แล้ว ต้นสายปลายเหตุที่อารามนิรันดร์เบาะแว้งกับตระกูลจูก็เป็นเพราะข้า ให้ข้าได้จบมันเถอะ” ซูเฉินถอนใจ
“ท่านไม่กลัวว่าหลังจบเรื่องแล้ว ตระกูลจูจะมาก่อกวนท่านหรอกหรือ ?” เฮ่อซื่อเอ่ยถาม
ซูเฉินเผยแววตาฉายแววประหลาด “จะมีอารามนิรันดร์อยู่หรือไม่ พวกเขาคงลืมข้าไม่ลงไปอีกนาน”