ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 59 ลอบโจมตี
บทที่ 59 ลอบโจมตี
จูเซียนเหยาเดินเคียงกันไปตามทางที่มีคนมากมายอย่างมีความสุข
นางในตอนนี้เหมือนดั่งหญิงสาวใสซื่อ แม้ยามโกรธจะน่ากลัวนัก แต่ก็ยังอดเหลือบมองนางไม่ได้ ทั้งยังมีพวกชอบความเจ็บปวดบางคนที่อยากให้นางเหยียบย่ำพวกเขาด้วยความเต็มใจด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินที่เดินเคียงจูเซียนเหยาจึงถูกสายตาขุ่นเคืองทั้งหลายจ้องเข้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ จูเซียนเหยาจึงยังเดินมีความสุขต่อไป ส่วนซูเฉินก็ได้แต่ส่ายหัวจนใจเท่านั้น
เขามีความรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
เขาได้แต่คิดเรื่องร้ายว่าจะเกิดขึ้นกับตนไว้ก่อน
และแน่นอนว่าเรื่องร้ายมันเกิดขึ้นเร็วยิ่งนัก
คนกลุ่มหนึ่งเดินมาขวางหน้าเขาไว้ ทำให้คนทั้งคู่ต้องหยุดฝีเท้า
จากนั้นบุรุษเจ้าสำรวยผู้หนึ่งก็โผล่ขึ้นเข้ามาทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับจูเซียนเหยา ก่อนพูดกับซูเฉินว่า “เอา นี่เงินหนึ่งพันตำลึงทอง”
ซูเฉินหันไปมองจูเซียนเหยาที่ยังกอดแขนส่งยิ้มให้เขาอยู่
หากเป็นปกติแล้ว จูเซียนเหยาคงมีท่าทีไม่พอใจ แต่ครานี้นางไม่โกรธ เห็นได้ชัดว่าเพราะอยากเห็นท่าทีของซูเฉิน
ซูเฉินยักไหล่ เอ่ยเสียงทุ้มกับคนผู้นั้น “อย่าหาว่าข้าไม่บอก สตรีที่เจ้าคิดจะซื้อคนนี้ นางอยู่ด่านทะลวงลมปราณ มั่นใจหรือว่าจะใช้เงินหนึ่งพันตำลึงทองซื้อได้ ?”
ด่านทะลวงลมปราณ ?
ชายสำรวยผู้นั้นดูตกใจนัก ซื้อคนด่านทะลวงลมปราณด้วยเงินเทียบเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งพันก้อนหรือ ? ไม่ว่าเขาจะทำตัวมีเงินทองเพียงไหน แต่ก็รู้ว่าทำเช่นนี้หมายถึงวอนหาที่ตาย เขากลัวจัดจนพูดไม่ออก ได้แต่ลนลานหางจุดตูดจากไปพร้อมกับลูกน้องเท่านั้น
จูเซียนเหยาบุ้ยปาก “เจ้าจะจัดการเช่นนั้นหรือ ?”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรได้อีก ? อย่างแรกทำเป็นกลัว ลวงให้เขาโจมตีข้า จากนั้นสั่งสอนให้จำไม่รู้ลืม หรืออาจจะสังหารให้หมดเสียเลยดี ?” ซูเฉินโต้
คิด ๆ ดูแล้วเขาก็เอ่ย “ใช่แล้ว เจ้าเป็นสตรี คงจะชอบเห็นบุรุษต่อสู้แย่งชิงเจ้ากัน เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นกระมัง ?”
จูเซียนเหยาตอบ “ข้าเพียงอยากรู้ว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้ามันล้ำลึกเพียงไหนก็เท่านั้น”
“เจ้าไม่ต้องรู้อะไรหรอก เพราะเจ้ารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
จูเซียนเหยาชะงักไป
ใช่ นางรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทำไมนางถึงยังให้ตนเองพยายามแหย่ให้เขาต้องแสดงท่าทีที่นางอยากเห็นด้วยนะ ?
ก็เพราะว่านางรักเขา และเพราะนางยังหวังให้เขามองนางเหมือนอย่างที่นางมองเขาอย่างไรเล่า
ใช่แล้ว นางหวังว่าซูเฉินจะยอมทำเพื่อนาง สั่งสอนเจ้าคนพาลพวกนั้นจนปัสสาวะราดกางเกงด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะนางจะได้รู้สึกว่าเขาอยู่ในการควบคุม แต่นางอยากได้รับการปกป้องจากใครสักคนมากกว่า
แต่แน่นอนว่านางไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้อง
กระนั้นนางก็อยากให้ซูเฉินปกป้องนาง
แม้มันจะไม่จำเป็นเลยก็ตาม
โชคไม่ดีที่ซูเฉินคงไม่ทำเช่นนั้นเพื่อนาง
เขาใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการแก้ปัญหา ไม่มีจุดสำคัญในเหตุการณ์อะไรทั้งสิ้น จูเซียนเหยาจึงได้แต่รู้สึกผิดหวัง
จูเซียนเหยาทั้งเจ็บปวดทั้งเสียใจจากเรื่องนี้ แต่นางก็ยังไม่คิดจากไป ได้แต่ใช้สายตาจ้องซูเฉินจนตาเขียวเท่านั้น
ซูเฉินเห็นนางเช่นนั้นก็ถอนใจ “เจ้าอยากให้ข้าสู้เพื่อเจ้านักใช่หรือไม่ ? ก็ได้ งั้นเจ้าดู”
อะไรนะ ?
จูเซียนเหยาอึ้งไป
นางมองเขาชักดาบออกมา
ปึง !
ดาบหั่นภูผาเงื้อขึ้นซัดพลังทำลายกำแพงที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะได้ยินเสียงร้องลั่นขึ้น
หยาดเลือดสาดกระเซ็น
เผ่าเกล็ดทรายที่ร่างแยกเป็นสองส่วนล้มคะมำกับพื้นไป
นี่มัน…
จูเซียนเหยาชะงักงัน
“มันรู้แล้ว !” เสียงปั่นป่วนดังขึ้นในพลัน
พริบตาเดียว ชายแก่ที่ขายชาเย็น คนขายอสูรอูฐ คนหาบของบนไหล่ หมอดู ข้ารับใช้ในร้าน และคนเดินผ่านไปมาก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน
กลุ่มคนทั้งหลายพุ่งออกมาจากร้านค้าเช่นกัน ถนนกว้างพลันเต็มไปด้วยฝูงชนนับสิบนับร้อยแห่กันมา
เผ่าเกล็ดทราย !
จูเซียนเหยาเข้าใจทันที พวกเผ่าเกล็ดทรายมาแก้แค้นนั่นเอง !
หลังจากโค่นปัวเอ่อร์ลงแล้ว ก็ยังมีพวกที่ภักดีกับเขาหลงเหลืออยู่ แม้พวกทหารเผ่าเกล็ดทรายส่วนมากจะทำการต่อสู้แย่งอำนาจภายในอยู่ก็ตามที
พวกเขาไล่ล่าซูเฉินมาจนถึงที่นี่ และหาโอกาสมาโดยตลอด
ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว !
ซูเฉินกับจูเซียนเหยาออกมาเพียงสองคน ในขณะที่มีเผ่าเกล็ดทรายกว่าร้อยที่พากันมาแก้แค้น
ที่น่าตกใจที่สุดคือพวกเขามีคนด่านสู่พิสดารมาด้วยสองคน !
สองคน !
เมื่อคนด่านสู่พิสดารทั้งสองปรากฏขึ้นต่อหน้า กลิ่นอายทรงพลังที่แผ่ออกจากร่างก็ทำให้ทั้งเขาและนางตกใจไม่น้อย
กำลังของซูเฉินในปัจจุบันพอสู้กับคนด่านสู่พิสดารเพียงหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่สู้พร้อมกันสองคน ยังไม่นับพวกคนอีกนับร้อยที่อีกฝ่ายยกทัพมาด้วย
ที่น่าตกใจกว่าคือ ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็ใช้พลังปิดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้ ทำให้ซูเฉินใช้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากหนีไม่ได้
“ฆ่ามัน !”
คนด่านสู่พิสดารที่นำหน้าชี้นิ้วใส่ซูเฉินพลางร้องตะโกน
“เร็ว รีบออกไปจากที่นี่ !” ซูเฉินหันมาตะโกนใส่จูเซียนเหยา
เขาคว้ามือจูเซียนเหยาได้แล้วก็เขวี้ยงนางไปด้านหลังทันที
จูเซียนเหยาไร้โอกาสตอบสนอง พริบตาเดียวนางก็ลอยออกมาไกล ในขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศก็เห็นว่าซูเฉินเผชิญหน้ากับเผ่าเกล็ดทรายสิบคนที่พุ่งเข้าใส่
“ไม่ !” จูเซียนเหยากรีดเสียง
สตรีทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีชายสักคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องและต่อสู้เพื่อพวกนาง
ทว่าเมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็พบว่ามันไม่ได้ซาบซึ้งใจสักนิด หากแต่เจ็บปวดต่างหาก
ใช่แล้ว ซูเฉินยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อปกป้องนางในที่สุด แต่นางกลับไม่อยากให้เขาทำเช่นนั้นยังดีกว่า
นางกลัว กังวล และกระทั่งเสียใจนัก
ใช่ ถึงตอนนี้นางมานึกเสียใจทุกอย่างแล้ว
นางเสียใจที่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำตนเอง น้ำตานางไหลออกจากสองตาอย่างไม่อยากควบคุม
ร่างนางลอยไปพร้อม ๆ กับที่เห็นซูเฉินต้องห้ำหั่นกับฝูงคนเผ่าเกล็ดทรายที่รายล้อม
ทั้งยังมีคนด่านสู่พิสดารคนหนึ่งเข้าโจมตี ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเม็ดทรายที่รุดเข้าใส่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่ควรยืดเยื้อ ดังนั้นจึงคิดจะรีบจบมันโดยเร็ว
คนด่านสู่พิสดารอีกคนพุ่งเข้าใส่จูเซียนเหยา
เขารุดมาเร็วดั่งสายฟ้า
บนใบหน้าเขาคลี่ยิ้มมุ่นใจ
คิดว่าถอยไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วจะหนีพ้นหรือ ?
อ่อนหัดนัก !
มีหรือที่ด่านทะลวงลมปราณจะเอาชนะคนด่านสู่พิสดารได้ ?
คนด่านสู่พิสดารผู้นั้นคลี่ยิ้มกำชัย
เขาจะจับตัวนังเด็กนี่มาคลายกำหนัดเสีย สตรีรูปโฉมงามเช่นนางคงจะเป็นสมบัติล้ำค่าในหมู่มนุษย์แน่ !
จูเซียนเหยาเห็นสีหน้าเหี้ยมของคนด่านสู่พิสดารแล้วก็นิ่งไป
นางจ้องด้วยความตกตะลึง หน้าซีดเผือด น้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อ เช่นนี้คือความกลัวกระมัง ? นางในตอนนี้ช่างดูมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
เผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารเห็นนาแล้วก็ยิ่งรู้สึกถูกกระตุ้น
“สาวน้อย มาอยู่ในความดูแลข้าดีกว่า !” ตะโกนลั่นจบ เกล็ดทรายก็เริ่มมารวมอยู่รอบตัวเขา ก่อรูปเป็นมือขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาคว้าร่างจูเซียนเหยา
จูเซียนเหยาไม่ขยับกาย ปล่อยให้คนเผ่าเกล็ดทรายคว้านางไว้ได้ พริบตานั้นชีวิตนางก็ตกอยู่ในกำมืออีกฝ่ายแล้ว
หากแต่นางก็ยังไว้ท่าทีอ่อนแอน่าสงสาร ร่างนางสั่นน้อย ๆ บนใบหน้าระบายไปด้วยความหวาดกลัว เผ่าเกล็ดทรายถึงกับใจสั่น คลายมือที่รัดร่างนางไว้ลงบ้าง
“ท่านคงไม่สังหารข้ากระมัง ?”
“แน่นอน ข้าไม่สังหารเจ้า” คนด่านสู่พิสดารเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ท่านจะรักจะดูแลข้าด้วยกระมัง ?”
“แน่นอน ข้าจะรักและดูแลเจ้า” คนด่านสู่พิสดารตอบด้วยความรักใคร่
“ท่านจะปกป้องข้าไม่ยอมให้ใครทำร้ายข้าใช่หรือไม่ ?”
“แน่นอน ข้าจะปกป้องเจ้าและจะหยุดใครก็ตามที่คิดทำร้ายเจ้า” คนด่านสู่พิสดารเอ่ยเสียงแน่วแน่
“ท่านจะฟังคำข้า ไม่ว่าข้าพูดอะไรก็จะทำตาม เช่นนั้นหรือไม่ ?”
“แน่นอน ข้าจะฟังคำเจ้า เจ้าพูดอะไรข้าย่อมทำตาม” คนด่านสู่พิสดารว่า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหลงใหล
“ท่านจะเคารพข้า นับถือข้า ยกให้ข้าเป็นผู้นำ หากผู้นำออกคำสั่ง ท่านก็จะกระโจนเข้ากองไฟ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อข้า ใช่หรือไม่ ?”
“แน่นอน ข้าจะยกให้เจ้าเป็นผู้นำ เคารพนับถือเจ้า หากหัวหน้าออกคำสั่ง ข้าจะกระโจนเข้ากองไฟ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้า !” คนด่านสู่พิสดารตอบพลางคุกเข่าลง