ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 60 ลวง
บทที่ 60 ลวง
หลายปีต่อมา จูเซียนเหยาเอ่ยถามซูเฉินว่าทำไมตอนนั้นถึงได้โยนร่างนางไปไกล เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนางไว้ ซูเฉินก็ตอบว่า “หากสองคนสู้พร้อมกันเช่นนั้นก็มีแต่ตายกับตาย แต่หากข้าสู้สุดกำลัง ซื้อเวลาให้เจ้าได้ เจ้าก็จะกลับมาพร้อมกำลังเสริม อย่างน้อยก็ทำให้เรามีหวังสักนิด หากมองเป็นกลการศึก อย่างไรก็ต้องทำเช่นนั้น”
ได้ยินแล้วจูเซียนเหยาก็จะโกรธนัก นางเชื่อว่าซูเฉินจงใจยั่วโมโหนาง
เขาชอบทำเช่นนี้ตลอด
เช่นเดียวกับที่เขาจะไม่มีวันยอมรับว่าเขาตกหลุมรักนาง
นั่นเป็นสิ่งที่จูเซียนเหยาคิดในใจ
ทว่าซูเฉินเองรู้ว่าตนเองคิดลงมือเรียบง่ายเช่นนั้นอยู่แล้ว
เมื่อตอนนั้น เขาทำเช่นนั้นเพราะเป็นทางรอดเดียว อีกทั้งหากจูเซียนเหยาหนีไปได้ก็จะลากทหารไปได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เขาสู้ถ่วงเวลาได้มากขึ้น
อย่างไรเขาตัวคนเดียวก็คงเอาชนะคนด่านสู่พิสดาร 2 คนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ด้วยมียา มีชุดคลุมเส้นใยปะการัง และกลยุทธ์ไพ่ตายทั้งหลาย อย่างน้อยเขาก็ยั้งไว้ได้ระยะหนึ่ง
ตอนนั้นเขาคิดเพียงเท่านั้น
หากแต่เขาไม่ทันคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสองเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน
อย่างแรก เขาไม่คิดว่าคนด่านสู่พิสดารคนหนึ่งจะไล่ตามจูเซียนเหยาไปจึงเป็นห่วงนางนัก อยากกลับไปช่วยนาง แต่คนด่านสู่พิสดารอีกคนก็ต่อสู้พัวพันไม่ยอมรามือ
อย่างที่สองคือคนด่านสู่พิสดารผู้นั้นจู่ ๆ ก็กลับมา แต่ครั้งนี้กลับมาแปลกนัก..
เขากลับมาพร้อมพลังเต็มเปี่ยม กระโจนเข้าใส่ด่านสู่พิสดารอีกคนที่ซูเฉินกำลังประมือ จากนั้นก็ออกท่าสังหารทันใด ฝ่ามือระเบิดทราย อีกคนจึงร้องลั่นทันที “เก๋อหลง เจ้าบ้าหรือเปล่า ? เจ้ากำลังโจมตีข้านะ !”
อีกฝ่ายไม่ตอบ ยังปล่อยท่าฝ่ามือออกมาไม่หยุด ส่งร่างทหารเผ่าเกล็ดทรายที่โจมตีซูเฉินกระเด็นไปพร้อมเสียงกระดูกลั่นกร๊อบ
สถานการณ์พลิกผันโดยพลัน กระทั่งซูเฉินยังฉวยจังหวะไม่ได้
เขาหันไปอยากได้คำอธิบายก็เห็นจูเซียนเหยากำลังเยื้องย่างเข้ามาอย่างกล้าหาญ
สายลมพัดเรือนผมนางสะบัดพลิ้ว ชุดกระโปรงยาวก็ไหว ๆ เป็นภาพที่ดูอาจหาญนัก
นัยน์ตานางเจือแววไฟหากแต่ดูเย็นยะเยียบ พ่นคำเหี้ยมออกมา “อย่าให้หนีไปได้แม้สักคนเดียว !”
คนด่านสู่พิสดารนามเก๋อหลงเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา ไม่ไว้ชีวิตแม้พ่อค้าเร่เผ่าเกล็ดทรายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ทั้งหมดถูกกลบฝังอยู่ภายในพายุทรายหนั่นแน่น
“วิชาลวงเสน่ห์ ! เป็นวิชาลวงเสน่ห์ !” ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเผ่าเกล็ดทรายในที่สุดก็รู้ความ “เป็นไปได้อย่างไรกัน ? เจ้าทำได้อย่างไร ? เจ้าอยู่แค่ด่านทะลวงลมปราณ จะคุมคนด่านสู่พิสดารได้อย่างไร ? เก๋อหลง ตื่นสิ ! บัดซบ รีบตื่นเร็วเข้า !”
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนดังเพียงไหน เก๋อหลงก็ยังฆ่าสังหารเผ่าเกล็ดทรายต่อ ทำให้ซูเฉินไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยซ้ำ ด้วยยังมีดาบหั่นภูผาที่บินไปเลือกสังหารเหยื่อเอาเองแล้ว
แต่กำลังของเก๋อหลงเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่พอจะสยบทั้งกองทัพ ทว่าการที่จูเซียนเหยาคุมเขาเสียอยู่หมัดก็ทำให้คนอื่น ๆ สั่นถึงทรวงใน
แรงกดดันจากสหายร่วมทัพที่พลันกลายเป็นศัตรูส่งผลให้ด่านสู่พิสดารอีกคนหนึ่งไม่อาจสำแดงพลังเต็มที่ได้ ดังนั้นจึงได้ถูกข่มพลังเอาไว้เช่นนั้น
พอถึงเวลาที่เขาฟื้นสติและหมายจะสู้เต็มกำลังมันก็สายไปแล้ว
เก๋อหลงกำลังมีพลังอยู่ในช่วงสูงสุด แต่ทหารทั้งหลายสิ้นใจไปแล้ว ด้วยดาบบินของซูเฉินก็ช่วยจัดการเสริมอีกแรง
ส่วนซูเฉินเองยังไม่ได้ออกกระบวนท่าใด เพียงใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาสะกดคนด่านสู่พิสดารให้แน่นิ่งไปเท่านั้น
มันเป็นอีกวิชาที่ไม่ใส่ใจด่านพลัง เมื่อใช้กับด่านสู่พิสดารก็ได้ผลดีนัก
คนด่านสู่พิสดารผู้นั้นชะงักนิ่งไป พริบตาต่อมา ฝ่ามือเก๋อหลงก็กระแทกอกเขา ทำลายเกราะป้องกันจนกระจาย ดาบหั่นภูจึงพุ่งเข้าไปซัดเข้าที่กลางหน้าผาก
กระบวนท่าติดกันสองครา ปลิดชีพภายในคราเดียว !
และการลอบสังหารก็จบลงเท่านั้น
ตอนนั้นข่าวเรื่องการต่อสู้ยังไม่แพร่ออกไป ยังไม่ถึงหูจูไป๋อวี่กับคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ
ซูเฉินกับจูเซียนเหยาไม่รีรอ รีบออกจากที่นั่นทันที เผ่าเกล็ดทรายนามเก๋อหลงก็ตามไปด้วย
ซูเฉินเหลือบมองนางก่อนถาม “ทาสนิรันดร์ ?”
จูเซียนเหยาก้มหน้าลงพึมพำ “ใช่แล้ว”
ทาสนิรันดร์เป็นวิชาคุมจิตเฉพาะของตระกูลจู เมื่อกลายเป็นทาสแล้วจะไม่อาจคลายได้อีก ซึ่งต่างจากวิชาจากสายเลือด อันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สายเลือดจักรพรรดิอสูรจึงทรงพลังนัก
หากแต่การใช้ทาสนิรันดร์ก็ต้องมีค่าตอบแทนสูง ผู้ใช้จะเสียพื้นฐานพลัง ต้องใช้เวลา 3 ปีในการฟื้นฟู
สายเลือดตระกูลจูเดิมทีไม่อนุญาตให้คุมคนที่มีพลังสูงกว่า ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การเสียพื้นฐานพลังอันมีค่าเพื่อคุมคนด่านทะลวงลมปราณลงไปนับว่าไม่คุ้มค่าอะไร จูเซียนเหยาจึงไม่เคยใช้ทาสนิรันดร์กับใครมาก่อน อย่างน้อยก็ต้องรอให้นางถึงด่านสู่พิสดารก่อนถึงจะควรใช้
ทว่าสสารราคะเสน่ห์ของซูเฉินทำให้นางสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด ใช้มันกับเป้าหมายที่มีด่านพลังสูงกว่าได้ และทำให้โอกาสใช้วิชาสำเร็จสูงตามไปด้วยเช่นกัน ผลคือจูเซียนเหยาสามารถคุมคนด่านสู่พิสดารได้ในที่สุด
แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับไร้แววสุขใจบนใบหน้าจูเซียนเหยา
นางก้มหน้าลง สีหน้าเหมือนเด็กรู้สึกผิด ราวกับรอให้ซูเฉินดุนาง
ซูเฉินถอนหายใจกล่าว “ปัญหาผลข้างเคียงของสสารราคะเสน่ห์ที่มีต่อผู้ใช้ถูกแก้ไปนานแล้วกระมัง ?”
ถูกต้อง
ซูเฉินรู้ความจริงในที่สุด
นางใช้วิชาทาสนิรันดร์ แต่ไร้วี่แววหลงใหลมัวเมา นางไม่ได้รับผลกระทบสักนิด
หมายความว่านางโกหกเขามาตลอด
ไม่น่าล่ะ !
ไม่แปลกที่เขาพบทฤษฎีที่ควรจะได้ผล แต่มันกลับไร้ผล
ก็เพราะนางหลอกเขามาโดยตลอด !
เขาจ้องจูเซียนเหยานิ่ง
จูเซียนเหยาน้ำตารื้นขอบ “ใช่แล้ว ข้าโกหกเจ้า เจ้าแก้ปัญหาได้เมื่อตอนสิ้นเดือนแรก แต่ข้าไม่อยากปริปากบอก…… เพราะข้ารู้ว่าหากบอกว่าไร้ปัญหาแล้ว เจ้าก็จะทิ้งข้า ไม่รู้สึกว่าติดค้างอะไรข้าอีก และก็จะไล่ข้าไป จากนั้นเจ้าก็จะได้ทำการทดลองอย่างสงบและไปหลงซี ไปหากู่ชิงลั่ว ข้าไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น……”
ซูเฉินถอนใจ “ข้าไม่โทษเจ้า”
“เผียะ !” ซูเฉินถูกตบไปคราหนึ่ง
จูเซียนเหยาตะโกนลั่น “ทำไมถึงไม่โทษข้าเล่า ? คิดว่าพูดแบบนั้นแล้วมันใจกว้างมากนักหรือ ? ว่าอภัยให้ข้าหรือ ? ข้ารักเจ้า อยากอยู่กับเจ้า อยากนอนบนเตียงเดียวกับเจ้า แต่เจ้าอยากเพียงให้อภัยข้างั้นหรือ !? คนบัดซบ !”
ซูเฉินชะงักไป
เขารู้สึกว่าที่นางว่ามาก็มีเหตุผล
แต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยขอโทษ จูเซียนเหยาก็โผเข้าอ้อมกอดเขาแล้วรัดร่างเขาแน่น “ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าตบเจ้าเลย ตอนที่เจ้าโยนข้าไปเพื่อช่วยข้า ข้าดีใจมาก ๆ…… เจ้าก็ยังเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่ ? เจ้าเต็มใจสละชีวิตให้ข้า แล้วทำไมถึงทำตัวอบอุ่นอ่อนโยนกับข้าบ้างไม่ได้เล่า ?”
นางจ้องตาซูเฉิน ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
……
เช่นนี้จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรกัน ?
ซูเฉินกลืนน้ำลายลงคอ สุดท้ายก็ทำตามแผนไม่ได้
พริบตานั้น ตอนที่เห็นท่าทางน่าสงสารของจูเซียนเหยา ใจเขาก็อ่อนยวบลงขั้นหนึ่งไม่รู้ตัว
จูเซียนเหยายังกอดเขาแล้วพูดต่อ “ช่างมันเถอะ ข้ารู้ว่าหวังมากไป เจ้าก็เป็นเจ้า ไม่รู้จักความอ่อนโยน ถึงรู้เจ้าก็ไม่แสดงให้ข้าเห็นหรอก ตอนนี้เจ้ารู้ว่าข้าโกหก เจ้าจะไล่ข้าไปหรือไม่ ?”
ในที่สุดซูเฉินก็ตอบสนองบ้างแล้ว
ชายหนุ่มคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “มีเพียงตัวยาที่สำเร็จ ดังนั้นวิชาจึงใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่สามารถก้าวผ่านสายเลือดได้ ข้าสัญญาว่าจะทำให้สายเลือดเจ้าแกร่งขึ้น ไม่ใช่ให้ยาที่แกร่งขึ้นกับเจ้า ฉะนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย”
จูเซียนเหยาจึงคลี่ยิ้มหวานทันที