ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 61 อำลา
บทที่ 61 อำลา
แม้แต่ซูเฉินเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะกลายเป็นการทดสอบที่ยาวนานกว่าครึ่งปี
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้จูเซียนเหยากับซูเฉินได้ทำตัวเหมือนสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันต่อหน้าสาธารณชนอยู่ตลอดเวลา
จูเซียนเหยาไม่คัดค้านอะไรเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อนางตอบกลับเรื่องนี้ไปยังตระกูลจู ทั้งตระกูลจูก็แทบจะบ้าคลั่ง
มีความสุขจนแทบจะบ้า
อาจกล่าวได้ว่า การเพิ่มพูนความสามารถทางสายเลือดเป็นความฝันที่ทุกตระกูลต้องการให้เป็นจริง มูลค่าที่แท้จริงของมันมีมากเกินกว่าทักษะเข้าถึงด่านกลั่นโลหิตไม่ต้องพึ่งสายเลือดเสียอีก อย่างน้อยตระกูลจูก็คิดเช่นนั้น อย่างหลังนั้นทำให้สามารถผลิตผู้เชี่ยวชาญระดับล่างมากขึ้นก็จริง แต่ก็คงจะได้เพียงไม่กี่ราย ในขณะที่อย่างแรกนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของทั้งตระกูลได้
สิ่งที่ซูเฉินมอบให้กับตระกูลจูคือความสามารถในการเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ทักษะควบคุมของพวกเขา ความสามารถเช่นนี้เรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่ง และในบรรดาวิชาลวงเสน่ห์ก็แทบจะไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนเลย
ที่เผ่าวิญญาณสามารถควบคุมผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าตัวเองให้กลายเป็นทาสวิญญาณได้ นั้นเพราะพวกเขากำหนดเป้าหมายไปที่จิตสำนึกของฝ่ายตรงข้าม ทว่ามันก็สามารถควบคุมได้เพียงแค่บุคคลที่มีพลังจิตอ่อนแอกว่าตัวพวกเขาเองเท่านั้น
ราชวงศ์เหลียวเย่ มังกรมายาตระกูลหลี่ พวกเขาสามารถควบคุมคนที่แข็งแกร่งกว่าได้ไม่ใช่ในระหว่างการต่อสู้ แต่เป็นการแทรกซึมเข้าไปในความฝันของอีกฝ่าย
นับประสาอะไรกับตระกูลเล็ก ๆ อย่าง ผีเสื้อลวงตระกูลจินหรือเจ้าแมงมุมปีศาจตระกูลโจว พวกเขาต้องเลือกเป้าหมายตามระดับที่เหมาะสมกับตน และถึงแม้ว่าพื้นฐานการบ่มเพาะของพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็ยังสามารถควบคุมได้เฉพาะเป้าหมายที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น พวกเขาไม่เคยคิดฝันที่จะกระโดดข้ามขั้นไปหาผู้แกร่งกว่าอย่างแท้จริงเลยสักนิด
หรืออาจกล่าวได้ว่า การควบคุมที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินจะนึกฝันได้มากไป ตระกูลใดที่เชี่ยวชาญในทักษะควบคุมย่อมจะต้องกระหายในความสามารถดังกล่าวอยู่แล้ว สำหรับการสูญเสียเวลาฝึกฝนไปถึง 3 ปีนั้น หากพวกเขามีเงินมากพอ ๆ กับซูเฉิน อีกฝ่ายก็สามารถชดเชยมันด้วยยาหรือสิ่งของต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก
ด้วยเหตุนี้ตระกูลจูจึงยอมตกลงที่จะทำตามเงื่อนไขของซูเฉินทุกประการ เมื่อจูไป๋อวี่บอกว่าจูเซียนเหยาต้องการที่จะรั้งอยู่เพื่อช่วยชายหนุ่มดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับสายเลือดต่อไป ตระกูลจูจึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งยังกล่าวอีกว่าหากอีกฝ่ายต้องการ พวกเขาก็ยังสามารถส่งลูกสาวอีกสองสามคนไปเพิ่มให้ได้
อันที่จริงแล้ว ความก้าวหน้าในการวิจัยของซูเฉินทำให้พวกเขาพอใจอย่างมาก เพราะแม้กระทั่งผู้ไร้เลือดก็ยังใช้ยาได้ ถึงพวกเขาจะต้องใช้ยาเพื่อควบคุมผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่หากมันสามารถควบคุมศัตรูและช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ ใครจะไปสนใจเรื่องวิธีการกัน ? ตราบใดที่อีกฝ่ายเต็มใจที่จะมอบสูตรให้และเก็บไว้เป็นความลับ พวกเขาก็ย่อมเห็นด้วย
มันยังคงเป็นความลับ
6 เดือนต่อมาในที่สุดซูเฉินก็สามารถปรับปรุงสายเลือดของจูเซียนเหยาได้สำเร็จ
มันเป็นการยกระดับพื้นฐานขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจูเซียนเหยาไม่เพียงแค่จะสามารถควบคุมคนที่แข็งแกร่งกว่านางได้ แต่ลูกชายและลูกสาวของนางก็ยังสามารถสืบทอดสายเลือดและพลังนี้ของนางไปได้ด้วยเช่นกัน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือต้นสายเลือดคนใหม่ของตระกูลจู” ซูเฉินประกาศขึ้นหลังจาก ‘การต่อสู้’ อันยาวนานและเร่าร้อนได้จบลง
จูเซียนเหยานอนเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉินกล่าวขึ้น “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วหรือ ? ทั้งที่เรารอช่วงเวลานี้มานานมาก แต่เมื่อมันมาถึงข้ากลับไม่ได้รู้สึกยินดีนัก”
“ใช่” ซูเฉินเห็นด้วย
จูเซียนเหยาจ้องมองชายหนุ่มอย่างมีความสุข “งั้นเจ้าเองก็ไม่ได้ยินดีที่จะจากข้าไปสินะ ? เหตุใดไม่กลับไปที่ตระกูลจูกับข้าล่ะ ? ด้วยความสามารถของเจ้า การให้เจ้าเป็นผู้ครองตระกูลจูในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น”
“เจ้าก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ อีกอย่าง…” ซูเฉินเงียบลง
ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่นางเอนพิงหน้าอกของชายหนุ่ม “เจ้ายังคิดถึงนาง”
ซูเฉินไม่ตอบอะไร
เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นจะต้องตอบกลับไป
ดังนั้นจูเซียนเหยาจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าตกลงที่จะแต่งงานเข้าตระกูลซูนับแต่วันนี้ไป ข้าไม่สนใจว่ากู่ชิงลั่วจะเห็นด้วยหรือไม่ ถึงแม้ว่าเจ้า 2 คนจะตกหลุมรักกันก่อน แต่ครั้งแรกของเจ้าเป็นข้า ดังนั้นข้าก็อยากจะมีสถานะเท่าเทียมกับนางไม่ใช่แค่นางบำเรอ สุดท้ายเด็กที่ข้าเป็นคนให้กำเนิดออกมา หนึ่งในนั้นต้องใช้นามสกุลจู…”
รายการเงื่อนไขจำนวนมาก ถูกร่ายยาวออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ซูเฉินก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะอย่างขมขื่น
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
แม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับซูเฉิน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อถ่วงเวลา แต่วันแห่งการจากลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็มาถึง
ในวันที่ชายหนุ่มแยกจากไป จูเซียนเหยาร้องไห้อย่างหนัก
หญิงสาวจับมือของซูเฉินและพูดว่า “เจ้าจะกลับมาหาและแต่งงานกับข้าจริง ๆ ใช่ไหม ?”
ซูเฉินพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “แน่นอน แม่นางน้อยของข้านี่เป็นครั้งที่ 1872 แล้วที่เจ้าถาม ไม่ว่ายังไงข้าก็จะโน้มให้นางตอบตกลงแล้วมาแต่งงานกับเจ้า เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ซูเฉิน และข้าจะไม่ยอมยกเจ้าไปให้ใครทั้งนั้น ดังนั้นเป็นเด็กดีแล้วรอข้ากลับมาอยู่ที่ตระกูลจูเถิด”
จูเซียนเหยาหัวเราะเบา ๆ ขณะที่จูไป๋อวี่กับจ้าวจิ่งเหวินพยายามพานางกลับไปที่รถม้า ภายใต้การจ้องมองด้วยความเศร้าโศกของโหยวเทียนหย่าง
เสียงกีบเท้าเริ่มแผ่วเบาลง ก่อนที่พวกเขาจะหายลับสายตาไป
จูเซียนเหยาจากไปพร้อมกับหัวใจของซูเฉิน
เวลามักจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงความรู้สึก ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาไม่ได้รักหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับจูเซียนเหยาเลย
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาในปัจจุบันไม่สามารถพูดเช่นเดียวกับในอดีตได้อีกแล้ว
ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ก็ได้เวลาตามหากู่ชิงลั่วแล้ว
มีบางสิ่งที่เขาจะต้องไปอธิบายให้เธอฟังและหวังว่านางจะรับได้
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจมอยู่ในความคิด เขาก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นจากด้านหลัง “อะไร ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะปล่อยนางไปงั้นหรือ ?”
ซูเฉินผงะตกใจ ก่อนจะหันกลับไปเห็นเยว่หลงซาอยู่ด้านหลังเขา
“เจ้าโผล่มาจากที่ไหนกัน ? สองสามวันที่ผ่านมานี้เจ้าเฝ้าดูข้าอยู่งั้นหรือ ?” ซูเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
เยว่หลงซากลอกตามองอีกฝ่าย “ข้าไม่ได้สนใจจะมาเฝ้าดูเจ้าหรอก ทว่าปัวเอ่อร์อยู่ในมือเจ้า ข้าจึงอยากจะมาถามว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ อย่างไรเสียมันก็ยังถือเป็นอดีตผู้นำของเผ่าเกล็ดทรายและยังคงมีค่าอยู่บ้าง แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มายืนเป็นพยานอะไรแบบนี้หรอกน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรจะมาให้เร็วกว่านี้สักหน่อย เมื่อเดือนที่แล้วข้ามัวยุ่งอยู่แต่กับงานทดลอง หลงลืมเวลาจนลงเอยด้วยการเผลอทำมันตายไปแล้ว” ซูเฉินยักไหล่
“โอ้ งั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าแค่บังเอิญผ่านมาเลยว่าจะมาถามเรื่องนี้เพราะสงสัยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” เยว่หลงซาตอบอย่างไม่ใส่ใจ การแสดงออกของนางไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ดูไม่เหมือนคนที่มาเพื่อเรื่องนี้เลยสักนิด
เยว่หลงซากล่าวว่า “แล้วเจ้ากับจูเซียนเหยาเป็นอย่างไรกันบ้าง ? แล้วกู่ชิงลั่วล่ะ ?”
คำถามของนางดูจะไร้เดียงสา แต่ซูเฉินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
แต่ชายหนุ่มก็ยังคงบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับจูเซียนเหยาให้อีกฝ่ายฟัง แล้วถอนหายใจ “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องต่าง ๆ จะดำเนินมาจนถึงจุดนี้ จะกล่าวว่าพลาดไปครั้งหนึ่งทำให้พลาดไปหมดก็ว่าได้”
“ดูเจ้าจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะทิ้งนางไว้ที่นั่นนะ และเจ้าดูไม่เห็นเหมือนคนก้าวพลาดไปเสียหมดตรงไหนเลย”
ซูเฉินกล่าวด้วยความอาย “ข้าก็แค่ทำให้สถานการณ์มันดูเลวร้ายน้อยที่สุดก็เท่านั้น”
เมื่อเยว่หลงซาได้ยินดังนั้นนางจึงถามไปว่า “ถ้างั้นซูเฉิน เจ้ายอมแพ้ที่จะมีเพียงกู่ชิงลั่วไปจนวันที่ตายแล้ว ?”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ข้าเคยคิดเสมอว่าถึงแม้โลกนี้จะมีสาวงามมากมายเพียงใดข้าก็จะรักแต่นางคนเดียว ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งต่าง ๆ จะมาลงเอยเช่นนี้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกที่นอกจากจะปล่อยวางความคิดที่จะมีเพียงแค่นางคนเดียว และหวังว่านางจะเข้าใจ”
“แล้วหากนางไม่เข้าใจ ? เจ้าจะยอมทิ้งจูเซียนเหยาหรือ ?”
ซูเฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ ในเมื่อมันมาจนถึงจุดนี้ มันก็ไม่มีที่ว่างให้หันหลังกลับแล้ว ถ้าข้าหันกลับไปตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องรับผิดชอบจูเซียนเหยาจนถึงที่สุด”
เยว่หลงซายิ้ม “ในที่สุดเจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง”
“ห้ะ ? เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
เยว่หลงซาพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เมื่อพูดถึงความรัก ไม่ว่าเจ้าเป็นคนใจเดียวหรือเจ้าสำราญมากใจ เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียใจหรือลังเลกลับกลอกไปมา ซูเฉิน เจ้าจะไม่สามารถยึดติดอยู่กับแค่กู่ชิงลั่วเพียงคนเดียวได้อีกต่อไป โปรดจำเอาไว้ ในเมื่อตอนนี้ประตูสวนหลังบ้านเจ้าเปิดออกแล้ว บางทีในอนาคตก็อาจมีโอกาสมาเพิ่มหนึ่งหรือสอง”
หือ ?
ซูเฉินสับสน
เยว่หลงซากล่าวว่า “ข้ากำลังพูดถึงเยี่ยเม่ย เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าแม่สาวน้อยคนนั้นก็ชอบเจ้ามากเช่นกัน ?”
“นางยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้”
“แต่ในที่สุดวันหนึ่งนางก็ยังต้องโตขึ้น และเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อยู่ดี”
“เหตุใดเจ้าถึงได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ? หรือเจ้าเองก็อยากจะเข้ามาอยู่ในสวนหลังบ้านของข้า ?”
ใบหน้าขาวของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะพูดว่า “ไร้สาระเสียจริง ข้ายังมีเรื่องต้องดูแลจัดการ คงไม่อยู่รบกวนเวลาเจ้าต่อแล้ว ข้าไปล่ะ”
เมื่อเยว่หลงซากล่าวจบ นางก็ผละตัวจากไปทันที
ซูเฉินดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ขณะที่มองดูอีกฝ่ายเดินห่างออกไป เขาจึงพูดเสียงดัง “เจ้าไม่ได้มาเพื่อปัวเอ่อร์ ใช่ไหม ?”
เยว่หลงชาหยุดเดินก่อนจะยกมือโบกลาซูเฉินโดยไม่หันหลังกลับมามอง และหายไปท่ามกลางฝูงชน