ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 68 การติดต่อ (2)
บทที่ 68 การติดต่อ (2)
กู่เซวียนเจามองซูเฉินในทางที่ดี แต่นั่นก็เป็นเพียงความประทับใจแรกเท่านั้น
ทว่าความประทับใจแรกนี้จะค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นความคุ้นเคย
กู่เซวียนเจาค้นพบว่าไม่ว่าตนจะไปที่ไหน เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากอิทธิพลของอีกฝ่ายได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นที่ที่เขาไปทานอาหารเช้า ไปฟังดนตรี ไปทานอาหารกลางวัน-อาหารเย็น ไปอาบน้ำ แม้กระทั่งหอนางโลม เกือบทุกสถานที่ที่เขาชอบไปล้วนแล้วแต่เป็นร้านของซูเฉิน
ในตอนนี้ หากจะบอกว่าเขาไม่รู้จักกับคุณชายแห่งคฤหาสน์ซูมันก็คงจะเป็นเรื่องเหลวไหลเกินไป
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใดที่ซูเฉินจะปรากฏตัวมาที่ร้านของเขา
ส่งผลให้ทั้ง 2 คนค่อย ๆ เริ่มรู้จักกันมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
วันหนึ่ง หลังจากที่กู่เซวียนเจาทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เขาก็เตรียมตัวที่จะไปยังวังขนนกหยกต่อตามปกติ
วังขนนกหยกเป็นเรือนแพลอยน้ำที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของเมืองกลืนธารา กู่เซวียนเจาชอบที่จะปล่อยตัวไปกับความเพลิดเพลินบนเรือเหล่านี้ ที่ที่ภรรยาผู้ฉลาดของเขาต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากนางต้องการตามหาตัวเขา เรือนแพกว่า 10 ลำรวมตัวกันนี้ทำให้การตามหาคนคนหนึ่งจำต้องใช้ความพยายามพอสมควร
ทันทีที่กู่เซวียนเจาก้าวเท้าเข้าสู่วังขนนกหยก หญิงสาวที่แต่งตัวยั่วยวนผู้ถูกเรียกว่าพี่สาวชา ซึ่งเป็นเจ้าของเรือนแพนี้ นี่เป็นส่วนที่ดีในกลยุทธ์ทางธุรกิจของซูเฉิน ไม่ว่าเขาจะซื้อกิจการอะไรมา เขาก็จะไม่หาคนใหม่แทนที่คนงานเดิม เพื่อรักษาความคุ้นเคยของคนงานกับลูกค้าเอาไว้เหมือนเดิม
เมื่อพี่สาวชาเห็นกู่เซวียนเจาเดินมา นางก็รีบเข้าไปทักทายและพูดกับเขาอย่างอบอุ่น “โอ้ ผู้อาวุโสสี่ตระกูลกู่มิใช่หรือนี่ ! ข้าดีใจที่ได้พบท่านอีกจริง ๆ ”
“อืม” กู่เซวียนเจาส่งเสียงตอบรับคำทักของอีกฝ่าย “เสี่ยวเซียนล่ะ ? เรียกนางมาหาข้าสิ”
พี่สาวชาแสดงอาการกระอักกระอ่วนในทันใด “นี่ …คือเซียนเอ้อร์กำลังรับลูกค้าท่านอื่นอยู่เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?” กู่เซวียนเจาถามเสียงเข้มด้วยความโกรธ “ไม่ใช่ว่าข้าให้คนมาบอกเจ้าก่อนหน้าที่ข้าจะมาแล้วหรอกรึ ว่าอย่าปล่อยให้เสี่ยวเซียนไปกับแขกคนอื่น ?”
พี่สาวชาตอบอย่างรีบร้อน “เจ้าค่ะ เราได้จัดเตรียมไว้เช่นนั้นแล้ว ทว่าท่านผู้อาวุโสสามเองก็มาที่นี่เช่นกัน”
“ผู้อาวุโสสาม ?” กู่เซวียนเจาชะงัก “ผู้อาวุโสสามที่ไหนกัน ? เจ้าเฒ่าสามกู่เซวียนอวี่ ?”
พี่สาวชาพยักหน้า
ท่าทีของกู่เซวียนเจาเปลี่ยนเป็นดูเคร่งเครียด ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในห้อง
เขาเห็นกู่เซวียนอวี่กำลังหยอกล้อกับหญิงสาวผู้มีพวงแก้มสีชมพูอ่อน ๆ และการแต่งแต้มใบหน้าเบา ๆ ในอ้อมอกของตน สาวน้อยนางนั้นจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเสี่ยวเซียนคนโปรดของเขา ?
เมื่อเห็นฉากตรงหน้านี้ ใบหน้าของกู่เซวียนเจาก็มีดมน “เฒ่าสาม เจ้าว่างมากเลยหรือไร ? ถึงได้ตามมาแย่งเสี่ยวเซียนที่ข้าหมายตาเอาไว้ไป ?”
กู่เซวียนอวี่หัวเราะ “เฒ่าสี่ ข้าก็ทำตามกฎปกติ ข้าจะไปฉกของจากคนอื่นได้อย่างไร ? โดยเฉพาะของของเจ้า มา มา เข้ามานั่งก่อน”
กู่เซวียนเจามีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อยแต่เขาก็นั่งลง
เขากับกู่เซวียนอวี่ไม่ได้มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนประเภทไร้กังวลง่าย ๆ สบาย ๆ ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าใครก็สามารถผูกมิตรด้วยได้ กู่เซวียนเจารู้สึกว่าทัศนคติของเฒ่าสามนี้ กำลังทำให้สถานะสมาชิกตระกูลสายเลือดชั้นสูงมัวหมอง ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยพอใจกู่เซวียนอวี่เท่าไหร่นัก ทว่ามันก็แค่นั้น
เขากล่าวว่า “ทุกอย่างย่อมมีลำดับก่อนหลัง ข้าเลือกเสี่ยวเซียนเอาไว้แล้ว แล้วเจ้ายังจะบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้ฉกนางไปจากข้า ? แล้วนี่มันเรื่องอะไร ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแม่นางชาจะกล้าหักหน้าข้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า”
กู่เซวียนอวี่ยิ้ม “เฒ่าสี่ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริง ๆ ข้าไม่ได้ฉกฉวยนางมาจากเจ้า ข้าได้ตัวนางมาอย่างถูกต้องตามกฎของวังขนนกหยกต่างหาก”
จากนั้นเขาก็หยิบป้ายหยกออกมาและวางไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย “เห็นไหม ?”
“นี่อะไร ?” กู่เซวียนเจางุนงง
เขาเป็นลูกค้าของวังขนขกหยกมานานหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้เห็นป้ายหยกนี้
“นี่คือป้ายหยกแขกพิเศษของวังขนขกหยก” กู่เซวียนอวี่ตอบ
“ใครก็ตามที่มีป้ายนี้จะถูกถือว่าเป็นแขกคนพิเศษ และได้รับสิทธิ์บางอย่างที่เหนือกว่าลูกค้าทั่วไป เช่นแม้ว่าเจ้าจะจองเอาไว้ก่อน ทว่าเจ้าไม่ใช่แขกพิเศษ ดังนั้นเมื่อมีแขกพิเศษเข้ามาพวกเขาจะสามารถเลือกคนได้ก่อนโดยไม่มีเงื่อนไข มันจึงไม่ใช่ว่าแม่นางชาจะไม่ไว้หน้าเจ้าและไม่ใช่ว่าข้าจงใจจะแย่งตัวนางมา ก่อนที่ข้าจะมาข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าได้เลือกเสี่ยวเซียนเอาไว้ ข้าแค่บอกพวกเขาว่าข้าต้องการนาง พวกเขาจึงดูแลจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ มาให้ข้า”
“มีของอะไรอย่างนี้ด้วยรึ ?” กู่เซวียนเจาเบิกตากว้าง “เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับป้ายหยกนี้มาก่อนเลย ?”
“ไม่แปลกหรอก นี่เป็นกฎที่เจ้าของคนใหม่ตั้งขึ้น”
“ซูเฉิน ?”
“ใช่แล้ว !”
ใบหน้าของกู่เซวียนเจามืดลง
เดิมทีเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูเฉินนั้นดีพอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น
แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตัวเองยังทำตัวหยิ่งผยองต่อผู้อื่นเกินไป ในขณะที่กู่เซวียนอวี่เป็นมิตรกับผู้คนมากกว่าเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอีกฝ่ายจะกลายเป็นเพื่อนของคุณชายซูได้เร็วกว่า แต่มันก็ยังชวนให้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยอยู่ดี
เมื่อกู่เซวียนอวี่เห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี เขาก็หัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป วันนี้ทางนั้นเองก็จะเข้ามาเช่นกัน เดี๋ยวข้าจะขอให้เจ้าด้วย แล้วเจ้าก็จะได้เอาไว้ไปเลือกเสี่ยวเซียนของเจ้า”
“ฮึ่ม ข้าไม่สน” กู่เซวียนเจาตอบ
ดูท่าทีแล้วช่างยากที่จะบอกว่าอะไรกันแน่ที่เฒ่าสี่ผู้นี้บอกว่าไม่สนใจ ระหว่างป้ายแขกพิเศษกับเสี่ยวเซียน
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ซูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี
ดวงตาของกู่เซวียนอวี่เป็นประกาย “พี่ซู มา ๆ เชิญนั่ง”
ซูเฉินเดินเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสี่ ยินดีที่ได้พบพวกท่านอีก เป็นอย่างไรบ้างเพลิดเพลินกับการดูแลของพวกเขาหรือไม่ ?
กู่เซวียนอวี่หัวเราะ “เป็นคำถามที่ดี เพราะดูเหมือนว่าวันนี้เฒ่าสี่ของเราจะไม่มีความสุขเสียเท่าไหร่นัก”
“หืม ? ท่านหมายถึง ?”
เฒ่าสามกล่าวตอบ “เจ้าให้ป้ายแขกพิเศษแก่ข้า ทว่าไม่ได้ให้เฒ่าสี่ เจ้าพอจะอธิบายให้เพื่อนคนนี้หายสงสัยได้หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูเฉินก็หัวเราะเบา ๆ “ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ ผู้อาวุโสสี่ นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดกัน ข้าจะเลือกปฏิบัติกับพวกท่านเช่นนั้นได้อย่างไร ? เพียงแค่ผู้ถือป้ายแขกพิเศษนี้จำต้องผ่านเงื่อนไขบางประการเสียก่อนจึงจะสามารถรับป้ายนี้ไปได้ ท่านผู้อาวุโสสี่ยังไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่าไว้ ดังนั้นข้าจึงยังไม่สามารถมอบมันให้แก่ท่านได้”
“โอ้ ? เงื่อนไขอะไรกัน ? บอกข้ามาสิ ต้องจ่ายเท่าไหร่ ?” กู่เซวียนเจาถาม
“นั่นไม่จำเป็น ป้ายแขกพิเศษนี้จะมอบให้เพียงพันธมิตรทางธุรกิจ มีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันเท่านั้น”
“หือ ?” กู่เซวียนเจาผงะ เขามองไปที่กู่เซวียนอวี่ “พวกเจ้ามีส่วนร่วมในความร่วมมือแบบไหนกัน ?”
“ข้าเพิ่งจะลงทุนกับธุรกิจของพี่ซูไปเมื่อไม่กี่วันก่อน” กู่เซวียนอวี่ตอบกลับอย่างลวก ๆ
“ลงทุน ?” กู่เซวียนเจาสับสน “หมายถึงกิจการเหล่านี้ ?”
ซูเฉินรีบกล่าวอธิบาย “แน่นอนว่าไม่ใช่กิจการเหล่านี้ ข้าซื้อร้านรวงเหล่านี้มาเพียงเพื่อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้าไม่เคยวางแผนที่จะหากำไรจากพวกมันเลย แล้วข้าจะชวนให้ผู้อาวุโสสามมาลงทุนกับกิจการที่ไม่มีวันทำกำไรได้อย่างไรกัน”
“เช่นนั้นมันเป็นธุรกิจประเภทไหนล่ะ ? ลองว่ามาสิ หากข้าสนใจ ข้าก็อาจตัดสินใจลงทุนเช่นกัน”
ซูเฉินตอบว่า “ข้าต้องการที่จะสร้างเครือข่ายเรือเหาะขึ้น”
“เครือข่ายเรือเหาะ ?” กู่เซวียนเจาตกตะลึง
เครือข่ายเรือเหาะคือการขนส่งทางอากาศประเภทหนึ่ง
การขนส่งทางอากาศในปัจจุบันมนุษย์มักใช้เรือเคลื่อนเมฆาขนาดใหญ่เป็นพื้นฐาน เรือเหาะขนาดใหญ่พิเศษนี้อาศัยการขับเคลื่อนด้วยหินพลังต้นกำเนิดและมีราคาสูงมาก ทั้งยังช้ามากจนได้ชื่อว่าเป็นของเล่นทางอากาศที่แพงที่สุด เนื่องจากค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง รวมกับการดำเนินการที่ยากลำบาก อุปสรรคเหล่านี้จึงทำให้ธุรกิจเครือข่ายเรือเหาะประสบความสำเร็จได้ยากยิ่ง แค่มีเงินอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ
แล้วจะไม่ให้กู่เซวียนเจาแปลกใจได้อย่างไรในเมื่อซูเฉินตั้งใจวางแผนที่จะสร้างมัน ? และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกู่เซวียนอวี่เองก็ร่วมลงทุนไปแล้วเช่นกัน
กู่เซวียนเจารู้ดีว่านิสัยของกู่เซวียนอวี่เป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกสบาย ๆ ไร้ความกังวล แต่เขาก็ไม่ใช่พวกโง่ที่ทำสิ่งใดโดยไม่คิด
หากเฒ่าสามผู้นี้กล้าที่จะลงทุน เป็นไปได้ไหมว่าซูเฉินจะมีวิธีในการสร้างเครือข่ายเรือเหาะนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ ?