ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 7 ยึดความตั้งใจเดิม
บทที่ 7 ยึดความตั้งใจเดิม
หากแต่ราตรีก็ผ่านพ้นไปโดยไร้เหตุการณ์ใด
เช้าวันต่อมา สีหน้าเยี่ยเม่ยก็ออกจะประหลาดไปสักหน่อย แต่แล้วความโง่งมซื่อบื้อของนางก็พลันกลับมาสำแดงโดยเร็ว
นางไม่ทันอ่านสีหน้าคน เดินเข้าไปพูดคุยกับทุกคนดังเดิม
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทาง ระหว่างเดินทาง ซูเฉินนังสัมผัสสายตามุ่งร้ายจากข่งเฉิงที่ทิ่มแทงหลังได้
เขาเพียงยิ้มน้อย ๆ แล้วไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเท่านั้น
ปราการหงส์เดียวดายสูงตระหง่านอยู่ห่างไกลนัก ส่วนพื้นที่โดยรอบก็เป็นแดนรกร้าง พวกเขาต้องเดินเท้าหลายวันกว่าจะพบเกาะหุบเหว
เมื่อเข้าเกาะหุบเหวมาแล้ว พืชพันธุ์ต้นไม้ต่าง ๆ ก็เริ่มหนาตามากขึ้น ทั้งยังมีนักเดินทางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในวันนี้ ขณะที่ขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้าต่อ เผ่าเกล็ดทรายกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏ ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งเข้าหา
ในตอนที่เผ่าเกล็ดทรายพุ่งเข้าใส่ ซูเฉินและคนอื่น ๆ ก็คิดในใจว่า ‘พวกมันมาแล้ว’
หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่พบเผ่าเกล็ดทรายกลุ่มใหญ่เลย ที่พบก็มาตัวคนเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หากแต่ครั้งนี้มีเผ่าเกล็ดทรายนับร้อยปรากฏขึ้น รวมถึงพวกเผ่าเกล็ดทรายระดับกลางด้วย
การประเมินกำลังของเผ่าเกล็ดทรายนั้นง่ายมาก ที่ท้ายทอยของพวกเขาจะมีหนวดอยู่ ยิ่งมันหนาก็จะยิ่งหมายความว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่ง
เผ่าเกล็ดทรายกลุ่มใหญ่เร่งรุดเข้ามา คนหัวหน้าชี้ไปยังซูเฉินและคนอื่น ๆ พลางตะโกนลั่น “โจมตี !”
พวกเขาไม่เสียเวลาพูดคุยแล้วรุดหน้าเข้ามาทันที
แม้ซูเฉินจะรู้ว่าเผ่าเกล็ดทรายมีนิสัยดุร้าย อีกทั้งไม่ซื้ออสูรอูฐของพวกเขานับว่าเป็นการยั่วยุ แต่ก็ยังตกใจที่อีกฝ่ายเข้าโจมตีรวดเร็วไม่แยกมิตรศัตรูเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ย “เผ่าเกล็ดทราย ? เหมือนเผ่านักฆ่าเสียมากกว่า”
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “พวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ ดุร้าย กระหายเลือด ป่าเถื่อนอย่างถึงที่สุด ทีนี้ท่านเชื่อข้าหรือยัง ?”
“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากเห็นฝีมือปรมาจารย์หยาดพิรุณกับตาก่อนจะเข้าปราสาทไหลน่าตะวันตก” ซูเฉินตอบ
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ข้ากลายเป็นคนที่ต้องตามล้างตามเช็ดปัญหาของท่านเสียแล้ว”
ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “นี่คงจะไร้ปัญหากับปรมาจารย์หยาดพิรุณ อย่างมากก็เป็นเพียงช่วงเวลาให้พักหายใจเท่านั้น”
ระหว่างคุยกัน ฉือหมิงเฟิงก็วาดแขน หมอกหนาเริ่มแพร่ไปทั่ว หยาดน้ำหยดลงใส่เผ่าเกล็ดทราย พวกมันเต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำ สาดเข้าใส่ศัตรูราวกับฝนโปรยจากสวรรค์ และเมื่อถูกตัวเผ่าเกล็ดทราย ร่างกายก็เริ่มสลายราวกับทรายกระจายตัว พลังต้นกำเนิดประเภทน้ำอันน่ากลัวยังมุ่งต่อไป ทำลายเผ่าเกล็ดทรายทั้งหมด ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกฉือหมิงเฟิงจัดการเสียราบคาบไปแล้ว
ฟ้าว !!!
ภายใต้ฝนห่าใหญ่ เผ่าเกล็ดทรายทั้งหลายก็ร่างสลายหายไปไม่เหลือสิ่งใด
หยาดน้ำที่ฉือหมิงเฟิงเรียกจากสวรรค์ก็หายไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่
“ท่านนี่เหมาะสมกับชื่อ ‘ปรมาจารย์หยาดพิรุณ’ เสียจริง” ซูเฉินชมจริงใจ
ฉือหมิงเฟิงยิ้มบาง “วิชาเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้ชมหรอก”
“จากวิชานั่น ดูท่าอย่างน้อย ๆ ท่านก็มีสามแท่นบงกชกระมัง ?” ซูเฉินถาม
ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงภาคภูมิ “ข้าถึงสี่แท่นเมื่อสองปีก่อนได้เพราะท่าน”
เขาไม่ได้เอ่ยเช่นนั้นเพื่อยกยอแต่อย่างไร
ในการทำการค้าของสองฝ่าย ซูเฉินแอบมอบหินพลังต้นกำเนิด 30 ล้านก้อนให้ฉือหมิงเฟิง เงินก้อนนี้ทำให้เขาทะลวงผ่านทางตันและสร้างแท่นบงกชที่สี่ขึ้นได้สำเร็จ ดังนั้นฉือหมิงเฟิงจึงซาบซึ้งต่อซูเฉินด้วยใจจริง
“แต่จะว่าไป ด้วยทรัพยากรในมือท่านตอนนี้ ท่านน่าจะถึงขั้นสุดของด่านทะลวงลมปราณได้ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงยังอยู่ที่ขั้นกลางเล่า ?” ฉือหมิงเฟิงถาม
ซูเฉินตอบ “ถึงด่านทะลวงลมปราณขั้นสุดแล้วอย่างไรเล่า ? ขั้นต่อไปก็คือด่านสู่พิสดารอยู่ดีไม่ใช่หรือ ? จะทะลวงสู่ขั้นต่อไปมันยากเกินไปนัก”
ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ “หากท่านต้องการ ข้าสามารถหาทางติดต่อกับคนที่มีสายเลือดดี ๆ ได้บ้าง……”
พอเห็นซูเฉินส่ายหน้าเขาก็หัวเราะด้วยเข้าใจจุดมุ่งหมายของอีกฝ่าย “ดูท่าท่านจะยังหวังจะทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดกระมัง แต่หากเป็นเช่นนั้น อาจารย์ของท่านก็จะเป็นต้องฟันฝ่าอุปสรรคนั้นให้ได้เสียก่อน”
ซูเฉินตอบ “ปรมาจารย์หยาดพิรุณ ท่านไม่ต้องทดสอบข้าหรอก บอกท่านตามตรง อาจารย์ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้มากอีกแล้ว”
“อ้อ? ทำไมเล่า ?”
ซูเฉินจึงบอกเรื่องที่ฉือไคฮวงถูกส่งไปยังปราการลุ่มน้ำทอง
“อาจารย์กลายเป็นทหารอีกครั้ง ตอนนี้ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องทางการทหาร ใช้เวลาทั้งวันไปกับการทดลองไม่ได้อีก ดังนั้นเขาจึงมอบหน้าที่นี้ไว้ให้ข้า”
“ท่านหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงชะงักไป “แต่ท่านไม่ใช่คนด่านสู่พิสดาร แล้วจะค้นคว้ามันอย่างไร ?”
ซูเฉินถอนใจ “ข้าเองก็บอกไปเช่นนั้น…… รู้ไหมว่าอาจารย์ว่าอย่างไร ?”
“เขาว่าอย่างไร ?”
“เขาบอกให้ข้าไปสร้างปาฏิหาริย์”
“……”
ฉือหมิงเฟิงพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพูดออกมาเพียง “ดูท่าท่านคงจะทะลวงด่านไม่ได้อีกนานทีเดียว”
“ก็อาจจะไม่แน่ ด้วยตอนนี้อาจเป็นจุดที่สูงที่สุดในชีวิตข้าแล้วก็ได้”
“เช่นนั้นทำไมไม่ยอมแพ้เล่า ? ด้วยทรัพยากรในมือท่านตอนนี้ อย่างไรก็หาสายเลือดดี ๆ มาได้แน่ จากนั้นก็ทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งท่านอาจทำลายโซ่ตรวนแล้วทะลวงผ่านขั้นสูงไปอีกก็เป็นได้”
ใช่แล้ว
ด้วยความรู้และความแข็งแกร่งของซูเฉิน หากได้โอสถสืบสายเลือด จากนั้นรวมมันเข้ากับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของเขา เขาก็คงทะลวงด่านไปได้หกจากที่มีอยู่เจ็ดด่านได้
หากเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ได้ยืนอยู่บนจุดสูงส่ง ก้มลงมองคนทั้งหลาย แม้จะไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดก็ตามแต่
คนส่วนมากมองว่าเท่าที่ก็เกินพอแล้ว ใครที่ความคิดกระจ่างหน่อยจะไม่ยึดตนเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง การจะใฝ่หาจุดสูงสุดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากหมกมุ่นเกินไปจะไม่ดีนักเท่านั้น
ซูเฉินก็เช่นกัน สำหรับเขา ความสำเร็จเท่านั้นก็เกินความพอใจเขามากแล้ว
แต่หากเขาใช้สายเลือด แล้วความฝันที่เขาสู้ฟันฝ่ามาโดยตลอดเล่า ?
ซูเฉินที่มีสายเลือดจะไม่ใช่คนเดียวกับซูเฉินหัวแข็งคนก่อน คำมั่นที่เคยให้ไว้ก็จะเป็นเพียงลมปากไร้สาระเท่านั้น
เขาอาจยอมแพ้ไม่ไต่ขึ้นจุดสูงสุดได้ แต่เขาไม่อาจกลืนน้ำลายตนเองได้
ถึงมันจะหมายความว่าเขาอาจไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าต่อเลยก็ตาม
แต่ชีวิตคนเรามันก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ?
หากไร้ซึ่งอิสระ แล้วจะมีตัวเลือกใดได้ ? หากไม่มีการยอมจำนน จะต้องแลกอะไรไปบ้าง ? หากไร้ซึ่งอันตราย แล้วจะมีความท้าทายหรือ ?
หนทางที่เขาเลือกเดินนั้นถูกลิขิตให้เต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแต่ยาวไกลและลำบากยากเข็ญ ทั้งการทดลองทั้งหลายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยังหมายถึงการยอมทิ้งบางสิ่งบางอย่างไปด้วย
จะมุ่งฟันฝ่าเพื่ออนาคตที่ไร้ความแน่นอนและไล่ตามความฝันต่อ ? หรือจะล้มเลิกยามที่ตนอยู่เหนือคนอื่นแล้วกลายเป็นผู้ชนะ ?
คนส่วนมากคงเลือกอย่างหลัง
มีเพียงคงที่ถูกเลือกไม่กี่คนที่จะเลือกอย่างแรก
ซูเฉินไม่ใช่คนโง่ เขาลังเล คิดใคร่ครวญซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
โชคดีที่เขาเลือกที่จะเดินไปยังหนทางที่เขาเลือกไว้แล้วด้วยความแน่วแน่ต่อไป
เขาบอกกับตนเองว่าคนเราฉลาดได้ ยืดหยุ่นได้ อาจมีไหวพริบในด้านต่าง ๆ ได้ แต่การจะไล่ตามความฝันนั้น โง่สักหน่อยจึงจะดี
ดังนั้นซูเฉินจึงตอบไป “ข้าเพียงไม่อยากลืมคำสาบานที่เคยให้ไว้เท่านั้น”
“ท่านก็เลยเลือกทางนี้เพื่อทุกคนในใต้หล้างั้นหรือ ? ไม่ใช่เพราะความกระหายอำนาจส่วนตน ?” ฉือหมิงเฟิงถามด้วยท่าทีประหลาดใจอยู่บ้าง
“อะไรกัน ? คนอย่างข้าห่วงคนอื่นบ้างไม่ได้หรือ ?” ซูเฉินตอกกลับ
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ข้าเพียงแต่คิดว่าคนที่สามารถขายยาสามหยางจนได้หินพลังต้นกำเนิดนับพันล้าน ทั้งยังขายวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด หากยากนักที่จะมีความมุ่งหมายสูงส่งเช่นนั้นได้”
ซูเฉินตอบ “แล้วมันเกี่ยวกันหรือ ? คนเราจะยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นยามตนอยู่เหนือคนอื่นอยู่แล้ว แต่ข้ายอมแลกตนเองเพื่อคนทั้งใต้หล้าเลยหรือ ? การหาประโยชน์และเห็นแก่เพื่อนร่วมใต้หล้ามันไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกันเสมอไป”
“เช่นนั้นหากวันหนึ่งมันเกิดขัดแย้งกันเล่า ?” ฉือหมิงเฟิงยังกัดไม่ปล่อย
ซูเฉินไม่ตอบ