ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 90 บินบนเครื่องมือ
บทที่ 90 บินบนเครื่องมือ
หลังจากบินมาพักหนึ่ง ไม่นานทั้งสองก็มาถึงเมืองกระเรียน
กู่ชิงลั่วชี้ไปยังเรือนขนาดใหญ่ด้านล่าง “ตระกูลโจวอยู่ตรงนั้น”
“ข้าจะไปจัดการ” ซูเฉินกำลังจะส่งเสียงเรียก
หากแต่กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น ข้าจัดการเอง”
พูดจบนางก็เอื้อมแขนออกข้างหนึ่ง ฝ่ามือก่อตัวขึ้นจากหมู่เมฆรวมตัวพลันถูกกระแทกลงไป
ซูเฉินเห็นท่าทีเอาแต่ใจของกู่ชิงลั่วก็อึ้งไปไม่น้อย
สิ่งที่ด่านสู่พิสดารยังทำได้ยาก กู่ชิงลั่วกลับทำได้ง่าย ๆ สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลนี่มันสุดยอดจริง ๆ
เมื่อตระกูลโจวทำท่าราวกับจะถูกหนึ่งฝ่ามือทำลายราบ กลับมีอีกฝ่ามือหนึ่งพุ่งขึ้นมาปะทะกับฝ่ามือเมฆของนางจนสลายกลายเป็นหยดน้ำ
พลันมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “ขอรู้นามของผู้ที่มาถึงได้หรือไม่ ? โจวหยาซานขอทักทาย หากมีเรื่องอยากกล่าว เราสามารถคุยกันอย่างจริงใจได้ จำเป็นต้องใช้ท่าสังหารแต่เริ่มแรกด้วยหรือ ?”
“ใช้ท่าสังหารแต่เริ่มแรก ?” กู่ชิงลั่วหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าใช้ท่าสังหารแต่เริ่มแรก… โจวหยาซาน ท่านคิดหรือว่าจะรับมือมันได้ ?’
ยามได้ยินเสียงนั้น โจวหยาซานก็อึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด
ต่อมา คนผู้หนึ่งก็เหินขึ้นจากตระกูลโจว พบกันที่กลางอากาศ ใบหน้าเขาประดับด้วยหนวดยาวให้อารมณ์คล้ายเซียน เมื่อจ้องมองกู่ชิงลั่วแล้วก็มีสีหน้าตกใจนัก “ชิงลั่ว ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? แล้วเจ้า……”
โจวหยาซานเคยพบกู่ชิงลั่วมาก่อนจึงจำนางได้ทันที หากแต่ไม่คิดว่ากู่ชิงลั่วจะกลายเป็นทรงพลังเช่นนี้ได้ การโจมตีเมื่อครูของนางปล่อยออกมาง่าย ๆ ทว่าโจวหยาซานต้องใช้แรงไม่น้อยเพื่อต้านมันเอาไว้
หากแต่เขากลับนึกบางอย่างได้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที “สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของเจ้าตื่นขึ้นหรือ ? เป็นไปได้อย่างไร ?”
กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่อยากเสียเวลาคุยกับท่าน ส่งโจวชิงขวงมา !”
“ชิงขวง ?” โจวหยาซานเปลี่ยนสีหน้าอีก “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขา ? ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางไปตระกูลกู่เพื่อขอแต่งงานหรือ ?”
ไอสังหารปรากฎขึ้นบนหน้ากู่ชิงลั่ว “อย่าให้ข้าเสียเวลา ส่งเขามาเดี๋ยวนี้”
โจวหยาซานเริ่มเข้าใจบางอย่าง “ลูกชายข้าไปหาเรื่องไว้หรือ ? ข้ายินดีชดเชยให้เซียนกู่”
ในเรื่องลำดับอาวุโส เขามีมากกว่ากู่ชิงลั่ว แต่กลับเรียกนางว่าเซียนกู่ เห็นได้ชัดว่ามองกู่ชิงลั่วเท่าเทียมกัน
หลังจากสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของนางตื่นขึ้น อารมณ์ก็ร้ายขึ้นตาม และตอนนี้นางมีความมั่นใจเหนือใครอื่นแล้วจึงไม่คิดจะคุยกับโจวหยาซานอีก เพียงแต่กล่าวว่า “ไม่จำเป็นให้ท่านต้องชดเชยอะไร ข้าต้องการชีวิตเขา”
โจวหยาซานสีหน้าไม่ดี “เซียนกู่ แม้สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของเจ้าจะตื่นขึ้นแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติกับตระกูลโจวเช่นนี้ได้ สายเลือดตื่นขึ้นแล้วเจ้าคิดว่าตนเองไร้เทียมทานเลยงั้นหรือ ?”
กู่ชิงลั่วเมินเขา เป็นซูเฉินที่เอ่ยขึ้น “ผู้นำตระกูลโจว คุณชายโจวชิงขวงวางยาพิษชิงลั่ว หากไม่ใช่เพราะสายเลือดนางตื่นขึ้นในตอนนั้น นางก็อาจถูกสังหารไปแล้ว”
“ว่าไงนะ ?” โจวหยาซานอึ้งไป
“เราให้เหตุผลท่านไปแล้ว ผู้นำตระกูลโจวช่วยส่งโจวชิงขวงมาได้หรือไม่ ?” ซูเฉินกล่าว
“นี่……” โจวหยุนเกิงลังเล “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ขอเวลาข้าหน่อยเถอะ หลังจากเข้าใจเรื่องราวดีแล้ว ข้าย่อมให้คำตอบแกเซียนกู่ เช่นนั้นได้หรือไม่ ?”
คำขอของเขานั้นมีเหตุผลดีทุกประการ หากแต่กู่ชิงลั่วกลับมองว่าเขากำลังซื้อเวลา
และสิ่งที่กู่ชิงลั่วไม่มีในตอนนี้ก็คือเวลา
ได้ยินดังนั้น ไอสังหารในใจนางจึงพวยพุ่ง “ข้าไม่มีเวลามาเสียกับท่าน หากไม่ส่งโจวชิงขวงมาก็ตายเสีย !”
สิ้นเสียงนั้นนางก็กระแทกฝ่ามือหนึ่งออกมา
ท่าฝ่ามือนี้ดูปกติดี แต่กลับมีแรงลมไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากฝ่ามือนาง พริบตาจากนั้น บรรยากาศด้านหน้าก็ร้อนระอุขึ้นทันตา
มังกรสุริยะเป็นสัตว์อสูรประเภทไฟที่ทรงพลังนัก หลังสายลือดกู่ชิงลั่วตื่นขึ้นแล้ว พลังต้นกำเนิดทั้งหมดในร่างจึงกลายเป็นพลังต้นกำเนิดประเภทไฟ ทุกคราที่ออกท่าโจมตี บนอากาศเบื้องหน้าจะร้อนดั่งเดือด ตอนนี้ฝ่ามือดอกไม้บินหรือวิชาน้ำแข็งใดต่างสิ้นความหมาย เพราะตอนนี้กู่ชิงลั่วมีวิชาสายเลือดชุดใหม่แล้ว
กู่ชิงลั่วกำลังใช้เพลิงอมตะของสายเลือดมังกรสุริยะ เป็นการโจมตีง่าย ๆ ของนางที่จะส่งเปลวเพลิงไปรอบทิศ
โจวหยาซานเห็นทะเลเพลิงรุดหน้าเข้ามาก็ใช้ท่าฝ่ามือเข้าสกัด ท่าฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ส่งคลื่นพลังกระเพื่อมออกมา จนโจวหยาซานถูกบีบให้ถอยไปหลายก้าว ตกใจกลัวไม่น้อย
เขาเป็นผู้นำตระกูลมีเจ็ดแท่นบงกช ทว่ากู่ชิงลั่วก็ยังต่อกรกับเขาได้แม้อยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ ทั้งยังแกร่งกว่าเขาอีกต่างหาก มีหรือเขาจะไม่กลัว ?
กล่าวได้เพียงสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลนั้นล้ำลึกเกินหยั่งจริง ๆ กระทั่งขั้นพลังต่างกันขั้นหนึ่งยังไม่อาจต่อกรได้
กู่ชิงลั่วส่งท่าฝ่ามือออกไปเรื่อย ๆ จนโจวหยาซานจนใจ ได้แต่ถอนหายใจออกมา ภาพมายากระเรียนปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังเขาที่อยู่ไกล ๆ
สายเลือดกระเรียนสีชาดตาแดงตระกูลโจวแกร่งเรื่องความเร็ว แม้เรื่องการต่อสู้จะแค่พอไปวัดไปวา แต่เรื่องการหนีนั้นไม่เป็นสองรองใคร
ระหว่างที่เหินร่างหนียังตะโกนออกมาว่า “กู่ชิงลั่ว อย่าลงมือเกินควรนัก !”
“ท่านนั่นล่ะที่ทำเกินไป !” กู่ชิงลั่วตะโกนตอบ นางซัดพลังใส่โจวหยาซานไม่หยุด ยิ่งเพิ่มเปลวเพลิงบนฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งซูเฉินยังอึ้งไป
“คิดหรือว่าแค่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลแล้วจะทำตามใจชอบได้ ?” โจวหยาซานสายตาเย็นเฉียบ ภาพกระเรียนขาวปรากฏขึ้นเบื้องหลัง กระพือปีกแรงคราหนึ่ง เกิดเป็นขนนกเรียงแถวกันบนฟ้าแล้วพุ่งใส่กู่ชิงลั่ว ขนนกแต่ละชิ้นแวววาวไปด้วยไอพลังเย็น
กู่ชิงลั่วนั้นมือข้างหนึ่งจับซูเฉินไว้จึงไม่อาจใส่ได้เต็มกำลัง เมื่อเป็นเช่นนี้กระทั่งนางยังวิตกอยู่บ้าง
ซูเฉินเอ่ย “ปล่อยข้า”
“ไม่ได้ เจ้าก็ร่วงสิ” กู่ชิงลั่วร้องขึ้น
“ไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่ได้อ่อนแอจนกลายเป็นภาระให้เจ้ามากมาย” ซูเฉินหัวเราะแล้วโยนดาบหั่นภูผาออกไป
ดาบหั่นภูผาหมุนคว้างกลางอากาศสองสามครั้ง ก่อนปรับทิศมาอยู่ใต้เท้าซูเฉินให้เขายืน
เมื่อเห็นซูเฉินใช้วิธีน้อยเพื่อลอยบนอากาศ กู่ชิงลั่วก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมา “เยี่ยมเลย !”
“ข้าลองครั้งแรกเลยนะเนี่ย” ซูเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มบาง
บินบนเครื่องมือเช่นนี้เป็นสิ่งที่ซูเฉินปรับเสริมขึ้นหลังจากสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมา ต้องปรับบางส่วนเพื่อที่ดาบหั่นภูผาจะสามารถรับน้ำหนักเขาได้ เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งจะปรับปรุงได้สำเร็จ ยังไม่มีโอกาสลองใช้ แต่โอกาสนั้นกลับมาปรากฏในวันนี้อย่างไม่คาดคิด
เขาคุมให้ดาบร่อนไปอยู่ด้านหลังกู่ชิงลั่ว เมื่อไม่มีซูเฉินรั้งนางไว้แล้ว กู่ชิงลั่วจึงโจมตีได้ตามใจอยาก เพลิงถูกกระแทกออกจากฝ่ามือไม่หยุดยั้ง รวมกันเป็นกรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ที่เงื้อใส่โจวหยาซาน
โจวหยาซานรู้ว่านี่คือกรงเล็บมังกรเมฆาแห่งสายเลือดมังกรสุริยะ สายเลือดกู่ชิงลั่วยังอยู่ในขั้นต้น แต่กรงเล็บมังกรเมฆาของนางกลับมีกลิ่นอายมังกรเสี้ยวหนึ่งแล้ว พลังอำนาจอันผ่าเผยของมันย่อมก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจได้ หากแต่อย่างไรเขาก็คนด่านสู่พิสดารเจ็ดแท่นบงกช เขาคำรามเสียงต่ำ เจ็ดแท่นบงกชก็ปรากฏที่หน้าผาก หมุนวนและแผ่แสงเรืองออกมาเป็นพลังไร้ขอบเขต
ขนนกขาวยิ่งแข็งแกร่งกว่าเก่า พร้อมกันนั้นภาพกระเรียนสีชาดตาแดงก็พุ่งจงอยปากไปทางกู่ชิงลั่ว
จงอยปากกระเรียนสีชาดปะทะกับกรงเล็บมังกร ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงทันใด
แท่นบงกชของโจวหยาซานหมุนอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันนั้นตราประทับสีแดงดูแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากกู่ชิงลั่ว แสงส่องออกมาจากตรานั่นคล้ายกับของมังกร เปิดใช้สายเลือดจนถึงขีดสุด พลังของกรงเล็บมังกรเมฆาจึงเพิ่มขึ้น
ซูเฉินเริ่มใช้เนตรมองโลกจุลภาคสังเกตทันที ตอนนี้เขากำลังซึมซับเอาวิชาของทั้งกู่ชิงลั่วและโจวหยาซานเข้าไป
หลังจากใช้มันมากว่ายี่สิบปี เนตรมองโลกจุลภาคของเขาก็ยิ่งพึ่งพาได้ ใช้จำแนกการโจมตีได้ทันท่วงที หากแต่เขาไม่มีโอกาสใช้มันกับการต่อสู้ระดับนี้บ่อยนัก มีครั้งก่อนก็เมื่อตอนที่ขบวนสัตว์อสูรบุกเมือง นั่นเขาก็มัวแต่ช่วยเหลือคนอื่นอยู่เช่นกัน แต่ครั้งนี้เขาได้มีโอกาสสังเกตการต่อสู้ระหว่างด่านสู่พิสดารขั้นสูงเสียที