ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 98 ปราการลุ่มน้ำทอง
บทที่ 98 ปราการลุ่มน้ำทอง
ณ ปราการลุ่มน้ำทอง
มันเป็นปราการที่ตั้งมาตั้งแต่ ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานราวเจ็ดพันปี
เดิมทีมันสร้างขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิปิง ถูกฟื้นฟูและทอดทิ้งหลายครา ครั้งแรกที่ฟื้นฟูคือเมื่อจักรพรรดิปิงเสียแดนให้เผ่าคนเถื่อน เพื่อรับมือกับเผ่าคนเถื่อน ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์จึงสร้างปราการนี่ขึ้นมา
จากนั้นไม่นาน มนุษย์ก็ยึดเอาแดนที่ถูกชิงไปจากเผ่าคนเถื่อนกลับมาได้บางส่วน เมื่อชายแดนขยาย ประโยชน์ของปราการลุ่มน้ำทองก็หายไป
หากแต่การโต้กลับของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ก็เหมือนกับของรุ่นสุดท้ายของทุกราชวงศ์ เผ่าคนเถื่อนตอบโต้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปราการลุ่มน้ำทองกลายเป็นเสาหลักปกป้องแคว้นอีกครา
ผ่านไปเจ็ดพันปี ปราการลุ่มน้ำทองผ่านมาหลายวงเวียน ทุกครั้งที่ฟื้นฟูกลับมาใช้งานก็สอดคล้องกับความอ่อนแอลงของอาณาจักร
หรือก็คือความสำคัญของปราการลุ่มน้ำทองน่าขันนัก
หลังราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ล่มสลายแตกแยก อาณาจักรหลงซางก็แบกรับภาระในการป้องปรามเผ่าคนเถื่อนเพราะอยู่ใกล้ทิศเหนือ
เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันค่อนข้างอ่อนแอ ปราการลุ่มน้ำทองจึงกลายเป็นสถานที่ยุทธศาสตร์อีกครั้ง
ปราการลุ่มน้ำทองตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาสีเลือดกับเทือกเขาหินปูน มีลุ่มน้ำทองคำไหลอยู่ไม่ไกล ตัวปราการล้อมรอบไปด้วยสายน้ำและขุนเขา ทำให้ง่ายต่อการป้องกัน ยากแก่การโจมตี ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เผ่าคนเถื่อนแอบเข้ามาได้
ตามเทคนิคแล้วมีปราการลุ่มน้ำทองแค่แห่งเดียว แต่จริง ๆ มีป้อมปราการอีกสองแห่ง และเมืองปีกอีกสองเมืองในพื้นที่ รวมเป็นห้าแห่ง ทั้งหมดถูกวางเป็นห้าตำแหน่งสำคัญทางยุทธศาสตร์ในบริเวณเทือกเขาทั้งสอง และเชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด
ปราการหลักมีสองชั้น กำแพงชั้นนอกสูง 15 จั้ง ชั้นใน 20 จั้ง ดังนั้นแม้ศัตรูจะปีนกำแพงนอกมาได้ ทหารด้านในก็ยังโจมตีศัตรูด้านนอกได้อยู่ดี
กำแพงทำจากโลหะดำขัด เมื่อโลหะดำผสมเลือดเข้าไปก็จะกลายเป็นสีทอง ดังนั้นจึงกลายเป็นชื่อปราการลุ่มน้ำทอง
…โลหะดำขัดไม่ได้ทนทานมาก แต่สามารถนำพลังได้ โลหะดำขัดแต่ละก้อนจะสลักอักขระค่ายกลเอาไว้ทั่ว กำแพงโลหะดำขัดจึงมีหน้าที่หลัก ไม่ใช่เพื่อต้านแรงโจมตี แต่เพื่อค่ายกลต่างหาก เมื่อเปิดค่ายกลแล้วจะมีเกราะขนาดใหญ่คุ้มไปทั่วทั้งปราการ
เกราะนี้ยอมให้การโจมตีด้านในออกด้านนอกเท่านั้น กั้นการโจมตีจากภายนอกทั้งหมดไม่ให้เข้าไป
ภายในเมืองมีหอสูงอยู่ทั้งหมดเก้าแห่งที่คอยปกป้องแก่นของค่ายกล หากหอยังไม่ถล่ม ก็จะมอบพลังต้นกำเนิดไร้จำกัดให้เกราะพลังปกป้องปราการได้ แน่นอนว่าการเปิดใช้ค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้พลังต้นกำเนิดมากมาย ทุกชั่วคณะที่ค่ายกลคงอยู่ต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดนับหมื่น
ดังนั้นปราการลุ่มน้ำทองจะไม่เปิดใช้ค่ายกลนี้เว้นเสียแต่เป็นเรื่องฉุกเฉิน
นอกจากเกราะป้องกันแล้ว ปราการลุ่มน้ำทองยังมีปืนใหญ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ 1,400 กระบอกซึ่งแกร่งและใหญ่กว่าปืนใหญ่ฟ้าลั่นที่ซูเฉินเคยมี กับยังมีปืนใหญ่ที่สร้างเป็นพิเศษอีก 20 กระบอกที่สังหารราชันอสูรกายในคราเดียว เมื่อเจอปืนใหญ่เช่นนี้เข้าไป ไม่ว่าจะแกร่งเท่าไร คนคนเดียวก็ไม่อาจสู้ไหว
ทว่าถึงอย่างนั้นอาวุธแกร่งก็ยังย่อมต้องใช้คนมีวิชาเพื่อดึงความแกร่งออกมาโดยสมบูรณ์ ดังนั้นปราการลุ่มน้ำทองจึงเต็มไปด้วยนักรบมากฝีมือ
ในปราการมีทหารทั้งหมดหนึ่งแสน ทุกคนเป็นยอดฝีมือจากอาณาจักรหลงซาง การฝึกฝนเข้มงวด ความสามัคคีไร้ที่ติ ทุกคนมีใจกล้าหาญไร้เกรงกลัว และเพราะสู้กับเผ่าคนเถื่อนเป็นหลัก จึงได้ชื่อว่ากองกำลังกวาดล้างเผ่าคนเถื่อน โดยทัพนี้เป็นทัพที่มีชื่อที่สุดในอาณาจักรหลงซาง
กองกำลังกวาดล้างเผ่าคนเถื่อนนั้นแบ่งเป็น 10 ทัพย่อย ทัพละราวหมื่นนาย มีชื่อดังต่อไปนี้ กองทัพกำลังสวรรค์ กองทัพล่วงสวรรค์ กองทัพหมอกสวรรค์ กองทัพปีศาจสวรรค์ กองทัพกวาดล้างสวรรค์ กองทัพปฐพีคลั่ง กองทัพไฟปฐพี กองทัพมังกรปฐพีกองทัพปฐพีสันติ และกองทัพปฐพีสงบ
กองทัพสวรรค์เน้นการโจมตี ส่วนกองทัพปฐพีเน้นการป้องกัน
ทัพที่หายไปในทุ่งหญ้าฮาเหวยคือกองทัพกำลังสวรรค์ของฉือไคฮวง
พระอาทิตย์ตอนเที่ยงส่องแสงเจิดจ้านัก
ซูเฉินทอดสายตามองไปไกลยังหอสูงที่เริ่มเห็นได้ในมุมสายตา แสงตะวันจ้ากระทบโลหะดำขัดจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับ
ด้วยปราการลุ่มน้ำทองนั้นมีค่ายกลโอบล้อม ไม่อาจบินเข้ามาได้ ซูเฉินจึงต้องเดินเท้าเข้ามา
เขาขี่ม้าจนตายบนภูเขาไปตัวหนึ่งแล้ว ซูเฉินจึงต้องเดินเท้ามาไกลไม่ใช่น้อยกว่าจะถึง
ป้อมปราการตั้งตระหง่านอยู่เหมือนภูเขาสูง ทำเอาซูเฉินรู้สึกราวกับมดตัวน้อยที่หน้าประตูใหญ่
การต่อสู้กับเผ่าต่าง ๆ ได้ประโยชน์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ค่อยมีสายลับต่างเผ่า เพราะอย่างไรหากมีคนที่มีลักษณะเช่นเผ่าคนเถื่อนพยายามเข้าคลุกคลีกับมนุษย์แล้วก็คงเห็นได้ทันที ดังนั้นการป้องกันหลังปราการจึงไม่แน่นหนา ทหารเฝ้าประตูถามไม่กี่คำพอเป็นพิธี ไม่มีการข่มขู่สักนิด
ตามแผนแล้ว ซูเฉินจะตามหากองทัพหมอกสวรรค์ แล้วหาตัวเซียวเฟยหนาน แต่เมื่อเข้าเมืองมาท้องก็ลั่นโครกด้วยความหิว เขาที่พลันเห็นร้านเหล้าไม่ไกลนัก ดังนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าไป
เพิ่งเข้าร้านไปก็มีคนกระโดดมาตรงหน้า “จับตัวเจ้าได้แล้ว ! ฮ่า ๆ!”
ซูเฉินสะดุ้งสุดตัว ซัดท่าฝ่ามือออกไปตามสัญชาตญาณ หากแต่เมื่อท่าโจมตีกำลังเข้าปะทะ ก็เห็นว่าเป็นเยี่ยเม่ย จึงรีบสลายพลังโจมตี ทำเอาข้อมือแพลง ได้แต่กัดฟันทนความเจ็บไป
เยี่ยเม่ยไม่เห็นอะไร นางหัวร่อยืนมือเท้าเอว “เจ้าว่าไง ? ครั้งนี้เจ้าหาข้าไม่เจอเป็นคนแรกใช่ไหมเล่า ? ครั้งนี้ข้าลอบโจมตีสำเร็จกระมัง ?”
“……ใช่”
ครั้งนี้ซูเฉินจับสัมผัสนางไม่ได้เลย แต่นางจำเป็นต้องดีใจขนาดนั้นเลยหรือ ?
ทั้งสองอย่ในเมืองค่ายทหาร ท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยคน อีกทั้งซูเฉินยังคิดเรื่องมากมาย ไม่แปลกที่จะไม่เห็นนาง
เขามองเยี่ยเม่ยด้วยสายตาดุร้าย “เจ้ามาที่นี่ทำไม ?”
“ก็มาหาเจ้าน่ะสิ” เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเริงร่า
ซูเฉินเหลือบมองรอบกาย ไม่เห็นว่ามีใครสนใจ ดังนั้นจึงดึงเยี่ยเม่ยไปด้านข้างแล้วถามเสียงเบา “แม่นางท่านนี้อยากตายหรือไร ? อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นอา…… เจ้าเป็นพวกเขา หากถูกพบตัวเข้า คิดหรือว่าจะรอด ?”
“เช่นนั้นข้าจะระวังให้มากหน่อยแล้วกัน” เยี่ยเม่ยดูไม่ใส่ใจ
“……ใครให้เจ้ามาตามข้า ? รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ?”
“ก็ต้องหัวหน้าน่ะสิ เจ้าไม่รู้หรือว่าหลังจากเรื่องที่เมืองภูผาเมิน ทุกคนก็จับตามองเจ้าใกล้ชิดมาตลอด ?”
ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “จับตามองโทเทมโลหิตสลายหรือภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเล่า ? หรือเป็นอาวุธวิญญาณ ?”
เยี่ยเม่ยตาเป็นประกาย “อ้อ ? รู้แล้วนี่เอง !”
ตลกแล้ว ! เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ?
แม้ซูเฉินจะได้กำไรจากการไปที่ปราสาทนั่นไม่น้อย แต่ก็เผยกำลังไปไม่น้อย โทเทมโลหิตสลาย อาวุธวิญญาณ และภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดล้วนเป็นวิชาสะท้านใต้หล้า ใครจะไม่อยากได้วิชาเหล่านี้มาเป็นของตนเล่า ?
เพราะเหตุนี้ อารามนิรันดร์จึงจับตามองเขาใกล้ชิด
เช่นนี้แล้ว ก็ไม่แปลกที่จะรู้สถานที่เขาได้
การที่ซูเฉินจะขอตระกูลกู่แต่งงานกับกู่ชิงลั่วนั้นไม่กระทบพวกเขา พวกเขาจึงไม่เข้าแทรก
แต่หากซูเฉินจะไปเผ่าคนเถื่อนเพื่อตามหาฉือไคฮวง เช่นนั้นก็ไม่ได้แล้ว
แม้ซูเฉินจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรก แต่เมื่อเยี่ยเม่ยบอกว่าทุกคนจับตามองเขาหลังจากเรื่องในเมืองภูผาเมิน เขาก็รู้ทันที …หากไม่รู้ก็คงไม่ใช่ซูเฉิน
ได้ยินนางเอ่ยแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะเย็นชา “ข้ารู้ แต่น่าเสียดาย ข้าไม่มีแผนจะขายสามวิชานี้”
เยี่ยเม่ยปรบมือ “พวกเบื้องบนรู้ว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้ ก็เลยบอกมาว่าหากอยากช่วยเหล่าฉือ เจ้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเรา”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ซูเฉินชะงักไป
“เปล่าหรอก ก็แค่หัวหน้าบอกให้ข้าบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ผู้เหลือรอดอาร์คาน่ามีอยู่ทุกแห่ง หากมีอยู่ในเผ่ามนุษย์ ย่อมมีอยู่ในเผ่าคนเถื่อนเช่นกัน”