ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 100 เริ่มลงมือ
บทที่ 100 เริ่มลงมือ
ฆ่าพวกเขาทิ้งให้หมด !
เมื่อเผ่าปักษาทั้งหมดที่หลบหนีออกจากเมืองเขามังกรมาได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็พากันตกตะลึง
การอยู่เฝ้าดูสถานการณ์จนจบช่างมีราคาที่สูงยิ่ง
เพื่อความอยู่รอดจือฮัวนู๋เองก็ยินดีที่จะใช้ทุกวิถีทางเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มนุษย์นกเหล่านั้นเข้าใจดีว่าพวกเขาไม่อาจวิ่งหนีได้
ในเวลานี้ ใครหนีก่อนก็เท่ากับตาย !
พวกเขาทั้งหมดหันมองไปทางซูเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัว หลายคนก็เริ่มร้องตะโกนขอความเมตตา
ซูเฉินเหลือบมองไปยังเผ่าปักษาที่หมอบกราบยอมจำนนให้เขา
เมืองเขามังกรเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีมนุษย์นกอาศัยอยู่มากนัก แต่อย่างน้อยก็มีอยู่หลายหมื่นตน
ในระหว่างการต่อสู้ มนุษย์นกหลายหมื่นตนไม่อาจหนีออกจากเมืองได้ทันเวลา แต่ก็ยังมีผู้ที่รอดมาได้ถึง 7-8 หมื่นตนอยู่บนท้องฟ้านี้
มนุษย์นกส่วนใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดา มีเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าและไม่มีคนใดอยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะรับมืออีกฝ่ายได้ถึงแม้จะมีจำนวนคนมากกว่าก็ตาม อย่างไรเสีย คุณภาพก็ยังคงสำคัญกว่าปริมาณ หากเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 3 หรือ 4 ถึง 7 หมื่นคนนั่นก็คงเพียงพอที่จะฆ่าซูเฉินได้ แต่กับคนธรรมดาเหล่านี้ หากให้พวกเขาพยายามโจมตีซูเฉินก็ไม่ต่างจากขอให้พวกเขาไปตายเปล่า
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันง่ายมากสำหรับซูเฉินที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมดทิ้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขายังมีจือฮัวนู๋ผู้เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ที่เต็มใจจะช่วยอีก
แต่มันจำเป็นต้องทำอย่างนั้นจริงหรือ ?
แม้ว่าซูเฉินจะเป็นมนุษย์ และไม่ได้สนใจชีวิตของมนุษย์นกเหล่านี้เป็นพิเศษ แต่เขาก็ยังต้องมีขอบเขตเวลาจะลงมือทำอะไรบางอย่างอยู่ดีจริงไหม ?
ถึงมันจะฟังดูน่าตลกที่จะพูดเรื่องอะไรแบบนี้ หลังจากที่เขาเพิ่งจะทำลายเมืองทั้งเมือง และคร่าชีวิตของคนธรรมดานับหมื่นคนไปก็ตาม
ไม่ว่าขอบเขตขีดจำกัดของเขาจะต่ำแค่ไหน มันก็ยังมีอยู่
มันยังมีความแตกต่างระหว่างการตั้งใจสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์ กับการทำให้คนจำนวนมากตายด้วยผลกระทบจากการต่อสู้อยู่
อย่างน้อยสำหรับซูเฉินมันก็ต่างกัน
ในยามนี้ แค่ประโยคเดียวของซูเฉินก็สามารถตัดสินชะตากรรมของมนุษย์นก 7-8 หมื่นตนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาได้แล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็พูดขึ้น “ช่างมันเถอะ ข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มนุษย์นกทุกตนก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้แต่จือฮัวนู๋เองก็โล่งใจเช่นกัน
แต่นางไม่ได้ถอนหายใจเพื่อมนุษย์นกเหล่านั้น แต่เพื่อตัวเอง
คำพูดของซูเฉินแสดงให้เห็นว่าเขายอมรับข้อเสนอของนางแล้ว
การมีเจ้านายที่ไม่เต็มใจจะฆ่าผู้คนอย่างป่าเถื่อนย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ง่ายกว่าเจ้านายผู้ชื่นชอบการฆ่าอยู่แล้ว
หลังจากยอมรับข้อเสนอมอบวิญญาณของจือฮัวนู๋แล้ว ซูเฉินก็ได้ผู้ใต้บังคับบัญชามาอีกหนึ่งคน
จือฮัวนู๋ติดต่อกลับไปหามือแห่งโชคชะตาด้วยวิธีการสื่อสารแบบพิเศษเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเขาล่าช้า ซูเฉินก็หันมาพูดกับกุยซานเยว่ “เจ้าได้เห็นทุกอย่างที่ควรเห็นแล้ว เจ้าคงรู้ว่าต้องทำอะไร”
กุยซานเยว่ถอนหายใจ
ตอนนี้ทั้งตระกูลของเขาได้หายไปแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามซูเฉินไปจนสุดทาง เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกคนอื่น ๆ ให้เตรียมตัวเดินทางในทันที”
————————————
แดนลับของอวี้ชิงหลานตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ทางใต้ของเมืองล่องนภา ในสถานที่ที่เรียกกันว่าเขื่อนกั้นวาโย
ซึ่งก็ตรงตัวตามชื่อของมัน เขื่อนกั้นวาโยเป็นที่ที่มีพายุหนาวเจาะกระดูกพัดอยู่ตลอดทั้งปี จนแม้แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงก็ยังไม่อาจทนอยู่ได้นานนัก
ถึงเขื่อนกั้นวาโยจะถูกเรียกว่าเขื่อน แต่แท้จริงแล้วมันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีภูมิประเทศหลากหลายและแปลกประหลาดอยู่ทุกประเภท ทั้งทะเลทราย เนินเขา ถิ่นทุรกันดาร เพราะเผ่าปักษาชอบอยู่บนที่สูง ๆ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก และไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายมากนัก สัตว์อสูรที่แปลกประหลาดและของหายากแทบทุกชนิดสามารถหาพบได้ทั่วไปในอาณาเขตแห่งนี้
มนุษย์นกกลุ่มใหญ่บินข้ามถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ของเขื่อนกั้นวาโย มาหยุดลงที่บริเวณใกล้เทือกเขานิลกาฬ
กุยซานเยว่ชี้ไปที่ด้านหน้าและพูดขึ้นว่า “ข้ามผ่านแม่น้ำอดีตกาลเพ่งพิศไป ก็จะเป็นแม่น้ำเทพธิดา แผนที่บอกว่ามีแดนลับแห่งขุมทรัพย์อยู่ที่นั่น”
“ที่นั่นมีมนุษย์นกอาศัยอยู่หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม ขณะที่มองไปยังทิศทางที่กุยซานเยว่ชี้
“มีเมืองเล็ก ๆ มนุษย์นกบางส่วนอาศัยอยู่ที่นั่น” กุยซานเยว่ตอบ ตระกูลกุยซานได้วางแผนเรื่องแดนสมบัติลับนี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะเข้าใจสถานการณ์รอบ ๆ เป็นอย่างดี
“แต่… ” กุยซานเยว่ลังเล
“แต่อะไร” ซูเฉินถาม
“เมื่อไม่นานมานี้ได้มีกลุ่มโจรมาอาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียง”
“โจร ?”
“ใช่ นักล่าวายุ”
นักล่าวายุ ?
ซูเฉินหรี่ตาลงหลังจากที่ได้ยินชื่อนี้
เขายังไม่ลืมการปะทะกันก่อนหน้านี้ ระหว่างเขากับอีกฝ่าย
ในตอนนั้นกลุ่มนักล่าวายุได้มาตรวจสอบความแข็งแกร่งของคณะทูตตามคำสั่งของใครบางคน
นอกจากงานสกปรกที่กลุ่มนักล่าวายุทำให้กับหัวหน้าของพวกเขาแล้ว พวกเขายังมีเป้าหมายและภารกิจของตนเองด้วย อันที่จริงเหตุผลหลักที่พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อหัวหน้า นั่นก็เพื่อทำให้ภารกิจของตนเองง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่นสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ที่นี่
ตามคำกล่าวของกุยซานเยว่แล้ว นี่เป็นฐานที่มั่นเล็ก ๆ ของกลุ่มนักล่าวายุ สมาชิกที่อยู่ที่นี่มีหน้าที่หลักในการตามล่าโกเฟอร์อับโชค
โกเฟอร์อับโชคเป็นสัตว์อสูรหายากที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่ความสามารถในการรับรู้และขุดเจาะของพวกเขาเรียกได้ว่าดีเยี่ยม เผ่าปักษาสามารถเคลื่อนที่ในอากาศได้ตามใจนึก แต่การจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ดินนั้นไม่ใช่งานง่ายสำหรับพวกเขา
โกเฟอร์อับโชคมีกระเป๋าแก้มที่เป็นวัตถุดิบหายากอยู่ นักล่าวายุล่าพวกมันและเก็บกระเป๋าเหล่านี้มาเป็นรายได้สนับสนุนกลุ่มของพวกเขา
แน่นอน พวก เขา ยัง คง รับงานผิดกฎหมายเป็นครั้งคราวด้วย
สรุปคือสถานที่แห่งนี้เป็นที่ดินส่วนตัวของกลุ่มโจรนักล่าวายุ
ดังนั้นเมื่อกุยซานเยว่กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาถึงดูระวังตัวมาก
แต่ซูเฉินไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ไปเถอะ เรื่องพวกนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร”
เมื่อเขาเห็นท่าทีที่ดูประมาทของซูเฉิน กุยซานเยว่ก็สาปแช่งอยู่ในใจ ‘ทีแรกก็บอกว่าจะช่วยให้ตระกูลกุยซานปลอดภัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย’
แน่นอนว่าเขารู้ว่านั้นไม่ใช่ความผิดของซูเฉินทั้งหมด ท้ายที่สุด การที่เขาปฏิเสธที่จะมอบแผนที่ให้ซูเฉินตั้งแต่แรกก็นับว่ามีส่วนผิด หากเขาส่งแผนที่ไปเร็วกว่านี้มันก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับยืนกรานที่จะรักษาผลกำไรของตระกูล ด้วยการทดสอบความแข็งแกร่งของซูเฉิน
ตอนนี้เขาได้เห็นในสิ่งที่เขาต้องการเห็นแล้ว และตระกูลของเขาก็ถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน
แค่สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลมีรอดชีวิตมาได้ก็เรียกได้ว่าเขาโชคดีมากแล้ว
พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเล็ก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ถึงที่หมาย
เมืองนี้รู้จักกันในชื่อเมืองมากเมฆา แม้ว่าจะเป็นเมืองของเผ่าปักษา แต่เมืองนี้กลับถูกสร้างขึ้นบนพื้นดิน เนื่องจากบริเวณรอบ ๆ ไม่มีภูเขาอยู่ใกล้ ๆ เลย
ในเมืองมีมนุษย์นกอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นมันจึงเงียบและสงบมาก ถึงกลุ่มโจรนักล่าวายุจะโหดร้าย แต่กระต่ายก็ไม่กินหญ้าข้างรัง(1) พวกเขาไม่เคยทำอะไรให้ชาวเมืองหวาดกลัวเลย ยังไงซะพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิต ถ้าหากมนุษย์นกธรรมดาเหล่านี้หนีไป แล้วในอนาคตพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ?
เมื่อคณะเดินทางมาถึงเมืองพวกเขาก็หยุดพักในทันที พวกเขาจำเป็นต้องหยุดที่นั่นและซื้อของใช้จำเป็นก่อนที่จะเดินทางต่อ
ซูเฉินเดินไปรอบ ๆ เมืองเพื่อดูว่ามีอะไรน่าสนใจหรือไม่ตามนิสัยของเขา อิงอิงกับจือฮัวนู๋ต่างก็ตามเขาไปรอบ ๆ ทำตัวเป็นสาวใช้ที่ดี
แม้ว่าในเมืองจะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แต่ก็ยังพอมีของพิเศษให้ซูเฉินได้เก็บเกี่ยวไปอยู่บ้าง
บางอย่างก็มีประโยชน์ในการทดลองของเขา บางส่วนก็สามารถใช้ทำยาได้ ที่สำคัญที่สุดคือส่วนผสมเหล่านี้มีราคาถูกมาก ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกซื้อบางอย่างมาเก็บไว้
ขณะที่กำลังเดินอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเขาก็เห็นกลุ่มพ่อค้ากลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
เมื่อสังเกตดูให้ดี ซูเฉินก็ตกตะลึง
เป็นหลี่ต้าวหง
เหตุใดชายผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ ?
หลี่ต้าวหงเป็นมนุษย์ ในสถานที่เช่นนี้รูปลักษณ์ของเขาจึงสะดุดตาอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย และยังดูเพลิดเพลินกับการเป็นเป้าสายตาของทุกคนอีกต่างหาก
หลี่ต้าวหงเดินไปตามถนนอย่างสง่างามพร้อมกับขบวนพ่อค้าของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ตัดสินใจก้าวหลบออกไปด้านข้างและเว้นทางเอาไว้
แม้ว่าเขาจะต้องการที่จะทำความเข้าใจหลี่ต้าวหงให้มากกว่าเดิม แต่คลังสมบัติลับของอวี้ชิงหลานนั้นสำคัญกว่า มีเรื่องให้กังวลน้อยลงหนึ่งเรื่องนับว่าเป็นการดี เนื่องจากซูเฉินสวมหน้ากากอยู่อีกฝ่ายจึงมองไม่เห็นหน้าของเขาและไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“นายท่าน ดูเหมือนว่าท่านจะสนใจมนุษย์คนนี้เป็นพิเศษ ?” ทันใดนั้นจือฮัวนู๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น
ในฐานะปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ทักษะการสังเกตของนางจึงค่อนข้างเฉียบคม
นางสังเกตถึงความสนใจที่ซูเฉินมีต่อหลี่ต้าวหงได้ตั้งแต่แรก
ซูเฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล แต่จู่ ๆ กลับมีกลุ่มมนุษย์ปรากฏขึ้น คงจะแปลกถ้าข้าไม่รู้สึกสนใจพวกเขา นอกจากนี้การที่มนุษย์กลุ่มนี้สามารถเข้ามาในแดนเผ่าปักษาของเราได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการของเรา”
ดวงตาของจือฮัวนู๋หรี่ลง “ให้ข้าจัดการพวกมันเลยดีหรือไม่ ?”
“อย่าสร้างปัญหาเลยจะดีกว่า” ซูเฉินกล่าวก่อนจะหันหลังเดินจากไป
จือฮัวนู๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของซูเฉิน
ในจังหวะที่หลี่ต้าวหงเดินผ่านพวกเขาไป เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นอิงอิงกับจือฮัวนู๋ พวกนางทั้ง 2 ดูน่าดึงดูดยิ่งจนเขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกลับมาอีกสองสามครั้ง
เมื่อจือฮัวนู๋เห็นสายตาที่เปี่ยมด้วยราคะของหลี่ต้าวหง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจของนาง เนื่องจากเจ้านายของนางห้ามไม่ให้สร้างปัญหา นางจึงปล่อยให้ชายผู้นี้เป็นฝ่ายสร้างปัญหาแทน จือฮัวนู๋ขยิบตาให้หลี่ต้าวหงและเลียริมฝีปากของนางเล็กน้อย ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
แม้ว่านางจะไม่มีความสามารถที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ ทว่าแค่ความงามตามธรรมชาติของนางก็มากพอแล้วที่จะกระตุ้นตัณหาของเขา
เมื่อหลี่ต้าวหงเห็นเช่นนี้ เขาก็หัวเราะคิกคัก “ข้าไม่เคยนึกเลยว่าจะมีสตรีที่ยอดเยี่ยมอย่างเจ้าอยู่ในที่แบบนี้ด้วย”
ขณะที่พูดเขาก็เอื้อมมือมาแตะแก้มของจือฮัวนู๋
ในมุมมองของหลี่ต้าวหง จือฮัวนู๋กำลังล่อลวงเขาด้วยความตั้งใจของนางเอง ดังนั้นท่าทีการตอบสนองนี้ของเขาจึงนับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่จู่ ๆ จือฮัวนู๋ก็เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงมือของเขา แล้วใช้โอกาสนั้นซ่อนอยู่ข้างหลังซูเฉินและจับมือของเขาไว้ “นายท่าน คนผู้นี้ลวนลามข้า”
“หือ ?” ซูเฉินหันไปมองจือฮัวนู๋
ท่าทีของนางในตอนนี้ดูไร้เดียงสายิ่ง
หลี่ต้าวหงเองก็ตกตะลึง เขาโกรธขึ้นมาในทันที “เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ ?”
จือฮัวนู๋ส่งเสียงขู่เขาอย่างเย็นชา นางหันหน้าหนีไปอีกทางและเมินเขาไป
ซูเฉินเหลือบมองจือฮัวนู๋สลับกับหลี่ต้าวหง ก่อนจะเริ่มเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาอยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับเขา
เดิมทีหลี่ต้าวหงก็เป็นคนที่หยิ่งผยองอยู่แล้ว อีกทั้งยังเคยชินกับการใช้ชีวิตกับการรังแกผู้อื่นมาโดยตลอด แล้วเขาจะยอมให้มีใครรังแกเขาได้อย่างไร ? เขาถูกบังคับให้ต้องควบคุมตัวเองเมื่ออยู่ภายใต้การจับตาของเผ่าปักษา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล เกินกว่าสายตาเหล่านั้นมันไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัว ดังนั้นหลี่ต้าวหงจึงหันไปหาซูเฉินในทันที “เจ้าเด็กเหลือขอ คนใช้ของเจ้ากล้าล้อเล่นกับข้า ข้าขอสั่งให้เจ้าส่งตัวนางมาให้ข้าซะ !”
ซูเฉินเหลือบมองกลับไปทางอีกฝ่าย ภายใต้หน้ากากแววตาของเขาเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง
เขาจ้องมองไปหลี่ต้าวหงเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
หลี่ต้าวหงกระแทกเสียงถามอย่างโกรธจัดหลังเห็นสายตาของเขา “เจ้ากำลังมองอะไร !?”
ซูเฉินกล่าวด้วยสียงต่ำแหบ “ต้องขออภัยด้วย ข้าหวังว่าท่านจะเต็มใจให้อภัยและปล่อยเรื่องนี้ไป”
เขากับหลี่ต้าวหงเคยพบกันเพียงครั้งเดียวและไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ดังนั้นหลี่ต้าวหงจึงไม่ควรจำเสียงของเขาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายมีสมองของข้ารับใช้หลวงอยู่ ซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะกดเสียงลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสะกิดใจแล้วจำเขาได้
จือฮัวนู๋เหลือบมองเขาอย่างสงสัยก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบ ๆ
หลี่ต้าวหงไม่ได้สนใจเสียงของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย เขาหัวเราะอย่างดุร้าย “แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ ?”
ดวงตาของซูเฉินหรี่ลง ทั้ง 2 ประจันหน้ากันต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมถอย พวกเขาเริ่มต่อสู้กันด้วยพลังจิต
ซูเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาพบว่าพลังจิตของหลี่ต้าวหงนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งพอสมควร แม้ว่าในการปะทะครั้งนี้เขาจะไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ทว่าด้วยพลังแค่เท่านี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจทนได้รับแล้ว แต่หลี่ต้าวหงกลับต่อต้านได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังมีพลังงานเหลือพอที่จะโต้กลับมาอีกด้วย
สายเลือดเทพอสูรช่างไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
หลี่ต้าวหงเองก็ทำหน้าประหลาดใจ “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าเจ้าจะพอมีฝีมืออยู่บ้างนะ”
ขณะที่พูดหลี่ต้าวหงก็เพิ่มแรงกดดันขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อความตั้งใจต่อสู้ของซูเฉินถูกอีกฝ่ายยั่วยุ เขาจึงเพิ่มพลังของตัวเองขึ้นเช่นกัน แรงกดดันที่ไร้รูปลักษณ์เริ่มกระจายตัวปกคลุมบริเวณรอบตัวพวกเขา
การต่อสู้ที่ดุเดือดเริ่มขึ้นในชั่วพริบตา
*****
(1) กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง 兔子不吃窝边草
หมายถึง คนที่จะไม่ทำอะไรที่ทำไปแล้วก็จะเป็นการทำร้ายหรือเกิดผลเสียกับคนข้างๆ เพราะที่สุดก็จะกระทบตัวเองด้วย เหมือนกับกระต่ายที่จะไม่กินหญ้าข้างรัง เพราะถ้าหญ้าข้างรังแหว่งไป นักล่าก็จะเห็นแล้วมาจับกระต่ายไปกินทั้งรังได้อย่างสบาย