ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 103 ฝันร้ายที่ว่างเปล่า
บทที่ 103 ฝันร้ายที่ว่างเปล่า
ซูเฉินถูกเกี่ยวพันไปด้วยเถาวัลย์นับไม่ถ้วนทันทีที่เขาผลุบลงไปในปากซึ่งพันรอบกายเขาและส่งเขาลึกลงและลึกลงไปในต้นไม้ กระทั่งด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาก็รู้สึกสับสนไม่น้อยกับการโดนดึงไปมาอย่างรุนแรง แดนลับนี้ไม่อ่อนโยนต่อชายหนุ่มเลยสักนิด
แต่หลังจากที่ผ่านทางเข้ายาวเหยียดและเข้าไปถึงหัวใจของต้นไม้ ซูเฉินก็ลืมตาขึ้นและพบกับพื้นที่กว้างใหญ่ที่เปิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
เบื้องหน้าเขาคือผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นรังปักษาตั้งตระหง่าน
ต้นรังปักษาเป็นต้นไม้ประเภทพิเศษที่เป็นของเผ่าปักษาโดยเฉพาะ พื้นผิวของมันนั้นยากยิ่งนักที่จะจับต้อง และพวกมันยังยืดหยุ่นมากระหว่างกระบวนการเติบโต ทำให้พวกมันไวต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโตของต้นไม้และผสมผสานความยืดหยุ่นและความมั่นคงอย่างสวยสดงดงาม นี่คือเหตุผลที่เผ่าปักษาใช้ต้นไม้เหล่านี้ในการสร้างห้องหับต่าง ๆ ตราบใดที่พวกเขาปรับแต่งกิ่งก้านของต้นรังปักษาไปในทิศทางที่ถูกต้อง พวกมันจะโตขึ้นตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้และกลายเป็นบ้านตามธรรมชาติในที่สุด พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ขวานในการสลักมันด้วยซ้ำ
เผ่าปักษาชอบในสิ่งของที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขาชอบการใช้ต้นรังปักษาในการสร้างที่อยู่อาศัยของพวกเขา
ห้องมากมายบนหมู่เมฆถูกเตรียมไว้เพื่อรองรับเผ่าปักษาชั้นสูง แต่ต้นรังปักษาเหล่านี้นั้นเป็นที่ที่เผ่าปักษาทั่วไปอาศัยอยู่
ต้นรังปักษาแต่ละต้นในป่าอันกว้างใหญ่เบื้องหน้าเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปเป็นสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้
“พระเจ้า ! เป็นต้นรังปักษาที่ใหญ่อะไรเช่นนี้ ! นี่มันเมืองตามธรรมชาติดี ๆ นี่เอ ง!” อิงอิงผู้ติดตามเขาเข้ามาตะโกนขึ้น
สำหรับเผ่าปักษาแล้วนี่คือเรื่องน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว !” จือฮัวนู๋พึมพำกับตัวเอง
“เจ้าเข้าใจอะไร ?” ซูเฉินถาม
จือฮัวนู๋ตอบ “ข้าเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับด่านลับนี้แล้ว”
“อะไรหรือ ?” ทุกคนล้วนถาม
จือฮัวนู๋กล่าว “นี่ควรจะเป็นป้อมปราการศึกที่อวี้ชิงหลานในตำนานทิ้งไว้ให้พวกเขา”
“ป้อมปราการศึก !” ทุกคนต่างแผดเสียงด้วยความตื่นตกใจ
ป้อมปราการศึกจุดลอยเหล่านี้ล้วนเป็นปราสาทที่เผ่าปักษาภาคภูมิใจ ปราการศึกเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาในการอาศัยอยู่บนทวีปผืนนี้
จะกล่าวว่าแต่ละปราการศึกเป็นศักดิ์ศรีของเผ่าปักษาก็ว่าได้
และในตอนนี้จือฮัวนู๋กำลังบอกพวกเขาว่าที่นี่มีอีกหนึ่งป้อมปราการศึกอย่างนั้นหรือ ?
แววตาของซูเฉินลุกเป็นประกาย “ใช่แล้ว นี่คือป้อมปราการศึก แต่มันไม่สมบูรณ์แบบ”
อวี้ชิงหลานเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน เขาจึงมีรสนิยมที่เป็นตำนานไปด้วย ไม่เช่นนั้นก็คงจะน่าอับอายต่อชื่อปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานของเขา ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานคนนี้จึงได้ตำสินใจอย่างเหมาะสมที่จะสร้างป้อมปราการศึกขึ้นด้วยตัวเขาเอง
ในขณะเดียวกัน ซูเฉินสามารถทำได้เพียงหัวเราะให้กับความคิดนั้น
โดยไม่ต้องมองสิ่งที่อวี้ชิงหลานทิ้งไว้ให้เสียด้วยซ้ำ ซูเฉินก็รู้ว่าเขาล้มเหลว ไม่อย่างนั้นปราการศึกนี้คงจะไม่หลบซ่อนมาได้จนถึงตอนนี้
จากโครงสร้างของต้นไม้แล้ว ดูเหมือนว่าแผนของอวี้ชิงหลานจะเป็นการสร้างปราการศึกโดยใช้พืชที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ เขากระทั่งปลูกฝังต้นรังปักษาจำนวนมากไว้ภายในต้นไม้เพื่อตอบสนองความต้องการของทุก ๆ คน
นอกจากเมืองเล็ก ๆ แห่งต้นรังปักษาแล้ว ยังมีเครื่องอำนวยความสะดวกจำนวนมากเรียงรายอยู่ตามผนังต้นไม้ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่แวบแรกที่มองว่าเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้นั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์
…เนื่องจากความคิดนี้นั้นล้มเหลวจึงไม่มีเหตุผลที่จะพยายามปรับปรุงมันให้สำเร็จ
อวี้ชิงหลานจะต้องใช้เวลานานนมในการสร้างต้นไม้นี้ขึ้นอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจเสียทั้งเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และน้ำตา ไปกับต้นไม้ต้นนี้ก็เป็นได้
บางทีนี่อาจยังเป็นเหตุผลที่ต้นไม้ไม่ได้สำแดงตนอย่างสมบูรณ์ในครั้งล่าสุดที่ตระกูลเล็ก ๆ มาถึง
เพราะพวกเขาได้พาวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บจากเผ่าวิญญาณมาด้วย
เนื่องจากปราการศึกนี้ทำขึ้นมาสำหรับเผ่าปักษาโดยเฉพาะ จึงไม่แปลกที่มันจะไม่ปรากฏขึ้นหากรัศมีของเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เนื่องจากซูเฉินมีปีกจริง ๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าเขานั้นไม่ใช่เผ่าปักษา
นี่อาจเป็นสุดยอดสมบัติที่อวี้ชิงหลานได้ทิ้งไว้เพื่อเผ่าปักษาก็เป็นได้ ในขณะเดียวกัน ตระกูลกุยซานก็รู้สึกเสียดายอย่างถึงที่สุดเช่นกัน พวกเขาจะทำอย่างไรกับต้นไม้ต้นนี้ที่พวกเขาไม่มีทางนำกลับไปด้วยได้ ?
พวกเขาตามหาสมบัติที่สามารถนำไปกับพวกเขาได้
แต่บางทีอาจยังมีสมบัติอื่นที่ถูกเก็บไว้ภายในเมืองต้นรังปักษาอีก จริงไหม ?
“ไปดูกันเถอะ เราไม่อาจรู้ได้ว่ามีสมบัติอื่นอีกหรือไม่หากเราไม่ไปตรวจสอบกันเอง” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาโบกแขนเสื้อและเดินนำเข้าไปยังเมืองตรงหน้า
เมืองต้นรังปักษานั้นเงียบสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นทุกหนแห่ง
แต่ในตอนที่พวกเขาเข้าไปใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น พวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงบางเบาของอะไรบางอย่าง
“หืม ? นั่นเสียงอะไร ?” ทุกคนต่างมองกันและกัน
“ทุกคนระวัง อาจมีสิ่งที่ไม่ดีกำลังมาทางพวกเรา” ซูเฉินกล่าวอย่างเงียบเชียบ
“เนื่องจากอวี้ชิงหลานทิ้งปราสาทนี้ไว้ให้พวกเรา มันไม่ควรจะมีกับดักใด ๆ ใช่ไหม ?” หนึ่งในเผ่าปักษาตระกูลกุยซานพูดขึ้น
ซูเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น “หากเป็นเช่นนั้นแล้วเผ่าวิญญาณก่อนหน้านี้ถูกสังหารได้ยังไงล่ะ ? และทำไมปราการแห่งนี้จึงต้องหลบซ่อนอยู่แต่แรกด้วย ?”
“นี่……” ทุกคนหมดคำพูด
“นี่คือเหตุผลที่ข้าบอกให้พวกเจ้าระวังตัว เพียงเพราะอวี้ชิงหลานทิ้งด่านลับนี้ไว้ให้เผ่าปักษาไม่ได้แปลว่าไม่มีอันตรายใดที่นี่” ซูเฉินกล่าว
ขณะที่เขาพูด หมอกสีดำมืดก็เริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองต้นรังปักษาในทันใดราวกับว่าเป็นคำสั่งของซูเฉิน
อาจมีใครเชื่อว่าหมอกสีดำนี้นั้นไม่อันตรายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ทว่าวินาทีต่อมาหมอกนั้นก็เริ่มหลั่งไหลออกจากเมืองไปในทิศทางของพวกเขาพร้อมเข้าห่อหุ้มและบดบังวิสัยทัศน์ของพวกเขาในพริบตา เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมองเห็นนิ้วมือตรงหน้าของพวกเขาด้วยซ้ำ กระทั่งผู้ที่มีสายตาเฉียบคมอย่างน่าเหลือเชื่อก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหมอกดำทะมึนเข้าปกคลุม พวกเขาก็ค้นพบในทันทีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้ยินผู้ใดในบริเวณนั้นอีกต่อไป
ซูเฉินรู้ว่าพวกเข้ายังไม่เสียชีวิต หมอกสีดำนี้สามารถกดการรับรู้ของผู้คนได้ชะงัดทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่ต่ำที่สุด
นี่ยังหมายความว่าไม่มีใครที่ติดอยู่ในหมอกควันนี้ได้หูหนวกและตาบอดไปจริง ๆ
ซูเฉินไม่ได้สนใจมัน เขายืนอยู่อย่างนิ่งเฉยและสามารถรับรู้ได้ว่าตัวตนร้ายกาจบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้เขา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขา คนอื่น ๆ คงจะไม่รู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเลยแม้แต่น้อย
ซูเฉินเบิกตากว้างในทันใดขณะที่แสงประหลาดเริ่มกะพริบผ่านสายตาและไปกระตุ้นเนตรมองโลกจุลภาคของเขาเข้า
เนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินสามารถรับรู้ได้กระทั่งรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดไปจนถึงหลักการลึกซึ้งที่ควบคุมการทำงานภายในของธรรมชาติ พวกมันไม่ได้มีประโยชน์มากมายในการมองผ่านสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น แต่หากเขาใช้มันเพื่อฝึกฝนวิชาสอบสวนแล้ว ผลของมันจะเพิ่มสูงขึ้นมหาศาล อย่างไรแล้วชาวอาร์คาน่าก็ได้พึ่งพาเนตรนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการสืบสวนของพวกเขา
เมื่อซูเฉินปลุกทักษะการตรวจจับของเขาขึ้น เขาก็พบว่าเงาสีขาวจำนวนหนึ่งล่องลอยไปมาผ่านหมอกควันสีขาว
“โอ้ ? นี่คือเงาสูญหรือ ?” ซูเฉินกล่าวด้วยความตกตะลึง
เงาสูญสัตว์อสูรชนิดหายาก ซูเฉินสามารถจำพวกมันได้เพราะหนังสือมากมายที่เขาเคยอ่าน
สิ่งมีชีวิตเช่นนี้นั้นแปลกประหลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ พวกมันไม่มีร่างกายภาพ พวกมันจึงสามารถมีอยู่ได้แค่ในหมอกประหลาดเช่นนี้ นอกจากนั้นพวกมันยังสามารถดูดซึมพลังชีวิตได้อีกด้วย
เงาสูญเหล่านี้ลอยมาด้านหน้าและตั้งใจจะเปลี่ยนซูเฉินเป็นอาหารอย่างเห็นได้ชัด พวกมันเริ่มดูดเอาพลังชีวิตของซูเฉินออกไปอย่างดุร้าย
พวกมันเหมือนกับผู้ตรวจตราในความมืดมิด และเพราะพวกมันไร้รูปร่างจึงจะเป็นการยากที่จะตรวจจับพวกมันได้ และการโจมตีของพวกมันยังไม่สร้างความเจ็บปวดอีกด้วย หลายคนจะถูกดูดเอาพลังชีวิตไปจนหมดสิ้นและไม่มีโอกาสได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อตัวตนของพวกมันถูกเปิดเผยแล้ว ความน่าหวาดกลัวของเงาเหล่านี้ก็มีข้อจำกัดมากขึ้นไม่น้อย
เมื่อซูเฉินเห็นหมู่เงาสูญที่ต้องการจะกลืนกินเขาเข้าไป เขาก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น “พวกผีบ้า ตายซะ !”
รัศมีทรงพลังเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา
ณ ตอนนี้ ประโยชน์ของระบบการฝึกของมนุษย์ก็เริ่มจะแสดงผล
ในการจัดการกับผีสางเช่นนี้ ความแข็งแกร่งแต่กำเนิดจากร่างกายมนุษย์นั้นเหนือกว่าการพึ่งพาพลังต้นกำเนิดที่ดูดซับจากสิ่งแวดล้อมด้วยวิชาบ่มเพาะอยู่มากโข
เหล่าเงาสูญถอยทัพไปราวกับว่าพวกมันโดนแสงอาทิตย์สว่างแจ้งเมื่อซูเฉินปลดปล่อยพลังจากร่างกายมนุษย์ของเขาถึงขีดสุดไปทั่วทุกทิศทางโดยกรีดร้องและขู่ฟ่อด้วยความหวาดกลัว กระทั่งเสียงขู่ร้องของพวกมันยังเงียบสงัด แต่พลังจิตของซูเฉินก็ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงพวกมันได้
นี่ยังช่วยให้เขารู้ได้ว่าเหมือนจะมีชั้นบางอย่างที่เทียบเคียงกับเสียง บางทีอาจมีเสียงบางอย่างที่สามารถค้นพบได้เฉพาะในสถานการณ์จำเพาะเท่านั้นหรือ ?
บางทีมันอาจคุ้มที่จะเสี่ยงก็ได้
แม้ว่าเขาจะหลงไปกับความคิด การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากหมอกสีทมิฬนั้นลบล้างสัมผัสของทุกคนไปจึงไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาใช้ทักษะประเภทใด เมื่อเขาใช้งานวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ไปจนถึงขีดสุดและแผ่ขยายอิทธิพลของมันไปเท่าที่จะไกลได้ เขาก็สามารถสังหารเงาสูญทั้งหมดที่พยายามจะเข้ามาใกล้ได้อย่างรวดเร็ว
รัศมีการโจมตีของเขานั้นกว้างขวางจนเผ่าปักษาคนอื่นต่างก็อยู่ภายใต้การปกป้องของเขา ไม่เช่นนั้นเงาสูญเหล่านี้คงจะคร่าชีวิตศิษย์ตระกูลกุยซานส่วนใหญ่ไปแล้ว
แต่ในตอนนี้เอง เสียงขู่ฟ่อแปลกประหลาดก็ดังขึ้นในทันใด
ภายในหมอกทะมึน เงาสีดำก็พุ่งตรงมายังซูเฉิน
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เงาไร้รูปร่าง มันทั้งปราดเปรียวอย่างน่าเหลือเชื่อและทรงพลังเป็นอย่างมาก
ซูเฉินทำได้เพียงยกแขนของเขาขึ้นและป้องกันการโจมตีนั้นซึ่งส่งเขาลอยออกไปเมื่อมันปะทะเข้ากับท่อนแขนของเขา
โชคดีที่ร่างกายภาพของเขาแข็งแกร่งกว่าคนส่วนมาก เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายโดยการโจมตีกะทันหันนี้ แต่ความเร็วของเงาดำมืดนั้นทำให้เขาพูดไม่ออก
ซูเฉินพึ่งจะได้สมดุลของเขากลับคืนมาเมื่ออีก 3 การโจมตีพุ่งตรงมาจากเงาสีดำนั้นในทันใด
ซูเฉินรู้ว่าเงาเหล่านี้ถูกเล็งมาที่เขา เขาปล่อยดาบศิราทองคำออกมาและในขณะเดียวกันก็ปลุกภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดสี่หน้าของเขาขึ้น ดาบศิราทองคำซึ่งอยู่ในระดับ 8 ได้กลับกลายเป็นระดับ 9 ในทันใดเมื่อผสานเขากับพลังของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด นี่คือลูกไม้พิฆาตขั้นสุดยอดของซูเฉิน เขาไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันมาก่อน แต่ด้วยการหยิบยืมความมัวหมองในหมอกสีดำ เขาก็สามารถแสดงฝีมือเต็มที่ได้ในที่สุด
การโจมตีเพียงหนึ่งครั้งนี้ทำลายการโจมตีเงาทั้งสามไปจนหมดสิ้น
“ฟ่อ !” ฝูงเงากรีดร้องอย่างน่าอนาถ
เลือดสีดำสนิทปะทุขึ้น 3 แห่งโดยพุ่งผ่านอากาศไปขณะที่ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ 3 ก้อนร่วงหล่นลงบนพื้น
ซูเฉินสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้ตัดหนวดยาว 3 เส้นออกไป
“งั้นมันก็คือผนึกฝันร้ายกลวงสินะ” ซูเฉินไม่ได้ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
ผนึกฝันร้ายกลวงเป็นสิ่งมีชีวิตสูญ และมันพึ่งพาอาศัยกับเงาสูญตามธรรมชาติ แม้ว่าผนึกฝันร้ายกลวงจะทรงพลังเป็นอย่างมาก ร่างหลักของมันก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เงาสูญนั้นรับหน้าที่เป็นพาหะและเคลื่อนผนึกฝันร้ายกลวงไปมา ในบางครั้งพวกมันกระทั่งออกล่าหาอาหารให้มัน กลับกัน พวกมันก็ได้รับการปกป้องของสิ่งมีชีวิตสูญที่แข็งแกร่งนี้ เมื่อพวกมันเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่พวกมันไม่สามารถเอาชนะได้ ผนึกฝันร้ายกลวงจะโจมตี
ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงโจมตีด้วยวิชาพิฆาตของเขาในทันทีเพราะเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าเขากำลังพบเจอกับสิ่งใด
แน่นอนว่าเมื่อติดตามเสียงร้องโหยหวนนั้นไป หนวดนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาข้างหน้าและเข้าตรงเข้ามายังซูเฉิน
ศึกอันใหญ่หลวงเริ่มเข้าครองพื้นที่ภายใต้หมอกควันมืดมนแล้ว !!!