ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 104 ทางเข้า
บทที่ 104 ทางเข้า
ปัง !
ผนึกฝันร้ายกลวงร่างยักษ์ถูกตัดหนวดทั้งหมดออกในที่สุด มันโอดครวญและตกตะลึงขณะที่มันล้มคะมำลงบนพื้นดิน
ร่างมหึมานั้นค่อย ๆ เริ่มกระจุยกระจายออกไปและกลายเป็นความว่างเปล่า
ซูเฉินปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
ผนึกฝันร้ายกลวงนี้นั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าจือฮัวนู๋และพี่น้องชัวหลานจือเฟิงรวมกันเสียอีก โชคดีที่หมอกดำทะมึนนั้นเข้ามาบดบังสายตาทำให้เขาสามารถปล่อยพลังขั้นสุดออกมาเพื่อกำจัดศัตรูได้ ไม่เช่นนั้นก็คงจะรับมือกับผนึกฝันร้ายกลวงลำบากไม่น้อยทีเดียว
เมื่อเขามองลงไปยังดาบศิราทองคำในมือก็เห็นได้ชัดว่าตัวดาบขนาดยักษ์ได้หดตัวลงอีกครั้ง
แม้ว่าดาบศิราทองคำจะทรงพลังยิ่งนัก มันก็ยังเป็นรูปแบบหนึ่งของวิชาอาร์คาน่าและยังมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาสภาพมันไว้ ไม่ใช่แค่เพียงพลังต้นกำเนิดแต่ยังรวมถึงโลหะต่าง ๆ ด้วย
ทุก ๆ การต่อสู้ จำนวนโลหะที่ใช้เป็นเล่มดาบนั้นจะลดลงอย่างช้า ๆ
ระหว่างการต่อสู้ของเขากับจือฮัวนู๋ ดาบศิราทองคำได้สูญเสียสภาพไปเล็กน้อยและตอนนี้มันก็ลดลงอีกครั้ง และเมื่อปริมาณของโลหะได้หดหายไป พลังของดาบศิราทองคำก็จะลดต่ำลงด้วย
“เวรละสิ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้สินะ” ซูเฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง
ด้วยอัตราความเร็วนี้ พลังอำนาจของดาบศิราทองคำคงจะลดลงไปถึงระดับหนึ่งในไม่ช้า
เขาเพียงไม่รู้ว่าต้นไม้ยักษ์นี้จะมีโลหะอยู่มากเท่าไร ถ้าหากว่ามันมีอยู่…
ตอนที่เขากำลังนึกถึงเรื่องเหล่านั้นนั่นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่รอบตัวแล้ว เงาสูญเหล่านั้นคงหลบหนีไปเมื่อผนึกฝันร้ายกลวงสิ้นชีพลง และหมอกสีดำมืดก็หายไปด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อหมอกสีดำนั้นหายไปแล้ว ซูเฉินก็ค้นพบว่าตอนนี้เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยซากปรักหักพัง
นี่คงจะเป็นความผิดของเงาสูญ ทุกสิ่งที่พวกมันทำนั้นเงียบเชียบและไร้ซึ่งเสียง กระทั่งตอนที่พวกมันเคลื่อนย้ายตำแหน่งคน
“โอ้ ? ต้นไม้นี้มีอีกด่านหนึ่งจริง ๆ หรือ ?” ซูเฉินรู้สึกไม่ชอบมาพากล
มันดูเหมือนว่าภายในต้นไม้นั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก
เมื่อเขานึกย้อนกลับไปที่เงาสูญเหล่านั้น ซูเฉินก็ได้คำตอบ
ดูเหมือนว่าต้นไม้ปราการศึกของอวี้ชิงหลานนั้นขนาดใหญ่กว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว
“งั้นเขาก็ใช้รอยแยกกลวงเปล่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในต้นไม้ ช่างแยบยลจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะล้มเหลวอย่างหนักทีเดียว ไม่เพียงปราสาทที่ไม่เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น แต่กระทั่งภายในของปราสาทนี้ก็ยังถูกยึดครองไปโดยเงาเหล่านี้ นี่คงจะเป็นเหตุผลที่เจ้าปิดผนึกมันไว้ใช่ไหม ? ฮ่าฮ่า เจ้าพยายามจะทำบางอย่างที่ต้องใช้คนทั้งอาณาจักรด้วยตัวเองคนเดียวงั้นหรือ ? เจ้าบ้าบิ่นไม่เบาเลย” ซูเฉินหัวเราะ แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มีความดูถูกเหยียดหยามเลยแม้แต่น้อย
ใครจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้โดยไม่พูดราวกับคนบ้าได้กัน ? ซูเฉินได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว อัจฉริยะที่แท้จริงเช่นนี้จะได้รับการชื่นชมก็ต่อเมื่อพวกเขาทำสำเร็จแล้วเท่านั้น
แต่ก็จะมีใครบางคนผู้ไม่สามารถจะไปถึงฝั่งฝันได้อยู่เสมอ
แล้วมันหมายความว่าพวกเขาไม่เก่งหรือ ?
ซูเฉินไม่คิดเช่นนั้น
แม้ว่าอวี้ชิงหลานจะล้มเหลว ทว่าปณิธานที่แน่วแน่และกล้าหาญของเขาได้เอาชนะใจซูเฉินไปเป็นที่เรียบร้อย
แต่ยิ่งไปกว่าความชื่นชมของเขา ตอนนี้ความคาดหวังของเขาคืออวี้ชิงหลานไม่ได้ทำให้เขาต้องกลับไปอย่างสูญเปล่า
อีกฝ่ายต้องทิ้งอะไรไว้บ้างสิ ถูกไหม ?
ซูเฉินเริ่มออกเดินอย่างรวดเร็วเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น
เพราะพื้นที่ว่างนี้ถูกเปิดออกโดยใช้รอยแตกว่างเปล่า พื้นที่ภายในต้นไม้จึงกว้างใหญ่ทีเดียว เมืองต้นรังปักษานั้นเป็นเพียงแค่ทางเข้า หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายโดยเงาสูญโดย เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ใด
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันจะต้องมีจุดจบของพื้นที่นี้อย่างแน่นอนไม่ว่ามันจะกว้างไกลเพียงไรก็ตาม ตราบใดที่ซูเฉินยังคงค้นหาต่อไป เขาจะต้องหามันพบแน่
ยังไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจของเขาในหลักการเชิงพื้นที่ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อในช่วงที่ผ่านมา
แต่เพราะที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าที่เชื่อมต่อกัน… มันคงจะมีสิ่งมีชีวิตสูญอื่น ๆ อีกมากมายวนเวียนอยู่โดยรอบเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องระมัดระวังตัว
ทันทีที่เขานึกได้ ซูเฉินก็ดึงเอาขวดเลือดอีกขวดที่เขาได้เตรียมการไว้มานานแล้วออกมาแล้วจึงสร้าง 7 หรือ 8 ร่างเลียนแบบของตัวเองขึ้นและสั่งการให้พวกมันแยกย้ายออกไป ด้วยขณะที่พวกมันออกค้นหารอบกายเขา พวกมันก็จะเพิ่มความรู้เชิงพื้นที่ของเขาไปด้วย
ด้วยร่างเลียนแบบสู้รบเหล่านี้ เขาสามารถมีการเตือนภัยล่วงหน้าที่เหลือเฟือหากเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดก็ตาม
เพราะร่างเลียนแบบเหล่านี้นั้นเชื่อมต่อกับเขาด้วยเลือด เขาจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งอยากที่พวกมันเห็น นี่ยังเป็นโอกาสดีสำหรับเขาที่จะได้ทดสอบการจัดการของเขาสำหรับผู้คนที่จะตามมาในภายหลัง……
ไม่นานหลังจากที่ซูเฉินได้เข้าไปในด่านลับ ผู้คนมากมายก็ตามมาถึง มันคือเยี่ยเสิ่นหยาง หลี่ต้าวหง และผู้ติดตามของพวกเขา
ท่าทางของหลี่ต้าวหงอึมครึมขณะที่เขายืนอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ “พวกเขาเข้าไปแล้ว”
เยี่ยเสิ่นหยางถามขึ้น “ถ้าพวกเขาเข้าไปแล้วจะทำไมล่ะ ? ทำไมศิษย์พี่หลี่ต้องคิดมากด้วย ?”
หลี่ต้าวหงกระแอม “ความโกลาหลที่ด่านลับนี้สร้างขึ้นนั้นยิ่งใหญ่เกินไป อาจมีอุปสรรคใหม่เข้ามาหาเราได้ และพวกเขาก็จะรู้ด้วยว่าคนอื่น ๆ อาจปรากฏตัวขึ้น มันคงยากที่จะบอกเรื่องนี้กับพวกเขา”
เยี่ยเสิ่นหยางส่ายหน้า “การปะทะกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ศิษย์พี่หลี่ ท่านยังเป็นองค์ชายเผ่ามนุษย์ ท่านจึงควรจะประพฤติตัวอย่างราชวงศ์มากกว่านี้ การลอบโจมตี…… ไม่ใช่สิ่งที่ท่านควรจะเห็นด้วย”
แต่หลี่ต้าวหงก็หัวเราะออกมา “ข้าเป็นองค์ชาย ไม่ใช่องค์รัชทายาท ข้าไม่สนใจกฎเกณฑ์หรอก ทำไมข้าต้องปฏิบัติตัวอย่างองค์ชายล่ะ ? มันมีแต่จะทำให้เกิดความสงสัยและริษยา ยังไงสายเลือดตระกูลหลี่ก็ไม่ได้เหมาะกับการเผชิญหน้าโดยตรงอยู่แล้ว”
เยี่ยเสิ่นหยางหัวเราะ “ตามประสงค์ของท่าน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า พวกเขาก็ทำไว้เพียงคร่าว ๆ พวกเราน่าจะยังสามารถบุกเข้าไป สังหารพวกเขาทั้งหมด และขโมยสมบัติเหล่านั้นมา นั่นคงจะดีที่สุดสำหรับเรา”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” หลี่ต้าวหงตอบพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !
พวกเขากระโดดเข้าไปในปากนั้นเช่นกัน
พวกเขาได้เข้าในไปร่างกายของต้นไม้ต้นนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาพบเห็นไม่ใช่เมืองต้นรังปักษาแต่เป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล
“งั้นจะต้องมีรัศมีของด่านว่างเปล่าแน่ ๆ “ เยี่ยเสิ่นหยางอุบอิบขณะที่เขาสูดดมอากาศอยู่สักพัก
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถูกที่แล้วละ” หลี่ต้าวหงหัวเราะ
“ที่เหลือขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ศิษย์พี่หลี่”
เมื่อหลี่ต้าวหงได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็กระโดดขึ้นทันที “แน่นอน รอดูเถอะ”
ขณะที่พูด เขาก็นั่งลงและเริ่มสวดอะไรบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา
ขณะที่เขาสวด กลุ่มเงาจางรูปร่างอสรพิษก็เริ่มปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา แต่งูเหล่านี้มีหัวเป็นหญิงสาวมนุษย์ที่สง่างาม ต่อจากบทสวดของเขาซึ่งเป็นภาษางู งูสาวเหล่านั้นล้วนเผยยิ้มและพุ่งขึ้นไปบนอากาศโดยหายวับไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
ทั่วทั้งร่างของหลี่ต้าวหงสั่นสะท้านขณะที่ดวงตาของเขากลายเป็นสีขาวโพลน เขาได้เข้าไปสู้สถานะที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งของจิตใจ
ไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มของหลี่ต้าวหงก็เข้าไปยังแดนลับ และเผ่าปักษาอีกกลุ่มก็มาถึงยังบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน
ปักษาเหล่านี้ดูห้าวหาญและป่าเถื่อนทีเดียว ปีกสีดำสนิทของพวกเขาปลดปล่อยเจตสังหารพลุ่งพล่านมายังพวกเขา
หนึ่งในเผ่าปักษาหัวโล้นกล่าว “คนอื่น ๆ เข้าไปข้างในแล้ว บ้าฉิบ พวกเขากล้าพยายามขโมยสมบัติที่อยู่ในอาณาเขตของข้าได้ยังไง ? พี่น้อง พวกเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร ?”
“แน่นอนว่าเราต้องนำมันคืนมา !”
“ใช่แล้ว ! พวกเราจะนำทุกอย่างมาและฆ่าพวกมันทั้งหมด !” เผ่าปักษาทั้งหมดที่ตามมาตะโกนกู่ร้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
“งั้นก็ไปกันเถอะ ! ไม่มีใครสามารถเอาสมบัติของนักล่าวายุไปและได้มีชีวิตอยู่ต่อทั้งนั้น !”
“ไป ! ไป ! ไป !”
หลังจากเสียงดังกึกก้องของชายหัวล้าน เหล่าโจรเผ่าปักษาที่เหลือก็คำรามอย่างบ้าคลั่งขณะที่พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในปากของต้นไม้นั้นเช่นกัน
ไม่นานหลังจากที่ปักษาเหล่านั้นเข้าไป เผ่าปักษาอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอีก
ชายชราผู้รำสวมใส่หมวกทรงสูงและถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือ ที่น่าประหลาดคือเขาไม่มีปีก และร่างของก็สั้นเตี้ยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นชาวอาร์คาน่า
หลังจากปรากฏตัวขึ้นบนต้นไม้ เขาก็ยังไม่ได้เข้าไปในทันที แต่เขากลับเปิดหนังสือออกราวกับว่ากำลังตามหาบางอย่าง ครู่ต่อมาเขาก็พูดขึ้น “มีเผ่าปักษาอีก 3 กลุ่มที่เข้าไปก่อนพวกเราแล้ว และ…… มนุษย์งั้นหรือ ?”
ปักษาด้านหลังชาวอาร์คาน่าวัยชรากล่าว “มนุษย์ ? มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปมาได้ตามใจชอบภายในพื้นที่อาณาจักรของพวกเรา”
“นั่นคงจะเป็นหลี่ต้าวหง ความสามารถของเขาเหมาะสมยิ่งนักกับพื้นที่นี้”
“แต่เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ?”
เผ่าปักษาทุกคนต่างมองหน้ากันก่อนจะสบถออกมาในทันใด “ไอ้พวกทรยศ !”
ชายผู้พกพาหนังสือโบกมือของเขาและเผ่าปักษาทั้งหมดก็เงียบสงบลง
เขากล่าว “นี่ไม่ได้น่าประหลาดใจนักหรอก ไม่จำเป็นต้องตกใจไป”
ดูเหมือนว่าเขาจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี ?” ปักษาสาวนางหนึ่งพร้อมปีกสีทองผู้ติดตามชาวอาร์คาน่าชรามาอย่างใกล้ชิดถามขึ้น
“พวกเขามีสิ่งที่กำลังตามหา และพวกเราก็เช่นกัน” ชายแก่ตอบ “พวกเขาเพียงต้องการสมบัติและทรัพยากร ในขณะที่ข้ากำลังตามหาความรู้ หากเป็นไปได้ก็คงจะดีถ้าพวกเราไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง”
“ท่านปราชญ์พูดถูก สิ่งที่พวกเราต้องการเป็นอันดับแรกคือความรู้ ความรู้ของอวี้ชิงหลานสำคัญที่สุด มีเพียงคนอย่างท่านปราชญ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ความรู้นี้ได้อย่างคุ้มค่า”
เผ่าปักษาคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นตรงกัน มันดูราวกับว่าพวกเขาแค่พยายามจะเอาอกเอาใจชายแก่ แต่จากท่าทีของพวกเชาแล้วมันก็ชัดเจนว่าพวกเขากำลังจริงจังไม่น้อย
ภายในหัวใจของพวกเขา ปราชญ์คนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งภายในสรวงสวรรค์ เขาปราดเปรื่องทั้งในด้านร่วมสมัยและประวัติศาสตร์โบราณ และเขาก็ได้ศึกษาเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้ง 5 มาอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นเหตุผลที่พวกเขายังคงมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย
ขณะที่พวกเขาพูด เผ่าปักษากลุ่มนี้ก็เดินทางเข้าไปด้วยเช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น เผ่าปักษาจำนวนมากก็ตามมาด้วยเช่นกัน พวกเขาเพียงแค่ผ่านมาและรีบรุดเข้ามาที่นี่หลังจากที่สังเกตเห็นถึงความโกลาหล
ในที่สุดเผ่าปักษากลุ่มที่ 5 ก็มาถึงหลังจากเผ่าปักษาจำนวนมากได้เข้าไปในด่านแล้ว ผู้นำของพวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมหรูหราและถือกรงนกไว้ในมือ ยิ่งไปกว่านั้น รถม้าแสนสง่างามที่เขานั่งอยู่ยังถูกลากโดยสัตว์ร้าย ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเขาเป็นคุณชายเจ้าสำอาง หลังจากที่มาถึงยังต้นไม้ยักษ์ เขาเริ่มต้นจากสูดดมอากาศโดยรอบก่อนจะพยักหน้าและพูดขึ้น “หลี่ต้าวหงอยู่ที่นี่จริง ๆ ”
หนึ่งในเผ่าปักษาที่รับผิดชอบการขับรถม้ากล่าว “นายน้อย นี่จะต้องเป็นดินแดนลับที่พึ่งจะเปิดขึ้นอย่างแน่นอน ท่านอยากจะ……”
ปัง !
ปักษาคนนั้นถูกตบเข้าอย่างจัง
คุณชายเจ้าสำอางกล่าวอย่างเยือกเย็น “มันเป็นแค่แดนลับ ข้าดูขัดสนเงินทองหรือไง ? ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อกำราบหลี่ต้าวหงเท่านั้น ! เรื่องอื่น ๆ นั้นเป็นรองทั้งสิ้น แน่นอนว่าพวกเราไม่สามารถเมินเฉยต่อสมบัติที่พวกเราค้นพบในด่านลับได้ แต่อย่าลืม… หลี่ต้าวหงคือเป้าหมายหลัก !”
“ขอรับ ! ดังที่คุณชายสั่ง การกำราบหลี่ต้าวหงคือเรื่องสำคัญที่สุด !” เผ่าปักษาทั้งหมดขานรับเสียงดังสนั่น
“ต้องอย่างนี้สิ” คุณชายเจ้าสำอางโบกมือของเขาและนำทางทุกคนเข้าไปยังด่านนั้นเช่นกัน
หลังจากที่เผ่าปักษากลุ่มนี้เข้าไป ทางเข้าสู่ต้นไม้ก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
ดวงอาทิตย์เริ่มที่จะลับขอบฟ้าไปอย่างเชื่องช้า
ทุกสิ่งยังคงสงบเงียบเช่นนี้มาสักพักแล้ว
แต่ในความมืดมิดนั้น กลุ่มเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ คราวนี้มันเป็นกองทัพเรือที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้าเหนือต้นไม้ในทันใด ไม่นานต่อมา ร่างหลายร้อยร่างก็เริ่มกระโดดออกมาจากลำเรือเข้าไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่และหายลับไปโดยไร้ร่องรอย เหล่าเรือบนท้องฟ้าก็หายไปในความมืดเช่นกัน ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่ตั้งแต่แรก