ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 106 ฝันวิญญาณหลุด
บทที่ 106 ฝันวิญญาณหลุด
ผลึกแก้วต้นกำเนิดที่ฝังอยู่บนดาบไร้แสงมาจากจักรพรรดิอสูรกายประเภทโลหะ มีความสามารถคุมโลหะ และภายใต้การเปลี่ยนแปลงของซูเฉินและผ้าเท่อลั่วเค่อ มันก็ได้พัฒนาจนมีความสามารถคล้ายกับการกลืนโลหะ สามารถดูดซับโลหะเพื่อเสริมความแกร่งได้
ซูเฉินประมือกับสัตว์อสูรกระดูกโลหะจำนวนมาก มันทรงพลังนัก อีกทั้งยังอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่
กระทั่งด่านผลาญจิตวิญญาณยังต้องถอยเมื่อเจอกับสิ่งมีชีวิตน่าชังเช่นนี้
แต่ดาบไร้แสงก็เป็นราวกับศัตรูคู่อาฆาต โลหะแกร่งในร่างถูกดาบกลืนสิ้นจนพวกมันตายทันที
ซูเฉินไม่หยุดยั้ง แทงดาบออกไปยังตัวอื่น ๆ ต่อ
ในด้านความเร็ว เจ้าพวกนี้เทียบเขาที่มีทั้งวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายและปีกวายุคลั่งไม่ได้เลย
เมื่อสยายปีกออกแล้ว มือก็ใช้ดาบกรีดผ่านศัตรูนับไม่ถ้วนไปด้วย เปิดร่างพวกมันออก จากนั้นก็ดูดซึมกระดูกพวกมันแล้วใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายมาปรากฏหลังพวกมันก่อนใช้ดาบไร้แสงอีกครั้ง
ไม่ว่าตัวอะไรที่ถูกกรีดโดยดาบไร้แสงก็จะถูกผลึกแก้วต้นกำเนิดดูดไปทั้งสิ้น
ดาบไร้แสงไม่อาจซึมซับโลหะจากพวกมันได้หมด แต่ความสามารถในการควบคุมอันทรงพลังและความกระหายทำให้มันไม่อยากหยุดดูดซับพลัง สุดท้ายแม้ดาบไม่ถูกตัว แต่ก็ยังดูดซึมเอาพลังเข้ามาได้ กลายเป็นว่าโลหะเหลวพากันพุ่งออกจากแผลแล้วลอยเข้ามาหาดาบไร้แสงเป็นเส้นแวววับแทน
ราวกับพวกที่ถูกแยกร่างกำลังเบ่งบาน เป็นภาพที่ประหลาดโดยแท้
จากเส้นโลหะเหลวก็กลายเป็นบ่อน้ำที่พากันมารวมอยู่ที่ปลายดาบ
ซูเฉินตวัดดาบพังนั่นแล้ว ‘เลือด’ ที่พุ่งออกจากร่างปีศาจก็ยิ่งส่องสว่าง พวกมันร้องลั่น สุดท้ายก็หมดแรงจนล้มลง
ซูเฉินมีแต่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ธารโลหะที่ลอยเข้าหาดาบเพิ่มขนาดขึ้น เป็นภาพที่อธิบายยากนัก
แต่พวกมันก็ไม่ได้โง่ เมื่อเห็นว่าถูกกรีดร่างเปิดออก ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วพากันหันหลังแยกย้ายกันไป
…ถึงพวกมันจะใช้ลมในร่างในการรุกและถอย แต่ก็ไม่เชื่องช้า เกิดเป็นควันขาวคลุ้งพร้อมกับเงาร่างพวกมันที่พากันหายไปไกล ๆ
แม้ซูเฉินจะพยายามสังหารมันอย่างไร ครึ่งหนึ่งก็ยังหนีไปได้
ซูเฉินรู้สึกเสียดายมาก
แม้ในร่างมันอาจจะมีโลหะอยู่ไม่มาก แต่ก็หายากเพราะมันคงทนยิ่งนัก โลหะขนาดหนึ่งกำมือก็มีค่าเท่ากับแร่ทองดาราบริสุทธิ์ครึ่งตันแล้ว
แม้ซูเฉินจะไม่สนเงินนัก แต่โลหะล้ำค่าที่หาซื้อด้วยเงินยากเช่นนี้ก็ยังนับว่าล้ำค่ามาก
หลังจากฆ่าพวกมันไปเกือบ 150 ตัว ซูเฉินก็ได้ของที่เสียกลับมาแล้วยังได้กำไร อาจใช้ดาบศิราทองคำได้อย่างน้อยสักหลายครั้ง
น่าเสียดายที่ยังอีกห่างไกลกว่าจะยกขั้นวิชานี้ได้
ดังนั้นซูเฉินจึงไล่ล่ามันต่อไป แม้จะเก็บโลหะจากพวกมันได้หมดแล้วจะไม่อาจเอื้อมถึงขั้น 9 แต่พวกมันก็มีทั้งคุณภาพและจำนวนมาพร้อมกัน
มีทั้งแผนที่และความสามารถในการเคลื่อนกายแล้ว เขาจึงกระโจนผ่านพลังสูญ ไล่ล่าพวกมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนแรกมีพวกมันเกือบ 500 ตัว ในจำนวนนี้ ซูเฉินฆ่าไป 1 ใน 3 พอพวกมันเริ่มหนีก็สังหารได้อีกราว 100 ทั้งหมดแล้วฆ่าได้ราวครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็ได้แต่หลบซ่อนทำให้เขาหาเจอยากขึ้น
แต่ก็ช่าง สถานที่นี้กว้างใหญ่อยู่แล้ว หากต้นไม้ไม่หมด เขาก็มีเวลาหาพวกมันอีกมาก
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือหาแก่นของคลังสมบัติลับของอวี้ชิงหลานต่างหาก
ทันใดนั้นเขาก็เห็นสิ่งน่าสนใจอย่างหนึ่งเบื้องหลังร่างแยกหนึ่ง
โชคดีที่ ‘ระยะรอ’ ของภูติลั่นแสงหมดแล้ว ร่างเขาจึงกะพริบแล้วเคลื่อนกายไปหาร่างแยกนั้น
ต่อหน้าเขาคือวังกลุ่มเล็ก ๆ เหนือขึ้นไปคือรอยแยกพลังขนาดใหญ่ แบ่งพวกมันออกเป็นสอง
“ใช้รอยแยกพลังเพื่อขยายแดนพลังสูญอาจทำให้ไม่มั่นคงใช่ไหม ?” ซูเฉินเห็นแล้วก็รู้ว่าตนคงคิดถูก
ดินแดนนี้เป็นผลงานชิ้นใหญ่ของอวี้ชิงหลาน ความทะเยอทะยานของเขามากเกินไป เสาะหาสรรพสิ่งมากมายเกินนับ ทำให้ล้มเหลว แม้แดนลับเองก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย
ดูท่าตอนนี้วังของอีกฝ่ายจะถูกพลังเหล่านี้ทำลายเข้าเสียแล้ว กองเศษหินที่กระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งชี้ให้เห็นว่าวังเหล่านี้เคยถูกทำลายหรือถูกปล้นมาก่อนหน้า
คงไม่พบยาพันปีที่หวังไว้แล้ว แต่หากพบของที่พวกสิ่งมีชีวิตพลังสูญไม่สน เช่นความรู้ เขาก็พอใจแล้ว
คิดแล้วก็บินเข้าไปยังกลุ่มวังเหล่านั้น ในตอนที่กำลังเหินร่างลงก็พลันรู้สึกแปลก ๆ
“หือ ?” ซูเฉิน แหงนหน้ามองฟ้าเหมือนคิดบางอย่าง
แล้วหัวเราะ “เป็นเขาหรือ ? หาทางมาไวนัก”
ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าไปด้านใน
ไกลออกไปจากวังเหล่านั้น
เมฆก้อนหนึ่งลอยผ่านอากาศอย่างสงบ
หลี่ต้าวหงนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น เปลือกตาพลันลืมขึ้น “พบเขตแก่นแล้ว แต่ดูเหมือนพวกปักษาจะไปถึงก่อน เป็นเจ้าคนที่ข้าถกเถียงด้วยเมื่อหลายวันก่อน”
“จะใครก็เถอะ อย่าได้คิดจะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเราเปื้อนมลทินเลย !” เยี่ยเสิ่นหยางเอ่ย
“ดั่งเจ้าว่า ข้าจะไปหยุดเขา” หลี่ต้าวหงตอบ
พริบตาต่อมา เขาก็กลับสู่สภาวะสงบอีกครั้ง เยี่ยเสิ่นหยางเลิกแขนเสื้อ ทำท่าให้เมฆเคลื่อนไวขึ้น
ยามซูเฉินเข้ามาด้านใน ก็พบกับกำแพงทลายอยู่หลายแห่ง
แม้จะดูไร้ของมีค่า แต่ซูเฉินก็ยังเดินเข้าไปต่อ
เดิน ๆ อยู่ก็พลันรู้สึกแปลกในใจอีก
ราวกับที่ข้างหูได้ยินเสียงอะไรกระซิบแผ่วเบา
ซูเฉินรีบหันไป แต่ไม่เห็นสิ่งใด
ซูเฉินขมวดคิ้ว แต่เสียงเบานั่นเหมือนยังอยู่
ไม่เท่านั้น แต่ยังได้ยินชัดเจนขึ้นอีกต่างหาก
ราวกับมีคนหัวเราะเขาเบา ๆ แต่ก็เจือแววชั่วร้ายเช่นกัน
ต่อมา ซูเฉินก็เห็นบางอย่างลอยเข้ามาจากหางตา มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ราวกับแม่นางงดงามผู้หนึ่งกำลังโบกมือให้เขา ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ มาทางตน
“ตัวปลอมแน่ ๆ” ซูเฉินงึมงำแล้วเมินนางไป
แต่ครู่ต่อมา มายาปีศาจกลับร้องเสียงแหลมราวกับมีร่างแล้วกระโจนเข้ากัดเขา
ซูเฉินยืนนิ่ง รวบรวมพลังจิตแล้วโจมตีออกมา
วิชาจิตเช่นนี้ใช้ได้ผลกับศัตรูที่เป็นมายาที่สุดแล้ว
พลังจิตซูเฉินแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม จึงทำลายมายานั่นจนแตกกระจายได้อย่างง่ายดาย
แต่พวกมันก็พากันเข้ามาอีก กรีดเสียงโหยหวนแล้วเดินวนรอบเขา ให้บรรยากาศชั่วร้ายน่าขนลุก
“แดนมายา ?” ซูเฉินเริ่มสงสัยทันที
แต่เขาตกอยู่ในแดนมายาเมื่อไหร่ ? ครู่ก่อนยังไม่เห็นใคร พลังจิตก็แกร่งจนมั่นใจมาก
เกิดอะไรขึ้นกัน ?
ในใจพลันเกิดความคิดหนึ่ง เขารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“หลี่ต้าวหง…” เขาพึมพำ
ซูเฉินรู้ว่านี่คงเป็นฝีมือหลี่ต้าวหงแน่
สายเลือดนิมิตลาวัณย์ตระกูลหลี่อ่อนแอที่สุดในราชวงศ์ทั้ง 7 ในด้านต่อสู้ แต่ก็มีความสามารถพิเศษไว้ใช้นอกสนามต่อสู้เช่นกัน
เช่นสามารถโจมตีจากระยะไกล ทำให้ศัตรูตกอยู่ในแดนมายาได้ เป็นวิชาที่สายเลือดนิมิตลาวัณย์มอบให้
ซึ่งเขากำลังถูกคนสายเลือดนี้โจมตีอยู่ เช่นนั้นก็ไม่ใช่แดนมายาแต่เป็นแดนฝัน
เพราะนิมิตลาวัณย์เป็นเจ้าแห่งฝันร้าย
หลี่ต้าวหงคงดึงเขาเข้าแดนฝัน และกำลังสร้างฝันร้ายมาจัดการเขาอยู่ โดยไม่เพียงทำให้คนกลัว แต่ยังทำอันตรายจริงได้ด้วย
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สังหารตาย กล่าวให้ถูกคือถึงถูกพวกเขาสังหารก็ไม่ได้ตายจริง
หากตายเพราะฝันร้าย ก็เป็นฝันครั้งหนึ่งเท่านั้น พอได้สติก็ไม่เป็นอะไร
แต่ทุกครั้งที่ตายในแดนฝัน วิญญาณจะถูกกัดกินทีละน้อย สุดท้ายก็จะทำให้สิ้นสติไป
หากติดอยู่ในแดนนี้นาน ก็จะตายเพราะถูกกัดวิญญาณกินจนหมดนั่นเอง
แน่นอนว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
ตระกูลหลี่เคยใช้วิชานี้สังหารคนมาก่อน แต่ใช้เวลาถึง 3 ปีเพื่อทรมานผู้ใช้พลังคนหนึ่งจนตาย
แต่เขาคนนั้นก็นับว่าอยู่ระดับต่ำ หากอยากสังหารพวกระดับสูง อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น
ดังนั้นตระกูลหลี่จึงไม่ใช้วิชานี้เพื่อสังหาร
แต่มักใช้เพื่อขุดรูในความคิดและปรับเปลี่ยนอีกฝ่ายต่างหาก
เช่น สามารถปรับให้ผู้นั้นรู้สึกกลัวตระกูลหลี่ผ่านความฝันได้ ทำให้เกิดความรักและชังเพื่อใช้ประโยชน์ในวันหน้าได้
ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวหน้าตระกูลนามหลี่เซียงเฉินแสร้งเป็นนางคณิกา ระหว่างท่องเที่ยวก็เพาะปลูกเมล็ดแห่งความหวาดกลัวให้กับผู้ใช้พลังทั้งหลาย ต่อไปพบกับพวกเขาอีก พวกเขาก็จะสังหารนางไม่ได้ ในตอนที่มั่นใจว่าจะสังหารนางได้ เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวก็จะเผยกายอย่างดุดัน ทำให้จิตใจสลาย แม้จะมีคนที่ต้านมันได้ แต่ก็ถูกหลี่เซียงเฉินสังหารไประหว่างกำลังต้านความกลัว
สายเลือดนิมิตลาวัณย์ไม่เพียงปลูกความกลัวได้ แต่ยังมีความรัก หรือความนบน้อมโอนอ่อนและอื่น ๆ เวลาผ่านไปเรื่อย อิทธิพลที่มองไม่เห็นนี้จะทำให้ผู้อื่นยอมจำนน ทำให้มีผลคล้ายวิชาลวงจิตของจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจู อีกทั้งยังไร้ข้อจำกัด ข้อเสียเดียวคือมันใช้เวลานานหลายปีเพื่อควบคุมคน ๆ หนึ่ง และยังอาจล้มเหลวได้อีก แต่หากมีความอดทนยอมหว่านแหกว้างสักหน่อย สักหลายปีผ่านไปก็จะได้ข้ารับใช้ซื่อสัตย์มาจำนวนหนึ่งได้เช่นกัน
หลี่ต้าวหงได้ทหารเดนตายมาเช่นนี้
ดังนั้นแม้สายเลือดนิมิตลาวัณย์จะมีวิชาต่อสู้อ่อนแอที่สุด แต่หากมีเวลานานพอก็สามารถทำตามใจชอบได้เช่นกัน
หลี่ต้าวหงกำลังใช้วิชาฝันวิญญาณหลุดกับซูเฉิน