ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 109 สิ่งกีดขวาง
บทที่ 109 สิ่งกีดขวาง
“ไม่ ! เวรเอ๊ย !” หลี่ต้าวหงคำรามลั่น
ถึงตอนนี้จะไม่รู้ได้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ?
เขาถูกปั่นหัวเสียแล้ว !
ตอนนี้สภาพเขาย่ำแย่ ทำให้เสียพลังจิตไปเกือบ 200 หน่วย
200 หน่วย !
เดิมทีเขามีแค่ 1200 หน่วย หมายถึงโชคร้ายคราเดียวทำเขาเสียพลังจิตไป 1 ใน 6 ส่วนแล้ว
ซึ่งก็โชคร้ายไปถึง 3 ครั้ง
ซูเฉินยังงึมงำบางอย่างอยู่บนราชวังในจิตตน
เขาย่อมเข้าใจความโกรธของหลี่ต้าวหงดี
กระนั้นศัตรูโกรธ เขายิ่งยินดี ซูเฉินเห็นแล้วพึงพอใจนัก
น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสครั้งที่สี่ ทำเอาเขาเสียใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรก็หาโอกาสเพิ่มพลังจิตจนเองได้ไม่ง่ายอยู่แล้ว
ได้พลังจิตมา 200 หน่วย ซูเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย สำคัญที่สุดคือเขาเรียนรู้วิชาฝันจากหลี่ต้าวหงมาหลายอย่างเชียว
แม้จะยังตื้นเขิน แต่หากมีเวลา เขาก็ค่อย ๆ พัฒนาไปได้
เช่นนั้นแล้ว หลี่ต้าวหงก็นับว่าเพาะเมล็ดพันธุ์สำเร็จ
แต่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเสียสละที่นำทางให้ซูเฉินรู้จักกับวิชาฝัน
ซูเฉินอารมณ์ดี ได้วิชาฝันมาโดยไม่เสียอะไร และถึงจะเสียก็ยังจะออกตามหาสมบัติต่ออยู่ดี เขาส่งร่างแยกนับไม่ถ้วนออกไปกว้านหาสมบัติทั่วทุกทิศ
ยิ่งร่างแยกมาก ก็ยิ่งหาได้รัศมีไกล ร่างแยกหนึ่งรายงานกลับมารวดเร็วว่าพบข้อมูลน่าสนใจเข้า
มันพบบางอย่างอยู่ใกล้กับซากพระราชวัง
ซูเฉินใช้งานภูติลั่นแสงเต็มกำลัง สลับร่างกับร่างแยกนั่นทันใด
เขาปรากฏตัวต่อหน้าหนังสือแถวหนึ่ง
เปิดดูผ่าน ๆ แล้วก็มั่นใจว่าเป็นหนังสือชุดของอวี้ชิงหลาน หนังสือหายากที่บันทึกผลการค้นพบและประสบการณ์ทั้งหลายของปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานหลายท่าน
เขานี่ล่ะเข้าใจตนเองที่สุดแล้วจริง ๆ
นับเป็นการค้นพบที่ล้ำค่าที่สุดของซูเฉินทีเดียว
เขาหัวเราะคิกแล้วเก็บพวกมันไป
ได้ของมาแล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มเหนื่อย แม้จะไม่พบอย่างอื่นเลยก็ตามแต่
แต่หากพบสิ่งอื่น ซูเฉินก็ไม่คิดจะปล่อยไปเช่นกัน
น่าเสียดายที่แถบนี้ถูกทิ้งร้าง เหมือนถูกสิ่งมีชีวิตพลังสูญบุกทำลายมาแล้ว ดังนั้นนอกจากพวกหนังสือที่กินไม่ได้ก็ไม่เหลือของล้ำค่าใดอีก
กระนั้นเขาก็ยังพบทรัพยากรธรรมดาในมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบของวังที่ถูกทำลายบ้าง
ซูเฉินคิดว่าเอาไปก็ดีกว่าไม่เอา ดังนั้นจึงนำมันติดมือไปด้วย
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงได้แต่เปลี่ยนที่หาของ อย่างไรที่นี่ก็กว้างขวาง ต้องมีที่ให้หาสมบัติอีกมากแน่ เพราะงั้นอาจจะพบสมบัติที่อื่นก็เป็นได้
และหากไม่พบ ไปล่าพวกโลหะนั่นอีกก็ได้
ที่เขาคิดดังนี้ เป็นเพราะพบกับพวกมันที่หนีไปได้กลุ่มหนึ่งเข้า ประมาณ 30-40 ตัว
ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ ก็เก็บเจ้าพวกนี้ให้หมดดีกว่า เขาคิดครู่หนึ่ง พยายามหาทางไม่ให้พวกมันหนีได้อีก เพราะการต้องตามไล่ล่ามันเป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจมาก……
“ที่นี่กว้างไป กว่าจะพบนายท่านชิงเฮิ่นคงใช้เวลาหน่อย” อิงอิงถอนหายใจขุ่นเมื่อมองไปรอบ ๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซูเฉินในแดนเดียวกันนี่เอง
ข้างกายนางคือคนตระกูลกุยซานกลุ่มใหญ่
“ยัยบื้อ หาไปจะได้อะไร ?” คนตระกูลกุยซานคนหนึ่งส่งเสียง “จังหวะนี้ล่ะดี เขาอยากทำอะไรก็ทำไป พวกเราก็เช่นกัน เช่นนี้ไม่ดีหรือ ?”
“ดีอะไรกัน ?” อิงอิงตอกกลับ “นายท่านชิงเฮิ่นเป็นหัวหน้าเรา เราจะเคลื่อนไหวโดยพลการไม่ได้นะ !”
คนตระกูลกุยซานอีกหนึ่งเอ่ยเสียงโกรธ “เป็นคนใช้เจ้านั่นมานานจนเสพติดแล้วหรือไร ? แดนลับอวี้ชิงหลานเป็นของตระกูลกุยซานอยู่แล้ว จะให้เขาไปทำไมกัน ? จู่ ๆ ก็มาสั่ง แถมยังบอกจะทิ้งของให้เราแค่ 3 ชิ้น นั่นมันหลักการอะไรกัน ? เช่นนั้นเจ้ายังอยากรับใช้เขาแทนที่จะหนีอีกหรือ ? บ้าหรือเปล่า ?”
“ซางเหยียน พอแล้ว” ผู้อาวุโสตระกูลกุยซานรีบเอยหยุดปักษาหนุ่มไว้
อิงอิงอึ้งไป
นางไม่ได้โง่ ได้ยินซางเหยียน ได้มองหน้าเขาและคนอื่น ๆ นางก็พลันรู้บางอย่าง ร้องขึ้นว่า “เช่นนั้น… เป็นพวกเจ้าที่แยกพวกเราสินะ !”
สีหน้าคนตระกูลกุยซานเปลี่ยนไปพลัน
ซางเหยียนหนุ่มเลือดร้อนเอ่ยเสียงเป็นคนแรก “ใช่ พวกเราเอง ! รู้แล้วอย่างไรล่ะ ? ไม่ใช่พวกสิ่งมีชีวิตพลังสูญอะไรหรอกที่แยกพวกเรา เราเปิดค่ายกลอลหม่านเข้ามาเอง ใช้หมอกดำติดตั้งและเปิดใช้ ก็เลยแยกจากเขาได้ไงเล่า”
“ทำไมถึงทำเช่นนี้ !?” อิงอิงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
ซางเหยียนหัวร่อ “ก็ตอบไปแล้วนี่ ? หากค้นแดนลับด้วยกัน ของก็กลายเป็นของชิงเฮิ่น แต่หากแยกกัน พบอะไรก็เก็บอันนั้นได้ หัวหน้าตระกูลบอกให้เราแยกกันหาเพื่อไม่ให้ชิงเฮิ่นแย่งสมบัติไป ใช้อะไรได้ก็ใช้เลย ใช้ไม่ได้ก็ซ่อนไว้ เจ้าพบอะไรก็เป็นของเจ้า ดีกว่าปล่อยให้ตกไปเป็นของชิงเฮิ่น ! อะไรที่กินหรือซ่อนหรือแอบออกมาไม่ได้ก็ค่อยให้เขา”
อิงอิงชะงัก
ไม่คิดเลยว่ากุยซานเยว่ที่ภายนอกทำท่าเคารพนบน้อม แท้จริงแล้วเบื้องหลังมีความคิดเช่นนี้อยู่
แต่เช่นนี้ก็คือตระกูลเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั่นแล
ไม่มีใครอยากมอบสมบัติที่เหนื่อยหามาให้คนอื่นง่าย ๆ ความจริงคืออยากทำทุกอย่างให้ตกเป็นของตนด้วยซ้ำ
กุยซานเยว่เอาชนะชิงเฮิ่นตรง ๆ ไม่ได้ ทั้งยังถูกบีบให้พึ่งพิงชิงเฮิ่น ดังนั้นจึงได้แต่ยอมก้มหัว แต่ยอมก็ไม่ได้หมายความว่าในหัวจะไร้แผนการ
แผนเขาคือแยกทุกคนจากกัน จะได้ใช้จำนวนคนพยายามชิงเอาสมบัติไปได้นั่นเอง
ซึ่งก็ไม่แปลกแต่อย่างไร
ก็คือกุยซานเยว่กำลังพนันอยู่
เขาพนันว่าซูเฉินคงไม่ฆ่าพวกตนทั้งหมดแม้จะรู้เรื่อง
ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับความนึกคิดของปักษาชรา
แม้ซูเฉินจะวางท่าเย็นชาคิดคำนวณ แต่ปักษาชราก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนสังหารผู้อื่นโดยง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้พวกปักษาในเมืองเขามังกรรอดไปได้หรอก
เป็นพื้นฐานที่กุยซานเยว่ลองพนันดู
ตระกูลกุยซานจึงคิดแยกออกเป็นหลายกลุ่มย่อยแล้วกระจายตัวออกไป เช่นนี้ก็หว่านแหได้มาก และยังแกร่งยามต่อสู้
อิงอิงไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ มองหน้าสหายร่วมตระกูลแล้วก็ถามเสียงสิ้นหวัง “ทำไมกัน ? ทำไมก่อนหน้านี้ไม่บอกข้า ?”
“บอก ?” ซางเหยียนเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าซื่อสัตย์ต่อนายท่านชิงเฮิ่นเช่นนั้น หากบอกไป เจ้าจะสัญญาหรือไม่ว่าจะไม่บอกเขา ? หากเจ้าบอก พวกข้าจะทำอย่างไร ?”
งั้นหรือ ?
ตระกูลไม่เชื่อถือนางแล้วสินะ ?
อิงอิงรู้สึกมึน ๆ ชา ๆ
ผู้อาวุโสคนหนึ่งทนดูไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหุบปากเสีย อิงอิง หัวหน้าตระกูลห้ามไม่ให้บอกเจ้าก็เพื่อตัวเจ้า เจ้าอยู่ข้างกายเขาตลอด โกหกไม่เก่ง ชิงเฮิ่นระวังตนเช่นนั้น หากเจ้ารู้เขาก็คงรู้แผนเราด้วย เราเองก็ไม่คิดจะทำเช่นนี้แต่แรก หัวหน้าตระกูลเก็บงำไว้ เกรงว่าชิงเฮิ่นจะรู้ เพิ่งบอกพวกเราก่อนเข้าแดนมาคืนเดียวเพื่อไม่ให้เกิดเรื่อง เจ้าอย่าคิดมากเลย”
อิงอิงเงียบงัน
“ดูท่าจะเป็นทาสจนเชื่องแล้วกระมัง เสียเวลาเปล่า” ซางเหยียนเอ่ยเหยียด
“เอาล่ะ อย่าเอ่ยอีกเลย พยายามหาสมบัติกันดีกว่า อย่าให้หัวหน้าตระกูลเสียแรงเปล่าประโยชน์” ผู้อาวุโสเอ่ย
ทุกคนจึงกระจายตัวออกไป
“ดูสิ มีดงยาสูบหยกเคลือบตรงนั้นด้วย” ปักษาบางคนตาไว เรียกคนอื่น ๆ เข้ามาดูทันที
ที่ไกล ๆ มีทุ่งยาสูบหยกเคลือบอยู่จริง มันเป็นสมุนไพรมีกลิ่นเฉพาะตัว พวกปักษาใช้เพิ่มพลังจิตได้ ยามบ่มเพาะจิตก็จะจุดสูบมวนหนึ่ง แม้จะไม่ดีเท่าการดื่มยาเพิ่มพลังจิตโดยตรง แต่ก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพยามบ่มเพาะได้ดี
นับว่าล้ำค่าอยู่บ้าง
ผู้อาวุโสดีใจนัก กำลังจะสั่งให้ไปเก็บเกี่ยว ก็พบว่าแถบนั้นมีสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่
มันตัวเล็ก วิ่งอยู่ในทุ่ง ก้มหัวลงต่ำราวกับหนีบางอย่างอยู่ แม้ข้อต่อจะทำจากโลหะ แต่ดูจากพลังต้นกำเนิดแล้วก็นับว่าอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าไม่อันตราย ดังนั้นผู้อาวุโสจึงออกคำสั่ง “ไปกัน !”
ปักษาตระกูลกุยซานจึงมุ่งหน้าไป
พวกนั้นเดินท่องทุ่งไปทั่ว เมื่อเห็นปักษากลุ่มใหญ่รุดเข้ามาก็ตกใจ หันหลังหนีทันที
หากพวกปักษาไล่เฉย ๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ก็มีบางคนอยากหาเรื่อง เมื่อเจ้าตัวปัญหาเห็นว่าพวกมันมีทีท่าหวาดกลัวจึงส่งลูกเพลิงซัดเข้าใส่ทันใด
น่าเหลือเชื่อคือ ลูกไฟปะทะผิวพวกมันแล้วก็ไร้ร่องรอยใด พวกมันไม่บาดเจ็บด้วยซ้ำ
“แกร่งเช่นนั้นเลยหรือ ?” คนตระกูลกุยซานตกใจ
เจ้าพวกตัวที่กำลังหันหลังหนีพลันชะงัก
พวกมันเหลือบมองกัน จากนั้นมองศัตรู จากนั้นก็พากันหันกลับไปแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายทันที
พริบตาต่อมา คลื่นพลังก็กดทับปักษา พวกที่อ่อนแอหน่อยก็ถูกกดร่างลงกับพื้นทันที
ต่อจากนั้น สิ่งมีชีวิตบางตัวก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ ใช้วิชาอากาศเหินร่างขึ้น ปล่อยหมัดใส่ปักษาผู้หนึ่งจนร่วงลงพื้น
ผัวะ !
ทั้งเลือดทั้งเนื้อกระจายไปทั่ว ปักษาผู้นั้นร่างแหลกทันที
“แย่ล่ะ ! เจ้าพวกนี้มีร่างกายแกร่งนัก !” ผู้อาวุโสเผ่าปักษาร้องขึ้น
แต่จะเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว
สิ่งมีชีวิตโลหะร้องลั่นพลางพุ่งเข้าใส่ เท้ากระแทกพื้นสนั่น แม้การต่อสู้จะไม่ซับซ้อน แต่ร่างกายมันแกร่งนัก แต่ละหมัดอัดแน่นด้วยพลัง ทั่วร่างมีแต่เหล็กแหลมแทงออกมา กลายเป็นลูกแหลมที่ฟาดฟันไปในอากาศ เกิดแรงพลังส่งซัดร่างปักษาที่กำลังหนี พวกมันกดความโกรธไว้นาน ตอนนี้หาโอกาสลงอารมณ์ได้แล้ว พริบตาเดียวก็สังหารตระกูลกุยซานไปกว่าครึ่ง
“หนี !” ผู้อาวุโสเผ่าปักษาร้องลั่น พยายามรวมพลคนเพื่อนต้านแรงโจมตีจากพวกมันอย่างเต็มที่
ปักษาทั้งหมดบินถอยหลังไปพร้อมกัน
ทว่าถึงแม้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะตัวเตี้ย แต่ดุร้ายนัก เมื่อเห็นว่าพวกปักษาสู้ไม่ได้ ก็ไล่ตามไม่ลดละ
ปักษาได้แต่บินหนี เมื่อคนตระกูลกุยซานเห็นปักษาหลายคนยืนอยู่ไกล ๆ ก็พากันบินไปหา ไม่สนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ตะโกนลั่นว่า “ช่วยด้วย !”
ปักษาพเนจรเหล่านี้คือพวกคนเร่ร่อนที่ได้ยินเสียงเลยพากันมาดู ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแต่สิ่งมีชีวิตร่างเตี้ยกำลังไล่ล่าปักษากลุ่มใหญ่ เหมือนพวกมันจะมีพลังต้นกำเนิดน้อย ปักษาพเนจรย่อมคิดว่าพวกมันอ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าพวกมันตัวหนึ่งฝ่าคนออกมาได้ พุ่งเข้าใส่ปักษาพเนจรคนหนึ่ง เงื้อกรงเล็บใส่ทันที
เฉือนคราเดียวแยกร่างเป็นสอง ไม่สนเกราะใด ๆ ทั้งสิ้น
ปักษาที่เหลือนิ่งไป เช่นนี้ยังจะกล้าสู้อีกหรือ ? ทุกคนหนีเอาชีวิตรอด ก่นด่าตระกูลกุยซานที่ลากพวกตนเอามาเกี่ยว ได้แต่ต้องวิ่งหนีไปพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แม้ไร้กำลังเสริม แต่หากเป็นกลุ่มใหญ่ก็คงหนีรอดได้มากกว่า
ขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนีนั่นเอง ก็พบกับปักษากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่บินเข้ามา
แต่ครั้งนี้ต่างกันมาก ปักษาที่นำหน้ามาถือดาบไว้ ดูท่าไม่เป็นมิตรเสียเลย
“นักล่าวายุ !” ปักษาตาดีผู้หนึ่งร้องลั่น
ปักษาทั้งหลายลนลานตื่นตระหนก
ตอนนี้ด้านหน้าถูกขวาง ด้านหลังก็ถูกไล่ล่าแล้ว