ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 11 พบนางอีกครั้ง
บทที่ 11 พบนางอีกครั้ง
ทุกเช้า กู่ชิงลั่วจะชอบไปกินซาลาเปาเจที่ตึกปรารถนาเก่าและดื่มข้าวต้มอสรพิษปรารถนาที่มีกลิ่นหอม ทำให้พึงพอใจไม่น้อย
แต่ตอนกำลังจะจากไปนางก็ถูกหยุดไป
“คุณหนูชิงลั่ว นายน้อยหงบอกให้คุณหนูอย่าเพิ่งออกไปสักสองสามวันขอรับ” ข้ารับใช้คนหนึ่งขวางทางกู่ชิงลั่วไว้
“อะไร ? จะออกไปต้องขออนุญาตหรือ ?” กู่ชิงลั่วเลิกคิ้วสูงถาม
แม้จะถูกส่งมาที่ตระกูลกู่สายหลัก กู่ชิงลั่วก็ยังมีอิสระอยู่บ้าง ด้วยตระกูลกู่ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของนางเหมือนศิษย์ในตระกูลได้ เพราะอย่างไรนางก็ไม่ใช่ศิษย์มาจากตระกูลหลัก จะถูกนำตัวมาจากข้างนอกหลังจากสายเลือดอื่นต่างหาก ดังนั้นนางจึงรักอิสระเป็นอย่างมาก
คนเฝ้ายามหัวเราะ “คุณหนูชิงลั่วเข้าใจข้าผิดแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกโกลาหลเล็กน้อย มีนักฆ่าแทรกซึมเข้ามาที่ชายแดน เดินทางมาถึงเมืองฝนต้นฤดูแล้ว และทำการโจมตีคนอย่างไม่เลือกหน้า หลายคนได้รับบาดเจ็บ นายน้อยหงเพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูชิงลั่ว จึงขอให้ออกไปด้านนอกสัก 2-3 วันขอรับ”
กู่ชิงลั่วเอ่ย “ตระกูลกู่แข็งไม่พอจะเอาชนะนักฆ่าพวกนี้งั้นหรือ ?”
ข้ารับใช้เอ่ย “ย่อมต้องเอาชนะได้โดยง่ายขอรับ พวกมันก็เหมือนกับหนู ไหลลื่นเป็นยิ่งนัก ไม่ปรากฏตัวโดยง่าย เพียงแต่เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูชิงลั่ว จึงต้องวางแผนรัดกุมขอรับ”
“แต่ข้าอยากไปตึกปรารถนาเก่า……”
“พ่อครัวตึกปรารถนาเก่าถูกเชิญมาที่นี่แล้วขอรับ อาหารเช้าของคุณหนูจะถูกส่งมาในไม่ช้า”
“ถ้ายังมีนัดออกไปเดินเล่นกับคุณหนูสี่ตระกูลหลินด้วย”
“นายน้อยหงส่งคนไปเชิญคุณหนูสี่หลินมาแล้ว ไม่นานนางจะมาพูดคุยกับคุณหนูชิงลั่วขอรับ”
กู่ชิงลั่วหน้าทะมึน “กู่เฟยหงดูจะรู้ชีวิตข้าดีเหลือเกิน”
“นายน้อยเพียงแต่เป็นห่วงคุณหนูเท่านั้นขอรับ” ข้ารับใช้ไม่ตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“เช่นนั้นต้องรอกี่วัน ?”
“ไม่นาน เพียง 3 ถึง 5 วันก็น่าจะพอขอรับ”
ได้ยินแล้ว กู่ชิงลั่วก็คิดพลางเหลือบมอง “หยางชุนหยาน วาทศิลป์ของเจ้าช่างน่าประทับใจนัก”
ข้ารับใช้นามหยางชุนหยานโค้ง “ขอบคุณคุณหนูที่ชม”
กู่ชิงลั่วเดินกลับห้อง ปิดประตูทิ้งท้ายเสียงดัง
เข้าห้องมาแล้ว กู่ชิงลั่วเอ่ยขึ้นว่า “ชิวถัง”
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” บ่าวสาวคนหนึ่งรีบเข้ามาหากู่ชิงลั่วแล้วคำนับให้
กู่ชิงลั่วเอ่ย “ออกไปสืบข่าวให้ข้าสักหน่อย ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ในเมื่อตระกูลกู่ไม่ยอมให้นางออกจากที่พักโดยใช้ความปลอดภัยเป็นข้ออ้าง การส่งบ่าวสาวออกไปก็คงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง?
“เจ้าค่ะ” บ่าวสาวถอยออกไป
แน่นอนว่าหยางชุนหยานไม่คิดหยุดยั้งบ่าวสาว
หลังจากเดินเทรดอยู่วันหนึ่ง บ่าวสาวก็กลับมาพร้อมกับส่ายหน้า “บ่าวเดินเตร่อยู่บนถนนมา 1 วัน ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่มีคนด่านผลาญจิตวิญญาณเดินท่ออยู่ในเมืองฝนต้นฤดู ทำร้ายร่างกายผู้คน นายน้อยกู่คงจะทำไปเพราะเป็นห่วงคุณหนูชิงลั่ว ถึงได้ขอว่าไม่ให้ออกไปเจ้าค่ะ”
กู่ชิงลั่วเหลือบมอง “คงไม่ได้คิดปิดปากข้าเพราะได้รับเงินมาหลอกใช่ไหม ?”
บ่าวสาวชะงักไป คุกเข่าลงกับพื้นแล้วสาบาน “บ่าวไม่กล้าโกหกคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ ด้านนอกไม่มีเรื่องประหลาดอยู่จริง ๆ”
กู่ชิงลั่วรู้ว่าบ่าวสาวคนนี้เชื่อถือได้ค่อนข้างมาก กลับไม่เชื่อสักนิดว่าด้านนอกไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
นางอยู่กับซูเฉินมานานจนนางลืมไม่ลง เข้าใจอุบายภายในใจมนุษย์ดี ยิ่งเป็นตอนที่ถูกเล่นเล่ห์ใส่ในอดีต ทำให้รู้ว่าการจะได้ใจใครสักคนหนึ่งมันยากขนาดไหน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นางจึงไม่เชื่อกู่เฟยหงสักนิด
บ่าวสาวรายงานมาเช่นนี้ หากไม่ได้หมายถึงถูกซื้อตัวไปแล้วก็หมายความว่านางไม่พบอะไรจริง ๆ
ดูจากที่กู่เฟยหงไม่คิดหยุดยั้งบ่าวสาวให้ออกไปด้านนอกแล้ว เป็นไปได้ว่ามั่นใจว่าบ่าวสาวคงจะไม่พบอะไรผิดปกติตั้งแต่ต้น
เป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่พวกเขาไม่ยอมบ่าวสาวรับรู้หากนางได้ออกไปด้านนอก ? กู่ชิงลั่วคิดเรื่องนี้อยู่ยาวนาน
นัยน์ตานางเป็นประกาย “หรือว่า……”
ไม่ว่าซูเฉินหรือกู่เฟยหงปากไม่คาดคิดว่าเพียงการหยุดไม่ให้กู่ชิงลั่วออกไปด้านนอกจะทำให้นางรู้ความจริงได้
อาศัยอยู่ในต่างแดนมานานระยะหนึ่งแล้ว ความเฉลียวฉลาดของกู่ชิงลั่วเพิ่มสูงขึ้นไม่ใช่น้อย ปกติแล้ว ไหวพริบเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่นางอยู่ เมื่อสามีที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อภรรยาปรากฏตัว สติปัญญาก็จะลดลง แต่ผลลัพธ์กลับกันก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
ช่วงเวลาที่ไม่มีซูเฉินอยู่เคียงข้าง กู่ชิงลั่วก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ากู่ชิงลั่วไม่รู้ว่าซูเฉินกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างร้านเหล้า ต้องอยู่ติดกับคฤหาสน์ของนางพอดี นั่งอยู่นานทั้งวันแล้ว
กู่ชิงลั่วไม่ออกมาปรากฏตัว แต่คนจากตระกูลกู่ออกมาตรวจร้านเหล้าเรียบร้อยแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขารีบแปลงกาย ก็คงถูกจับได้ไปนานแล้ว
มีเพียงกำแพงขวางทั้งสองไว้เท่านั้น อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เอื้อม แต่กลับไกลดั่งฟากฟ้า ไม่อาจพบหน้ากันได้
แต่พวกเขาก็ไม่เหมือนกับคู่รักที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบากผู้อื่น ไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างไร มีเพียงความมั่นใจและความตั้งใจไม่หวั่นไหว ไม่คิดหันหลังกลับ
ซูเฉินเลือกการต่อสู้ยาวนานไปแล้ว ใช้ความอดทนเป็นกลยุทธ์ในการกุมชัย เขาเชื่อว่าหากเขาเต็มใจรอ สุดท้ายก็จะรอจนกู่ชิงลั่วออกมาจนได้ นั่นก็เพราะเขาอยู่ในต่างแดน เทพอสูรบรรพกาลตระกูลกู่มีคนมากฝีมืออยู่มาก ดังนั้นระวังไว้ก่อนเป็นยอดดี
ส่วนกู่ชิงลั่ว ที่นี่เป็นที่พักของนาง นางจึงเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อนได้ง่ายกว่า……
พริบตาเดียวเวลา 3 วันก็ผ่านไป
3 วันมานี้ กู่ชิงลั่วอยู่แต่ในคฤหาสน์อย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าออกไปสักนิด ดูเงียบสงบและสงบสุขมาก
หยางชุนหยานถอนหายใจโล่งอก แต่วันที่กู่เฟยหงไม่อาจหาตัวซูเฉินพบมีแต่ยิ่งต้องระวังจับตาดูกู่ชิงลั่ว หากเวลาผ่านไปนานเกิน กู่ชิงลั่วคงไม่อยู่เฉย ได้แต่หวังว่านายน้อยจะทำสำเร็จโดยเร็ว
ในตอนที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องขึ้นว่า “ไอ้หยา !” มาจากในห้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหลัง “คุณหนู !”
กู่ชิงลั่ว ?
หยางชุนหยานตกตะลึง เขาถูกสั่งให้จับตามองกู่ชิงลั่ว จึงไม่อยากได้ยินคำนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปทั้งห้องนางโดยสัญชาตญาณ
เข้ามาแล้วก็พบกับสภาพภายในห้องที่มีหมอกปกคลุมไปทั่ว บดบังสายตาสิ้น ไม่อาจเห็นสิ่งใด
“คุณหนูชิงลั่ว !” หยางชุนหยานเดินเข้าไปแล้วตะโกนเรียก ทันใดนั้นเท้าก็แตะโดนบางอย่าง
เขารีบย่อตัวลง พบกับร่างของคนอยู่ที่พื้น ผิวสัมผัสนุ่มลื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี จึงรีบอุ้มนางขึ้นมาแล้วตะโกน “คุณหนูชิงลั่ว ?”
มีหมอกบังอยู่จึงเห็นหน้าตาได้ไม่ชัด แต่สัมผัสได้ว่าหญิงสาวกำลังรบร่างเข้ามาแล้วกอดเขาแน่น
หยางชุนหยานติดใจกระเจิง แต่ด้วยความที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของกู่เฟยหงจึงตั้งสติอย่างรวดเร็ว ดับอารมณ์ภายในเอาไว้ ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูโปรดระวังกริยาด้วย !”
ได้ยินอย่างนี้แล้ว อีกฝ่ายหญิงไม่ยอมปล่อย แต่ร้องตะโกนขึ้นมา “อ๊า ! ช่วยด้วย ! เขาขืนใจข้า !”
“แย่แล้ว !” หยางชุนหยานได้ยินเสียงร้องก็รู้ว่าผิดปกติในทันที รีบผลักนางออก
แต่พริบตาต่อมา นิ้วดัชนีหนึ่งก็พลันซัดเข้าที่หลังจนเขาไม่อาจขยับกายได้
เป็นกู่ชิงลั่ว !
หยางชุนหยานทั้งตกใจทั้งโกรธ กู่ชิงลั่วกล้าใช้อุบายเช่นนี้โจมตีเขา ซึ่งเขามองว่ามันดูไร้ศักดิ์ศรีและยางอายไปสักหน่อย
แต่ก็เป็นวิธีที่ไร้ศักดิ์ศรีและยางอายเช่นนี้ถึงจะได้ผลดี ต่อมาไม่นาน ผู้คนจากทั่วทุกทิศก็เริ่มมุ่งหน้าเข้ามาในห้อง
ผู้อาวุโสชุดม่วงพุ่งเข้ามา ในตอนนี้หมอกจางลงแล้ว เห็นหยางชุนหยานกำลังกอดก่ายอยู่กับบ่าวสาว
เห็นดังนั้นผู้อาวุโสชุดม่วงก็โกรธทันที “หยางชุนหยาน เจ้าทำอะไรลงไป !”
จากนั้นกระแทกฝามือใส่หยางชุนหยานในทันที
หยางชุนหยานฝืนรับท่านั้นไว้แล้วร้องออกมา “ผู้อาวุโสเจ็ด ข้าบริสุทธิ์ ! หากท่านไม่เชื่อก็ใช้วิชาตรวจใจได้เลยขอรับ !”
ตระกูลกู่เป็นตระกูลเก่าแก่ที่อยู่มานาน มีวิชาลับมากมาย วิชาตรวจใจเป็นวิชาจากคำลวงวิชาหนึ่งที่มีในตระกูล ดังนั้นคิดจะกล่าวหาใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ได้ยินแล้วทุกคนจึงเชื่อคำชุนหยานขึ้นมาบ้าง
มีเพียงผู้อาวุโสชุดม่วงที่ยังโกรธ “ยังกล้าสามหาวอีกหรือ ? เห็นกันอยู่คาตา ทุกคนก็เห็นกันทั้งนั้น กู่ชิงลั่วจะเล่นงานเจ้าไปเพื่ออะไร ?”
หยางชุนหยานพูดเสียงจนใจ “ไม่แน่ว่าแม่นางกู่อาจมีเรื่องใดเข้าใจผิดกับข้าก็เป็นได้”
เขาย่อมไม่อาจยอมรับว่ากู่เฟยหงสั่งให้เขาจับตามองนางไว้ จึงได้แต่พูดเพียงเท่านี้
แต่เมื่อนึกถึงกู่ชิงลั่ว ในใจก็สั่นสะท้านแล้วโพล่งเสียงดังออกมา “แย่แล้ว ! กู่ชิงลั่ว !”
เขาหันไปแต่ไร้ร่องรอยของกู่ชิงลั่ว รู้ทันทีว่านางฉวยโอกาสหนีไปแล้ว
ทุกคนถูกพามาที่นี่เพราะได้ยินเสียงเอะอะ กู่ชิงลั่วจึงฉวยโอกาสหลบหนี คงไม่มีใครเห็นนางเป็นแน่
เมื่อนึกถึงคำสั่งของกู่เฟยหง หยางชุนหยานก็ขุ่นใจขึ้นทันที แต่แม้อยากจะจากไปเพียงไหน แต่คนอื่น ๆ จะยอมปล่อยเขาไปหรือ ?
จะกล่าวหาคนจากตระกูลกู่นับว่าเป็นไปไม่ได้เนื่องจากตระกูลมีวิชาลับอยู่หลากหลาย ทำให้มีความรู้กว้างขวาง ฉะนั้นหากพวกเขาปล่อยหยางชุนหยานให้จากไปโดยไม่ได้เค้นคอสักหน่อยก็คงจะเป็นการกระทำที่สิ้นคิดไป
ซึ่งตรงกับสิ่งที่กู่ชิงลั่วต้องการพอดี
หยางชุนหยานถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจห้ามให้กู่ชิงลั่วอยู่ภายในได้ ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ให้นายน้อยไม่สำเร็จ ยังจะต้องอธิบายเรื่องราวให้คนอื่นฟังอีกด้วย
ที่อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ กู่ชิงลั่วหลบหนีออกมาได้แล้ว
ด้านนอกเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ทุกสิ่งอย่างดูปกติดี
น่าเสียดายที่นางไม่เห็นเงาร่างของซูเฉินเลย
ซึ่งก็ไม่แปลก อย่างไรเขาก็ปรากฏตัวอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว
กู่ชิงลั่วไม่รู้ว่าซูเฉินอยู่ที่ไหน แต่นางไม่มีเวลาออกตามหา กู่เฟยหงกับพวกจะมาเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้นกู่ชิงลั่วจึงตัดสินใจเรียบง่าย
นางเหินร่างขึ้นไปบนหลังคาแล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ข้าอยู่นี่ ! ซูเฉิน เจ้าอยู่ที่ไหน ?”
“ซูเฉิน เจ้าอยู่ที่ไหน……”
“เจ้าอยู่ที่ไหน……”
“เจ้าอยู่ที่……”
“อยู่……”
“……ที่……”
น้ำเสียงของกู่ชิงลั่วดังก้องไปทั่วฟ้าทุกทิศทาง
นางไม่รู้จุดที่ซูเฉินอยู่ แต่เชื่อว่าเขาต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่ คงอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
หากเขาได้ยินเสียงนางเขาจะต้องมาแน่
แต่เมื่อเสียงดังก้องไปตามท้องถนน กู่ชิงลั่วกลับไม่เห็นร่างซูเฉินปรากฏ เห็นแต่คนอื่นที่มองมาทางนางด้วยความตกใจและความสับสนเท่านั้น
นางประเมินผิดไปงั้นหรือ ?
กู่ชิงลั่วใจเสีย
หรือนางจะวิเคราะห์ผิดไป ? ซูเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่นั้นหรือ ?
ซูเฉิน เมื่อไหร่เจ้าถึงจะมาหาข้า ?
กู่ชิงลั่วเจ็บปวดในหัวใจเมื่อไร้เสียงตอบรับกลับมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งกระซิบขึ้นที่ข้างหู
“นี่ ทำไมถึงไปยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นได้ ?”
กู่ชิงลั่วร่างสั่นสะท้าน
พอหันไปก็พบกับซูเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังส่งยิ้มกว้างให้
ทันใดนั้น กู่ชิงลั่วก็ไม่อาจคุมตนเองอยู่อีกต่อไป โผเข้าหาอ้อมกอดซูเฉินทันที