ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 111 แข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
บทที่ 111 แข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
‘มหาวายุเกลียว’ เป็นวิชาอาร์คาน่าอันทรงพลังที่ชาวเผ่าปักษาไม่เคยรู้จักมาก่อน และเป็นวิชาที่ถูกใช้เพื่อตรึงพื้นที่ในอากาศเอาไว้
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นหนึ่งในวิชาอาร์คาน่าระดับ 6 อีกด้วย
เมื่ออิงอิงเห็นดังนั้น นางก็ร้องขึ้นทันทีด้วยความตกตะลึง “นี่นายท่านเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 6 แล้วหรือ ?”
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าได้ในระดับที่ห้า แม้ว่าในทางเทคนิคแล้ว ดาบศิราทองคำจะพัฒนาไปถึงระดับที่ 7 แต่แก่นแท้ของมันก็ยังอยู่ในระดับ 4 เท่านั้น
การที่ซูเฉินสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 6 ได้นั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าเขาจะสามารถมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นได้อีกครั้ง
ด้วยพื้นฐานของซูเฉินแล้ว การเรียนรู้วิชาอาร์คาน่าระดับ 6 นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น ชาวเผ่าปักษาก็ให้คุณค่ากับสิ่งที่พวกเขาค้นพบยิ่งนัก ความรู้และความลับทั้งหมดจึงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ซูเฉินจึงไม่ค่อยได้ศึกษาพวกมันเท่าใดนัก
แต่แล้วกองหนังสือที่พบในตำหนักนั้น นอกจากจะเป็นบันทึกเกี่ยวกับการทดลองและประสบการณ์จากผู้ใช้วิชาอาร์คาน่าแล้ว ก็ยังมีหนังสือเกี่ยวกับวิชาอาร์คาน่าอยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย
ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานเป็นผู้ครอบครองวิชาอาร์คาน่าตั้งแต่ระดับ 5 ไปจนถึงระดับตำนาน แต่บันทึกของเขากลับไม่ปรากฏทักษะที่ต่ำกว่าระดับ 5 อยู่เลย
‘มหาวายุเกลียว’ ที่ซูเฉินใช้ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในวิชาที่เขาพบในหนังสือ มันเป็นวิชาที่ชายหนุ่มเพิ่งได้เรียนรู้และหยิบยกเอามาใช้ในทันที
แล้วซูเฉินเรียนรู้วิชานั้นในระหว่างการต่อสู้ได้อย่างไรกัน ?
อันที่จริงแล้วคำถามนี้ตอบได้ไม่ยากเลย…
ก็ด้วยร่างแยกยังไงล่ะ !
เพื่อที่จะจับเจ้าตัวโลหะพวกนั้นให้ได้ ซูเฉินจึงต้องแยกร่างออกมาถึงหกร่างเพื่อศึกษาหนังสือเหล่านั้นและค้นหาวิชาอาร์คาน่าที่เหมาะสมเพื่อเรียนรู้ให้ได้ทั้งหมด
การศึกษาวิชาอาร์คาน่าระดับสูงนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และการสร้างวิชาให้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก และเหตุนี้เองที่ทำให้ซูเฉินจำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ที่แข็งแรงและครบถ้วน แต่ผลึกวิญญาณของเขามีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม สิ่งที่คนอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลานานเป็นปีเพื่อจดจำนั้นถูกฝังเข้าไปในผลึกวิญญาณของซูเฉินได้ภายในไม่ถึงครึ่งเค่อเท่านั้น
แน่นอนว่าแค่การจดจำโครงสร้างอักขระวิชาอาร์คาน่านั้นยังไม่เพียงพอ การควบคุมพลังต้นกำเนิดของซูเฉินจำเป็นจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับความเข้าใจของเขาด้วย วิชาอาร์คาน่าแต่ละระดับอาจมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก และปรมาจารย์อาร์คาน่าแต่ละคนก็จะเชี่ยวชาญเฉพาะธาตุที่คุ้นเคย ไม่เช่นนั้นแล้วทุกคนก็คงสามารถเพิ่มระดับในการฝึกได้เพียงการเรียนรู้จากวิชาของคนอื่น ๆ เท่านั้น
ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากพอเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมวิชาอาร์คาน่าที่สอดคล้องกันได้
ความชำนาญในการใช้ลมของซูเฉินอยู่ในระดับปานกลางอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นวิชาอาร์คาน่าที่มีพื้นฐานมาจากการใช้พลังไฟหรือความมืดแล้ว ชายหนุ่มอาจสามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้แน่ ธาตุลมนั้นถือเป็นธาตุที่ท้าทายกว่าธาตุอื่น ๆ มากทีเดียว
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะเขามีทรัพยากรและเงินมากมายอยู่แล้ว !
การเพิ่มความแข็งแกร่งของธาตุในร่างของคนคนหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้น ๆ นั้นไม่ใช่ความสำเร็จธรรมดา ๆ เพราะมันต้องใช้เวลาส่วนมากไปกับการรวบรวมวัตถุดิบสำคัญ !
และซูเฉินก็บังเอิญมีวัตถุดิบที่หายากนั้นอยู่ในมือเสียอย่างนั้น…
มันคือเทียนไขชีวิตนั่นเอง !
เทียนไขชีวิตเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ชาวมนุษย์ใช้เพื่อเอาชนะเผ่าอื่น ๆ เทียนไขนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับหลายจุดประสงค์ รวมถึงการช่วยชีวิตด้วย ไม่ว่าบาดแผลของผู้นั้นจะร้ายแรงเพียงใด เทียนไขชีวิตก็จะทำให้ผู้บาดเจ็บยังมีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกมันจึงถูกนำมาใช้เพื่อการปกป้อง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่ง ซึ่งความรุนแรงในการเผาไหม้ของเทียนก็จะแปรผันไปตามความรุนแรงของบาดแผลนั่นเอง
นอกจากนั้นแล้วเทียนไขชีวิตก็ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการใช้มันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิชาอาร์คาน่านั่นเอง !
เทียนไขชีวิตจะสามารถเพิ่มพลังที่แท้จริงและทักษะของผู้ใช้งานได้ และเทียนนี้เองที่ทำให้ซูเฉินมีสิ่งที่จำเป็นในการใช้วิชาอาร์คาน่าได้แม้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะไม่มีคุณสมบัติในการใช้วิชานี้ก็ตาม
ชายหนุ่มสามารถใช้ประโยชน์ของเทียนไขชีวิตได้อย่างคุ้มค่ายิ่งนัก
และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ซูเฉินจึงสามารถพัฒนาความชำนาญด้วยธาตุลมของเขาต่อไปได้อย่างง่ายดาย
เพราะเขาต้องการเพียงแค่ผลึกต้นกำเนิดชนิดที่ถูกต้องและเทียนไขชีวิตเท่านั้น
ซึ่งบังเอิญว่าซูเฉินมีของทั้งสองสิ่งอยู่กับตัวพอดี… ในบรรดาผลึกต้นกำเนิดที่เขามีและตั้งใจจะใช้เพื่อเป็นเครื่องบูชานั้นมีผลึกต้นกำเนิดธาตุลมปะปนอยู่ด้วย
ชายหนุ่มจำต้องจุดเทียนไขที่มีเพื่อที่จะจัดการกับสิ่งมีชีวิตพวกนั้นให้ได้ !
พลังอำนาจส่วนใหญ่ของเทียนไขชีวิตนั้นสามารถทำงานได้เพียงชั่วคราว และบางส่วนก็เป็นฤทธิ์แบบถาวร ซึ่งแน่นอนว่าฤทธิ์แบบถาวรนั้นกระตุ้นการใช้งานได้ยากกว่ามาก
แต่เพราะซูเฉินใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จึงยากนักที่จะบอกได้ว่าเขาจะสามารถพัฒนาทักษะได้หรือไม่
ทักษะธาตุลมของซูเฉินเคยอยู่ในระดับที่เทียบได้กับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 2 จากนั้นจึงพัฒนาไปสู่อาร์คาน่าระดับ 4 และด้วยความช่วยเหลือจากเทียนไขชีวิตกับผลึกต้นกำเนิดธาตุลมจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในธาตุนี้ อีกทั้งในตอนนี้ยังสามารถปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าธาตุลมระดับ 6 ได้อีกด้วย !
ต้องเป็นคนอย่างซูเฉินเท่านั้นที่จะสามารถฝึกวิชาเช่นนี้ได้ !
แม้ว่าอาจจะดูฟุ่มเฟือยไปสักหน่อย แต่ซูเฉินก็มีเงินมากมายอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มจะเอาเงินพวกนั้นไปทำอะไรล่ะ ?
สำหรับเขาแล้วการใช้เงินนั้นยากยิ่งกว่าการทำเงินเสียอีก ชายหนุ่มจึงค่อนข้างพอใจทีเดียวที่ได้ใช้โอกาสนี้ในการใช้ทรัพยากรที่มีไปบ้าง
มหาวายุเกลียวสามารถใช้เพื่อตรึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตพลังสูญพวกนั้นได้ ทำให้มันทำได้เพียงแค่รอความตายอยู่กับที่เท่านั้น
จากนั้นซูเฉินก็กระโจนออกไปพร้อมกับสะบัดดาบศิราทองคำออกไปใส่พวกมัน
หลังจากที่วิชาอาร์คาน่าของเขาพัฒนาไปถึงระดับ 6 ความว่องไวของซูเฉินก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่ได้ใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย เขาก็ยังสามารถเคลื่อนไปด้านหน้าหรือถอยหลังได้ราวกับสายลมโดยอาศัยความโกลาหลที่ถูกสร้างขึ้นในพายุและสังหารคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ
ซูเฉินในตอนนี้ไม่ต่างไปจากลมหวนที่ดุร้าย ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
นี่คือสิ่งที่ไล่ล่าพวกเขามาตลอดอย่างนั้นหรือ ? ผิวของมันแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าเชียวหรือไร แล้วสนามแรงโน้มถ่วงที่พวกมันสร้างนั่นก็ด้วย ไหนจะใบมีดกระดูกแวววาวพวกนั้นอีก…
แต่ทำไมพวกมันถึงตายกันง่ายดายเพียงแค่ถูกฟันครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่ตอนที่พวกข้าโจมตี พวกเจ้ากลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ !
ไม่ยุติธรรมเลย !
ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด !
พวกเผ่าปักษาที่อยู่บริเวณนั้นต่างสบถอยู่ในใจ แม้แต่จอมโจรอู๋อวี่เจ่อก็ยังอดตะลึงไม่ได้
ในฐานะปักษาไร้ปีก เขาภาคภูมิใจกับร่างโลหะของตัวเองเหลือเกิน แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นกลับไม่มีความหมายใด ๆ ต่อสิ่งมีชีวิตพวกนั้น ทว่าตอนนี้นายท่านชิงเฮิ่นผู้นั้นกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและลงมือบดขยี้ร่างของสิ่งเหล่านั้นราวกับว่าเขาเป็นเครื่องบดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น …นั่นทำให้อู๋อวี่เจ่อเสียความมั่นใจไปไม่น้อยเลย
แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
อาจเป็นเพราะความพยายามที่จะซ่อนตัวของสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้นก็ได้ที่ทำให้ซูเฉินหมดความอดทน
เขาขมวดคิ้วและปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าออกมาอีกครั้ง
ตรวนสีโปร่งใสปรากฏขึ้นกลางอากาศทะยานเข้าใส่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นในทันที
เป็น ‘ตรวนวายุ’ นั่นเอง !
มันคือวิชาอาร์คาน่าระดับหกอีกอย่างหนึ่ง
แม้แต่อิงอิงก็ยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
นางอาจยอมรับได้ว่านายท่านชิงเฮิ่นสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าได้ อย่างไรแล้วเขาก็แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าถึง และก็เป็นที่แน่ชัดเจนแล้วว่าเขาอาจบรรลุขั้นที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ แต่การที่สามารถเรียนรู้วิชาอาร์คาน่าระดับ 6 ได้ถึงสองอย่างในทันที…. เรื่องนี้มันช่างเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก !!
นางไม่รู้ว่าร่างแยกของซูเฉินยังคงซ่อนตัวอยู่ที่ข้างนอกนั่นและอ่านหนังสือเหล่านั้นอยู่อย่างกระตือรือร้น
วิธีการที่อันแปลกประหลาดของซูเฉินในการใช้ร่างแยกนั้นทำให้ความรวดเร็วในการเรียนรู้ของเขาทวีคูณขึ้น ร่างถึงหกร่างของชายหนุ่มอ่านหนังสือพร้อมกันและส่งความรู้เหล่านั้นเข้าสู่ผลึกวิญญาณของซูเฉินเพื่อรวบรวมและให้เขาตกผลึก ด้วยความเร็วของผลึกวิญญาณแล้วนั้น การทำความเข้าใจข้อมูลที่ได้มาพร้อม ๆ กันจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่นทีเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าการเรียนรู้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับซูเฉินเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่อิงอิงไม่รู้ก็คือ อันที่จริงแล้วซูเฉินเพิ่งจะใช้มันได้เมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้เท่านั้น
ตอนนี้เขาสามารถควบคุมวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์ และอักขระวิชาอาร์คาน่าก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาแล้วด้วย แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มใช้วิชานี้ แต่ท่าทางที่คุ้นเคยและเชี่ยวชาญนั้นกลับทำให้เข้าใจได้ว่าเขาใช้มันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังต้องยอมรับว่าผลึกวิญญาณของเขานั้นเป็นเหมือนสูตรลับที่ใช้โกงความสามารถสำหรับการเรียนรู้วิชาอาร์คาน่า
ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของเขามากพอ ชายหนุ่มก็สามารถเรียนรู้วิชาใดก็ได้ในทันที !
‘ตรวนวายุ’ ตรงเข้าตรึงร่างของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้ซูเฉินสามารถสังหารพวกมันได้ง่ายดายมากขึ้น
แม้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตอบโต้ ซูเฉินก็ยังคงใช้ตรวนวายุต่อไปอย่างไม่ลดละ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องผูกมันเข้าด้วยกันอีก อย่างไรแล้วตราบใดที่ตรวนนั้นสามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้ชั่วขณะ นั่นก็ทำให้ซูเฉินมีเวลามากพอที่จะทำลายชีวิตของพวกมันแล้ว
เขาใช้มือข้างหนึ่งในการสร้างตรวนขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างนั้นกำลังสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างต่อเนื่องและง่ายดายราวกับเชือดหมู ส่วนชาวเผ่าปักษาคนอื่น ๆ ที่ดูอยู่นั้นต่างก็แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
เดิมทีเจ้าตัวโลหะพวกนี้มีจำนวนนับร้อย แต่ซูเฉินจัดการกำจัดพวกมันจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น และดูเหมือนว่าประสิทธิภาพในการทำงานของเขาจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ! ในตอนนี้สิ่งมีชีวิตประหลาดได้แต่มองหน้ากันและคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากซูเฉิน
“หือ พวกเจ้าคิดจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ ?” ซูเฉินผงะไป
สิ่งมีชีวิตร่างโลหะพวกนี้ดื้อด้านนัก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย พวกมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากโอนอ่อนลงบ้าง
การเอาชีวิตรอดถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของทุกชีวิตเสมอ ไม่ว่าสายพันธุ์ใดในโลกนี้ หากไม่เข้าใจถึงหลักการข้อนี้ เผ่าพันธุ์นั้นก็จะต้องสูญพันธุ์ในไม่ช้าอย่างแน่นอน
“น่าสนใจทีเดียว แต่พวกเจ้านี่ดูไม่เชื่องเอาเสียเลย อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดอีก ต่อให้ข้ายอมรับพวกเจ้ามา ก็คงใช้ประโยชน์อะไรพวกเจ้าไม่ได้อยู่ดี สู้ใช้ร่างไร้วิญญาณของพวกเจ้าเป็นอาหารให้กับดาบศิราทองคำยังจะดีเสียกว่า” ซูเฉินพึมพำ
สิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ แต่พวกมันก็สัมผัสถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มได้ เมื่อรู้แล้วว่าซูเฉินไม่คิดจะรับพวกมันไปเป็นทาสรับใช้ สิ่งมีชีวิตร่างโลหะก็พลันร้องขึ้นอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว
“แต่อาจมีอยู่หนึ่งวิธีที่ข้าสามารถทำให้พวกเจ้าเชื่อฟังข้าได้” ซูเฉินกล่าวต่อไปพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดและดูเหมือนว่าเขาจะคิดบางอย่างขึ้นได้ “หยุดอยู่ตรงนั้น.. ! จงอย่าได้ขยับไปไหน”
ชายหนุ่มไม่ได้ระบุว่าเขากล่าวประโยคนั้นกับใคร ดังนั้นสัตว์อสูรกระดูกโลหะพวกนั้นจึงไม่กล้าขยับไปไหน รวมถึงชาวเผ่าปักษาก็เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายได้แต่มองไปที่เขาอย่างไม่ละสายตา
แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ และเพียงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดจะทำอะไร พวกเขาได้แต่มองหน้ากันและกันด้วยความสับสน ต่างก็ฉงนใจไม่ต่างกัน
พวกเขาไม่รู้เลยว่าร่างแยกของซูเฉินซ่อนตัวอยู่ตามซอกมุมและกำลังเปิดหนังสืออ่านอย่างบ้าคลั่ง
ในห้องหนังสือของอวี้ชิงหลานมีตำราวิชาอาร์คาน่าอันเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ตำราเชื่อมวิญญาณ’ วิชานี้ทำให้คนสองคนสามารถสื่อสารกันได้อย่างใจนึกและเข้าใจฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น วิชานี้ก็ถือเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 และจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในระดับสูงอีกด้วย
ซูเฉินมีพลังจิตมาพอก็จริง แต่การใช้พลังจิตของคนคนหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง รวมถึงความสามารถในการทำความเข้าใจและประสบการณ์ของผู้นั้นด้วย หากซูเฉินอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ เขาอาจมีคุณสมบัติพอที่จะใช้มันก็ได้
แต่ชายหนุ่มยังไม่ได้มีพลังขนาดนั้น และระดับการใช้พลังจิตของเขาก็ยังอ่อนแออยู่
จะบอกว่าซูเฉินมีพลังจิตเป็นจำนวนมหาศาลก็ไม่ผิดนัด แต่เขายังขาดทักษะในการนำมันมาใช้อย่างเหมาะสมก็เท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหากับชายหนุ่มแต่อย่างใด
เขามีเทียนไขชีวิตอยู่ในมืออยู่แล้วนี่นา !
ขณะที่ร่างแยกกำลังพลิกหน้าหนังสือ เพื่อจดจำวิชาอาร์คาน่าและอักขระวิชาอาร์คาน่า ร่างจริงของซูเฉินก็จุดเทียนไขชีวิตขึ้น
วิธีการในการใช้เทียนไขชีวิตนั้นน่าสนใจทีเดียว หลังจากเทียนถูกจุดขึ้นแล้ว มันก็จะกลายสภาพ ตรงเข้าสู่ร่างของผู้ใช้งาน และเผาไหม้ต่อไปที่ด้านในนั้น ซึ่งขณะที่มันกำลังเผาไหม้นั้นเอง การรับรู้ของผู้ใช้งานก็จะเพิ่มสูงขึ้น ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวในการใช้งานก็คือจะต้องมีพลังมากพอที่จะจุดมันขึ้นมาเท่านั้น
อย่างเช่น หากซูเฉินต้องการจะเพิ่มพลังให้กับวิชาอาร์คาน่าธาตุลมของตัวเอง เขาก็จำเป็นต้องใช้ผลึกแก้วประเภทลมเพื่อจุดเทียนไขชีวิต
การเพิ่มระดับของการใช้พลังจิตนั้นยากยิ่งกว่ามาก และนั่นก็เพราะผลึกต้นกำเนิดประเภทวิญญาณมีจำนวนน้อยกว่านั่นเอง
แม้ว่าซูเฉินจะมีผลึกต้นกำเนิดกองโต แต่พวกมันก็เป็นเพียงผลึกต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติของธาตุเบื้องต้นอย่าง ลม ไฟ และสายฟ้าเท่านั้น ต่อให้ชายหนุ่มมีผลึกต้นกำเนิดประเภทวิญญาณ ทว่าเขาก็คงทนไม่ได้ที่จะเอามันมาใช้เพื่อเรื่องแค่นี้อยู่ดี
ดังนั้นเมื่อเขาขาดผลึกต้นกำเนิดประเภทวิญญาณ… แล้วเขาต้องทำอย่างไรต่อไปล่ะ ?
คำตอบของคำถามนี้ไม่ยากเลย
ซูเฉินตัดสินใจใช้พลังจิตของตัวเอง
การใช้พลังจิตเป็นเชื้อเพลิงจะทำให้ชายหนุ่มสามารถจุดไฟอย่างที่เขาต้องการได้
ไม่ช้าร่างของซูเฉินก็เริ่มส่องประกายสว่างจ้า
แสงนั้นสาดกระจายไปทั่วทุกทิศทางและส่องให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น
เมื่อชาวเผ่าปักษาได้สัมผัสแสงแห่งจิตวิญญาณที่พุ่งออกมาจากร่างของซูเฉินแล้ว ทั้งหมดก็ต่างรู้สึกอยากก้มลงกราบกรานและบูชาเขาในทันที !