ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 117 เหม่อลอย
บทที่ 117 เหม่อลอย
ใครอยากจะเป็นคนแรก ?
หรืออาจเป็นทั้งสองพร้อม ๆ กัน ?
คำเหล่านั้นช่างเรียบง่าย แต่พวกมันมีน้ำเสียงที่สามารถข่มขู่พวกเขาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
กลุ่มผู้สังเกตการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน ในที่สุด เผ่าปักษาหนึ่งตนก็พลันก้าวออกมาจากหมู่คน
“ข้ามีนามว่าไห่ซื่อ จำชื่อของข้าไว้……”
ก่อนที่เขาจะสามารถจบประโยคได้ด้วยซ้ำ แหวนไร้แสงของซูเฉินก็ฟาดลงตรงหน้าเขาเสียแล้ว
เผ่าปักษานามไห่ซื่อตกตะลึง ด้วยปกติปรมาจารย์อาร์คาน่าต้องใช้เวลาในการปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่า พวกเขาจึงมักจะสู้ด้วยความเร็วที่ช้ากว่านี้ เหตุผลหนึ่งเดียวที่คู่ต่อสู้ของซูเฉินบางคนสามารถปลดปล่อยปล่อยวิชาอาร์คาน่าได้อย่างรวดเร็วนั่นเป็นเพราะพวกเขามีพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อหรือครอบครองวิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิด แม้ว่าจะมีบางวิชาอาร์คาน่าที่มุ่งไปทางการร่ายที่รวดเร็ว ทว่าวิชาอาร์คาน่าส่วนมากก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นี่เป็นเรื่องของวิชาที่ไห่ซื่อใช้ พรสวรรค์ของเขาไม่ได้สูงมาก อัตราการร่ายของเขาเฉื่อยช้า และความปราดเปรียวของเขาก็ต่ำไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะเปิดฉากด้วยการใช้คำพูดล่อลวงซึ่งจะให้เวลาเขาในการเตรียมการโจมตี
แต่ซูเฉินก็ไม่ให้โอกาสเขาในการทำเช่นนั้น เนื่องจากไห่ซื่อได้ประกาศเจตนาในการต่อสู้ของเขาแล้ว ดังนั้นจะต้องเสียเวลาไปอีกทำไม?
อย่างไรแล้วเขาก็เป็นมนุษย์โดยธรรมชาติ เขาจึงสู้อย่างมนุษย์ตามธรรมชาติเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ประเภท เขาจะเริ่มจากการให้พวกเขาได้ลิ้มรสเหล็กกล้าก่อนเสมอ
เผ่าปักษาคนนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย ความตื่นตกใจฉาบอยู่ทั่วใบหน้าขณะที่เขาใช้เกราะป้องกันกับตัวเองโดยสัญชาตญาณ นี่เป็นวิชาอาร์คาน่าที่เขาสามารถร่ายได้เร็วที่สุดแล้ว
ถึงอย่างนั้น ดาบของซูเฉินก็ฟาดฟันลงอย่างไร้ที่ติ แสงสว่างส่องออกมาจากผิวของดาบเล่มนั้นก่อนที่มันจะปะทะเข้ากับเกราะและสลายมันลง แรงเหวี่ยงดาบยังทำหน้าที่ของมันต่อไปและแบ่งร่างของอีกฝ่ายออกเป็นสองส่วนด้วยการโจมตีที่ไหลลื่น
“นี่คือการต่อสู้ ไม่ใช่บทสนทนา !” ซูเฉินกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากพวกเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็ยินดีจะตามใจ แต่อย่าแม้แต่คิดที่จะพยายามป้องกันตัว”
ขณะที่พูด เขาก็พุ่งตัวไปยังเหล่าศิษย์นิกายแห่งพระแม่
ศิษย์เหล่านั้นตอบโต้อย่างพร้อมเพรียงกันด้วยการขว้างปาวิชาอาร์คาน่าต่าง ๆ ผ่านอากาศไปยังซูเฉินอย่างหนาแน่นและรวดเร็ว
แต่ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาโจมตี ร่างของซูเฉินก็กะพริบและปรากฏขึ้นใกล้กับกลุ่มปักษามือแห่งโชคชะตาในครั้งนี้ ดาบของเขาแวบผ่านอากาศและปรากฏขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเผ่าปักษาตนหนึ่งในวินาทีต่อมา
เขากำลังยั่วยุมือแห่งโชคชะตาในขณะที่นิกายแห่งพระแม่ยังคงฉุนเฉียวต่อซูเฉิน !
สมาชิกมือแห่งโชคชะตาตกตะลึงและเดือดดาลจากการกระทำของซูเฉิน แล้วจึงโจมตีออกมาพร้อมกัน
อย่างคาดไม่ถึง ร่างของซูเฉินหายวับไปอีกครั้ง คราวนี้เขาปรากฏกายขึ้นด้านหลังนักรบสละชีพของหลี่ต้าวหงและตัดหัวของเขาออก
เป้าหมายที่ชายหนุ่มเลือกไว้ล้วนอ่อนแอกว่าเขาในเชิงของระดับพลังและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขานั้นอ่อนแอยิ่งกว่า ดังนั้นจึงไม่มีพวกเขาสักคนที่สามารถทนทานต่อการโจมตีของซูเฉินได้ และเขายังสามารถสังหารคนทั้งสามได้อย่างง่ายดาย
เช่นนี้จะไม่ให้เผ่าปักษาคนอื่น ๆ ไม่โกรธเคืองต่อการกระทำของชายหนุ่มได้อย่างไร ? พวกเขาเริ่มออกตัวและตั้งใจจะสร้างอุปสรรคให้แก่ซูเฉิน
แต่ซูเฉินก็ยังคงอาศัยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเพื่อหนีการไล่ล่าของพวกเขา ทำให้เป็นไปได้ยากไม่น้อยที่จะจับทิศทางของเขาได้ นี่ทำให้วิชาอาร์คาน่าส่วนมากไร้ประโยชน์ต่อเขา และพวกปลายแถวเหล่านี้นั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้วิชาเชิงพื้นที่ระดับสูงได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงปลดปล่อยคลื่นวิชาอาร์คาน่าประเภทส่งผลเป็นพื้นที่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าและภาวนาให้หนึ่งในพวกเขาโจมตีสำเร็จ
กระแสพลังต้นกำเนิดที่บ้าคลั่งแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทางจากวิชาอาร์คาน่าที่ประสานงากันโดยบังเอิญ
ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ซูเฉินกล่าว เนื่องจากเขาถูกลากเข้าไปในวงต่อสู้แล้ว จึงไม่ควรมีผู้ใดแม้แต่จะคิดที่จะนั่งเฉย ๆ และไม่ทำอะไรเลย
สู้กันเถอะ !
ตู้ม !
เสียงระเบิดหลายต่อหลายครั้งดังก้องไปทุกทิศทางขณะที่คลื่นพลังต้นกำเนิดมากมายแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง
แม้ว่าการต่อสู้นี้จะโกลาหล จังหวะและกระแสทั่วไปก็ยังคงปรากฏอยู่
หลี่ต้าวหงและคนของเขากำลังต่อสู้กับตงชิงหมิงในขณะที่นิกายแห่งพระแม่กำลังต่อสู้กับมือแห่งโชคชะตา ความเกลียดชังต่อกันของพวกเขากำลังสำแดงออกมาอย่างชัดเจนในตอนนี้ ไม่มีใครพยายามจะปิดบังเจตนาของตนอีกต่อไป และพวกเขาก็เริ่มที่จะโจมตีอีกฝ่ายอย่างไร้เมตตา
แน่นอนว่าพวกเขาล้วนมีแนวคิดเดียวกันต่อซูเฉิน
ซูเฉินจะโจมตีทุกคน และทุกคนที่มองเห็นเขาก็จะโจมตีเขาเช่นกัน
ชาวประมงไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ ในคราวนี้และถูกลากลงไปในน้ำด้วยเช่นกัน
นี่คือโลกที่แท้จริง
ไม่เช่นนั้น การต่อสู้นี้คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก
เพราะซูเฉินไม่ได้ยืนมองการต่อสู้อยู่ด้านข้างอีกต่อไป เยี่ยเสิ่นหยางและอี่หนี่เก้อจึงสามารถตั้งสมาธิอยู่กับการต่อสู้ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยสำหรับพวกเขาแล้ว ความรู้สึกของการถูกใช้งานโดยผู้อื่นได้หายไปแล้ว
แต่เพียงเพราะซูเฉินได้เข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้… มันก็ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ !
ด้วยการอาศัยความคล่องแคล่วจากวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย ซูเฉินราวกับกำลังเต้นรำไปมาอย่างสง่างามท่ามกลางสนามรบที่โกลาหล เนื่องจากตำแหน่งของเขาไม่ได้ตายตัว จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะถูกดึงเข้าไปในความสับสนอลหม่าน ส่วน ‘ความปรารถนา’ ของเขาที่จะต่อสู้นั้นก็เพื่อจะสงบปากสงบคำฝ่ายอื่น ๆ ราวกับเขากำลังบอกว่า ‘ดูสิ ตอนนี้ข้าสู้แล้ว พวกเจ้าจะได้หยุดสนใจข้าเสียที’
ดังนั้น เขาจึงไม่ได้มุ่งไปกับการโจมตีแต่เป็นการปกป้องตัวเองแทน
ซูเฉินไม่ได้สนใจในความเกรี้ยวกราดที่คู่ต่อสู้ของเขาโจมตีกันและกัน
ศัตรูคือศัตรู แม้ว่าซูเฉินจะเป็นผู้ไปยั่วยุพวกเขา ความเกลียดชังอีกฝ่ายของพวกเขาก็สำแดงออกมาระหว่างการต่อสู้ กระทั่งผู้นำของพวกเขายังต่อสู้กันเอง เหล่าสมาชิกคนอื่น ๆ จึงทำได้เพียงโจมตีอยากสุดชีวิตด้วยเช่นกัน
เปลวไฟแห่งการต่อสู้กำลังแพร่กระจายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วแต่เป็นธรรมชาติ
ซูเฉินเป็นเพียงผู้จุดประกายไฟ ด้วยการแพร่กระจายของเปลวเพลิงนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติ
กระแสพลังต้นกำเนิดแผ่ขยายไปตามอากาศขณะที่การต่อสู้โหดเหี้ยมก็เริ่มเกิดขึ้น
เพราะเผ่าปักษาใช้วิชาอาร์คาน่าในการต่อสู้เป็นหลัก พวกเขาจึงพึ่งพาพลังงานในสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง ทำให้แม้ว่าผู้ต่อสู้จะมีเพียงไม่กี่ร้อยคน ทว่ากระแสพลังงานต้นกำเนิดก็ถึงกับบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าครั้งที่เผ่าคนเถื่อนสู้อย่างสุดความสามารถต่อเหล่าอสูรกายเสียอีก
ขนาดการต่อสู้ของเผ่าคนเถื่อนนั้นยิ่งใหญ่กว่า แต่ความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดของพวกเขานั้นจำกัด ดังนั้นในขณะที่ความโกลาหลที่ถูกสร้างขึ้นโดยการแพร่กระจายของการต่อสู้ ความหนาแน่นในความวุ่นวายของพวกเขาก็ยังด้อยกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้
ที่นี่ที่เผ่าปักษาหลายร้อยคนเข้ามาข้องเกี่ยวในการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ ความผันผวนของพลังต้นกำเนิดในอากาศนั้นป่าเถื่อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
กระแสพลังต้นกำเนิดขนาดมหึมาถูกสร้างขึ้นโดยการต่อสู้ของเผ่าปักษานับร้อย
ภายในกระแสพลังนี้ พลังต้นกำเนิดกำลังหลั่งไหลอย่างบ้าคลั่ง ส่วนด้านนอก พลังต้นกำเนิดพลันไหลเวียนเป็นวังวนขณะที่มันหมุนวนไปยังจุดศูนย์กลางของหลุมดำนี้
แน่นอนว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมองดูด้วยตาเปล่าและสามารถมองเห็นได้ด้วยทักษะการรับรู้พลังจิตที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่ง ‘ภาพ’ ที่พวกเขาเห็นก็จะถูกประกอบขึ้นในใจตามระดับการรับรู้ที่ต่างกัน
โดยไร้คำถาม การรับรู้ของซูเฉินในเหตุการณ์นี้นั้นชัดเจนที่สุด
ในหัวของเขา กระแสพลังนี้ดูเป็นกายภาพขณะที่มันถูกสร้างขึ้นจากสีสันที่สอดคล้องกันกับธาตุของพลังและรูปแบบที่สอดคล้องกับวิชาอาร์คาน่า แน่นอนว่าภาพรวมนั้นแสดงให้เห็นถึงการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดที่บ้าระห่ำภายในพื้นที่
มันดูเหมือนจริงและมีชีวิตชีวาราวกับว่ามันเป็นรูปวาดสีน้ำมัน
ซูเฉินไม่ได้เห็นอะไรเช่นนี้ในสงครามของเผ่าคนเถื่อน
ไม่เพียงเพราะความเข้มข้นของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าสงครามของเผ่าคนเถื่อน แต่ความสามารถของซูเฉินก็ได้เพิ่มสูงขึ้นมากมายตั้งแต่ตอนนั้นซึ่งส่งผลต่อสถานการณ์ปัจจุบันไม่น้อยทีเดียว
ในตอนนั้นเอง ซูเฉินก็เห็นหลุมดำที่เล็กยิ่งกว่าตรงใจกลางของกระแสหลากสี
แสงหลากหลายสีจำนวนเล็กน้อยจะหลบหนีออกจากกระแสพลังเป็นครั้งคราวขณะที่กระแสนั้นไหลเวียนผ่านหลุมไป
นั่นคืออะไร ?
ซูเฉินตกตะลึง
เมื่อชายหนุ่มต้องการเข้าไปมองใกล้ ๆ ก็พบว่าไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไร เขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หลุมนั้นเล็กจนกระทั่งมันแทบจะเป็นจุดมิติเดียว จึงเป็นการยากอยู่แล้วที่เขาจะมองเห็นแสงขนาดจิ๋วที่ส่องออกมาจากมัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาเพียงแค่เดินไปมา ซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะปลุกเนตรมองโลกจุลภาคของตนขึ้น
ด้วยความตื่นตกใจ เขาค้นพบว่าจุดสีดำนั้นไม่ได้ถูกขยายขึ้นเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะใช้เนตรมองโลกจุลภาคของเขาก็ตาม
นี่หมายความว่าอย่างไร ?
เนตรมองโลกจุลภาคทำให้ซูเฉินสามารถมองเห็นแทบจะทุกสสารในระดับจุลภาค แล้วทำไมเขาจึงไม่สามารถมองผ่านจุดสีดำนี้ได้ ?
แล้วถ้ามันไม่เกี่ยวกับสสารจุลภาคเลยแม้แต่น้อยล่ะ ?
เพราะการค้นพบใหม่ช่างล่อตาล่อใจ ความสนใจของเขาต่อสนามรบจึงเริ่มที่จะหลุดลอย
สองปรมาจารย์อาร์คาน่าและนักธนูเผ่าปักษาโจมตีเขา ทว่าซูเฉินนั้นเกียจคร้านเกินกว่าจะหลบหลีกและใช้เกราะที่ทรงพลังป้องกันตนเองอย่างสบาย ๆ ขณะที่เขาทำการคำนวณอย่างเดือดพล่าน
ความคิดมหาศาลเข้ามาในหัวของซูเฉินราวกับสายฟ้าฟาด
ด้วยผลึกจิตวิญญาณ ความสามารถในการคำนวณของซูเฉินก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างยิ่งยวด แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะใช้ความสามารถในการคำนวณเหล่านั้นในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาเอง
ซูเฉินสามารถได้รับตัวเลขของสมมติฐานที่แตกต่างกันมากมายขณะที่สมองของเขาทำงานหนักหน่วง
ซูเฉินสำรวจสมมติฐานที่แตกต่างกันเหล่านั้นอีกหน่อยและกำจัดพวกมันทั้งหมดกระทั่งเขาพบกับความเป็นไปได้สุดท้าย
แดนพลังสูญ !
หลุมดำนี้ดูจะไม่ได้เกิดจากพลังต้นกำเนิด อย่างไรแล้วสีดำก็ไม่ใช่สีที่แสดงถึงพลังต้นกำเนิดแต่แรก
เหตุผลที่เขาสามารถมองเห็นมันได้ไม่ใช่เพราะดวงตาของเขา แต่เป็นเพราะการรับรู้เชิงพื้นที่ของเขา
การรับรู้พลังสูญของเขานั้นเป็นเพียงระดับพื้นฐานซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาสามารถมองเห็นได้เพียงหลุมดำเล็กน้อย เพียงการเพิ่มการรับรู้พลังสูญเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถจับตาดูมันได้ละเอียดยิ่งขึ้น
นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของซูเฉิน แต่หลังจากที่ลบล้างความเป็นไปได้อื่น ๆ แล้ว ก็เหลือเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น ! …ด้วยวิธีการหักลบนี้ คำตอบของชายหนุ่มจึงเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นและมากขึ้น
เมื่อเขานึกถึงปริมาณพลังต้นกำเนิดทั้งหมดในทวีปต้นกำเนิดซึ่งเริ่มลดลงผ่านช่วงเวลานับหลายหมื่นปี จนทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เทพอสูรบรรพกาลจะรอดชีวิตและทำให้พวกมันล้วนตกสู่ห้วงนิทรา การมีอยู่ของหลุมดำนี้ก็ดูจะเป็นสมมติฐานที่น่าตกตะลึงในทันที
การต่อสู้ที่รุนแรงจะเปิดรอยแยกพลังออกทำให้พลังต้นกำเนิดหายไปอย่างถาวร !
อย่างไรแล้วภายใต้สถานการณ์ปกติ ปริมาณของพลังต้นกำเนิดในโลกใบนี้ควรจะมั่นคงขณะที่มันหมุนเวียนผ่านรูปแบบมากมายของมัน
สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งนั้นสามารถรวบรวมและปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดปริมาณมหาศาลได้
แต่ไม่ว่าพวกมันจะสามารถรวบรวมพลังงานได้มากเท่าไร ไม่ว่ามันจะเป็นเทพอสูรบรรพกาล ผู้เชี่ยวชาญเผ่ามนุษย์ หรือปรมาจารย์อาร์คาน่าเผ่าปักษา การบ่มเพาะของพวกเขาก็ไม่ควรจะส่งผลต่อปริมาณพลังงานทั้งหมดของทั่วทั้งทวีป อย่างไรแล้วพลังงานก็ถูกเปลี่ยนผ่านอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ไม่นานหลังจากนั้นพลังที่ถูกใช้ไปทั้งหมดก็จะกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม
แต่หลุมดำนี้ก็ให้สมมติฐานที่ต่างออกไป
พลังงานกำลังไหลเวียนอย่างมีทิศทาง
มันค่อย ๆ ไหลเวียนอย่างต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวและทิศทางเดียวเท่านั้น
มันเป็นเช่นนั้นหรือ ?
ซูเฉินไม่รู้ !
นี่เป็นเพียงความคิดคร่าว ๆ ที่เขานึกขึ้นได้จากการจ้องมองหลุมดำนั้น
แต่นี่ก็ไม่ใช่ความคิดไร้ตรรกะเช่นกัน ทว่ามันถูกกำหนดไว้บนพื้นฐานของสืบสวนและทฤษฎีนับไม่ถ้วนที่ซูเฉินได้พัฒนามาตลอดหลายปีนี้
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง ก็ถือว่าซูเฉินได้ค้นพบเหตุผลที่แท้จริงของการเสื่อมโทรมในชั้นบรรยากาศพลังต้นกำเนิดแห่งทวีปแห่งนี้แล้ว !!
งั้นพลังต้นกำเนิดกำลังไหลเวียนไปที่ใดกัน ?
อีกปลายด้านหนึ่งของหลุมดำคืออะไรกัน ?
หนึ่งคำตอบดูจะนำไปสู่คำถามใหม่อีกมากมาย
ซูเฉินไม่รู้เลยว่าคำตอบของคำถามเหล่านี้คืออะไร
แต่เขาก็พลันค้นพบว่าความลับที่ทวีปนี้เก็บซ่อนไว้ดูจะเพิ่มพูนขึ้น
ในตอนแรก เขามุ่งความสนใจไปยังวิธีการที่จะทำให้ระบบการบ่มเพาะของมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อระดับพลังและความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว ความสนใจของเขาก็เปลี่ยนจากแค่การเรียนรู้ระบบการบ่มเพาะของมนุษย์ไปเป็นการเปิดเผยความลับที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังโลกใบนี้
สิ่งใดกันที่อยู่ภายนอกโลกใบนี้ ?
เมล็ดพันธุ์นี้ได้ถูกฝังไว้ในจิตใจของซูเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้ ซูเฉินก็ได้รับลางสังหรณ์ว่าเส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่นั้นไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์
มันก้าวข้ามเผ่ามนุษย์และเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของโลกนี้ !
เมื่อชายหนุ่มคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้แต่หัวเราะ
ณ วินาทีนี้ เผ่าปักษายังคงโจมตีซูเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว พวกเขาเดือดดาลอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อพวกเขาเห็นท่าทางที่ห่างไกลและเหม่อลอยของชายหนุ่ม ความโกรธแค้นของพวกเขาก็ยิ่งลุกเป็นฟืนเป็นไฟ !!
เจ้าจะเหม่อลอยท่ามกลางการต่อสู้ได้ยังไง ?
นี่มันมากเกินไปไหม ?
ตู้ม !
วิชาอาร์คาน่าเปลวไฟที่ทรงพลังอย่างอัศจรรย์พวยพุ่งมายังทิศทางของซูเฉิน
ขณะที่เปลวเพลิงอาบท่วมซูเฉิน เผ่าปักษาก็สามารถมองเห็นได้เพียงรอยยิ้มพึงพอใจที่ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขา