ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 118 การเปิดขึ้นของดินแดนลับ
บทที่ 118 การเปิดขึ้นของดินแดนลับ
เป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะไม่รู้สึกอิ่มเอิบใจ
การค้นพบล่าสุดของเขาไม่เพียงให้ความคิดใหม่ ๆ ว่าอนาคตจะนำมาซึ่งสิ่งใด แต่ยังเพิ่มพูนความสามารถของเขาในการควบคุมความโกลาหลวุ่นวายของกระแสพลังต้นกำเนิดอีกด้วย
ปกติแล้วกระแสพลังต้นกำเนิดที่แปรปรวนนี้จะทำให้ความสามารถในการสู้รบของใครก็ตามในสนามรบอ่อนแอลงในหลากหลายระดับ
แต่ซูเฉินเป็นข้อยกเว้น
เขาสามารถควบคุมและได้รับกระแสแปรปรวนเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว รวมทั้งสามารถต่อต้านอิทธิพลของพวกมันได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อความเข้าใจและรอบรู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มก็ค้นพบว่าตนเองสามารถกระทั่งเข้าควบคุมพลังนั้นเองได้
ในขณะที่คนส่วนมากจะมีความแข็งแกร่งที่ลดลงราว ๆ 3 ใน 100 ส่วนระหว่างที่เกิดการแปรปรวน ซูเฉินกลับเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาถึงราว 10 ใน 100 ส่วนเลยทีเดียวจากสิ่งเดียวกันนี้
แล้วเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ?
แน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามต่อปรมาจารย์อาร์คาน่าเหล่านั้นที่จู่โจมเขา
ปรมาจารย์อาร์คาน่าทั้งสองโจมตีอย่างเต็มกำลัง ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็พักความเกลียดชังไว้และเข้าร่วมการชะล้างความน่าอับอายพวกตนออกไป
“โอ้ งั้นเจ้าก็ร่วมมือกันแล้วในที่สุดสินะ ? ดีเลย” ปรมาจารย์อาร์คาน่าทั้งสองปลดปล่อยลูกสายฟ้าและมีดบินพิโรธไปยังซูเฉิน ฝ่ายซูเฉินจึงตอบโต้โดยการฟันธรรมดาด้วยดาบศิราทองคำ
การโจมตีแสนธรรมดานี้ไม่ได้ปะปนด้วยพลังจากภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดหรือเปลวไฟสีดำของเขา ชายหนุ่มไม่ได้ใช้พลังต้นกำเนิดภายในร่างอย่างเต็มกำลังด้วยซ้ำ
แต่การฟาดฟันดาบที่เรียบง่ายนี้กลับสามารถเชือดเฉือนผ่านลูกสายฟ้าและลบล้างแรงเหวี่ยงของมีดบินพิโรธออกไป !
พลังของดาบยังคงแหวกมวลอากาศออกไปและปะทะเข้ากับหน้าอกของหนึ่งในฝ่ายตรงข้ามโดยแยกร่างของปักษาตนนั้นออกเป็นสองส่วนและยังมุ่งหน้าต่อไปยังคู่ต่อสู้คนที่สอง …ก่อนที่ดาบศิราทองคำจะเฉือนอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งและตัดปักษาตนนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย !!!
“สวยงาม !” อิงอิงตะโกนด้วยความตื่นเต้นขณะจ้องเขม็งไปยังกุยซานฉางชิงผู้รีบรุดเอามือไปปิดปากของนาง
ที่จริงแล้วเยี่ยเสิ่นหยางและอี่หนี่เก้อนั้นระแวดระวังถึงการมีอยู่ของพวกตน แต่เพราะมีปลาตัวใหญ่กว่าให้จับ พวกเขาจึงไม่คิดจะแบ่งเวลาไปใส่ใจ
หลังจากที่รับมือกับคู่ต่อสู้ทั้งสองแล้ว ซูเฉินก็พบคู่ต่อสู้อีก 4 คนที่กำลังมุ่งหน้ามายังทิศทางของเขา
ซูเฉินถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น คงจะถึงเวลาสำหรับข้าที่จะได้ฝึกการยับยั้งใจแล้วสินะ”
ขณะที่พูด เขาก็ควบคุมรัศมีของเขาและกระโดดไปมาโดยรอบต่อไปตามอำเภอใจ
นักธนูที่สมองทึบกว่าเล็กน้อยตะโกนขึ้น “ชิงเฮิ่น เจ้ากำลังดูถูกพวกเราหรือ ? จงแสดงพลังที่แท้จริงออกมา !”
แต่หนึ่งในสหายข้างกายก็ฟาดเข้าที่ด้านหลังหัวของเขา “หุบปากซะ !”
ในสนามรบนั้น การทำตัวหยิ่งยโสเทียบเท่าได้กับการยั่วยุความตาย
โชคยังดี ที่มีปักษาผู้เฉลียวฉลาดกว่าผู้ต้อนรับแนวคิดยับยั้งชั่งใจของซูเฉิน
นี่เป็นความจริงหลังจากที่พวกเขาได้เห็นว่าคนทั้งสองตรงหน้าสิ้นชีวิตลงได้อย่างไร
ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกันไปโดยปริยาย ซึ่งสำหรับนักธนูสมองทึบแล้ว… หากเขาไม่ยินดีที่จะฟัง เขาก็สามารถจู่โจมด้วยตัวเองได้ ฝ่ายตรงข้ามนั้นยิ่งกว่ายินดีที่จะสังหารเขาเสียอีก !
ซูเฉินยังคงตรวจสอบสิ่งแวดล้อมรอบกายต่อไปและค่อย ๆ จมลึกลงสู่การหยั่งรู้ของเขาและเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่ในขณะที่ซูเฉินกำลังมองการต่อสู้ตรงหน้าอย่างสบายใจ การต่อสู้ระหว่างเยี่ยเสิ่นหยางและอี่หนี่เก้อก็มาถึงยังจุดวิกฤติ
อี่หนี่เก้อเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ขณะที่เขาปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนเยี่ยเสิ่นหยางก็ต่อต้านมันได้ยากขึ้นและยากขึ้นแม้ได้รับการสนับสนุนของขนนกสวรรค์ก็ตามที
“คุณชายเยี่ยเสิ่น ทำไมท่านถึงดื้อด้านนักล่ะ ?” อี่หนี่เก้อถอนหายใจขณะที่เขาเปิดหนังสือขึ้นอีกหน้าหนึ่ง
ก้อนเมฆสีดำมืดลอยขึ้นไปบนอากาศขณะที่คลื่นแรงกดดันอันทรงพลังเริ่มทับลงบนพวกเขาจากบนท้องฟ้า
“อ๊า !” เยี่ยเสิ่นหยางเงยหน้าขึ้นและคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
เพราะเขาอยู่ภายในกระแสวนเวียน จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับเขาที่จะทนทานต่อแรงกดดันนี้ได้
เขาเริ่มทรุดลงภายใต้แรงกดดัน แต่แล้วแสงจากปีกของเขาก็เริ่มที่จะเรืองแสงจ้ายิ่งขึ้น
ในที่สุด อี่หนี่เก้อก็มองเห็นขนนกสีทองปรากฏขึ้นจากด้านหลังของเยี่ยเสิ่นหยาง
“ขนนกสวรรค์ !” อี่หนี่เก้อแผดเสียงด้วยความตื่นเต้น
มันถูกบีบเค้นให้โผล่ออกมาในที่สุด !!
ดวงตาของอี่หนี่เก้อส่องประกายอย่างละโมบเมื่อเขายื่นมือออกมา มือสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้าและกำลังยื่นออกไปคว้าขนนกนั้นไว้
เยี่ยเสิ่นหยางคำรามเสียงดังลั่นขณะที่เขายิงธนู 3 ดอกออกไปสู่ท้องฟ้าในคราวเดียว พวกมันหวีดร้องไปยังคู่ต่อสู้ด้วยแรงทำลายล้างที่น่าเหลือเชื่อ รัศมีครอบงำที่รุนแรงของลูกศรเหล่านั้นแพร่กระจายไปทุกทิศทางและทิ้งบาดแผลสาหัสไว้ให้กับปรมาจารย์อาร์คาน่าโดยรอบ หนึ่งในพวกเขากระทั่งสิ้นลมหายใจลงตรงนั้น
แต่อี่หนี่เก้อยังคงเปิดหนังสือของเขาต่อไปอย่างเมินเฉย มือสีดำสนิทของเขาเหมือนไม่คิดที่จะหยุดและยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่รีรอ
นี่คือพลังที่แท้จริงของอี่หนี่เก้อ ! …เพื่อขนนกสวรรค์ ผู้เชี่ยวชาญคนนี้เต็มใจที่จะใช่พลังที่เขากักเก็บไว้
วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 อย่าง ‘หัตถ์ปีศาจทมิฬ’ เป็นวิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิดของเขา ดังนั้นเวลาใช้มันจึงรวดเร็วยิ่ง ส่งผลให้การโจมตีนี้เปลี่ยนจากการโจมตีครั้งเดียวเป็นทักษะส่งผลโดยรอบ ทุกคนสามารถมองเห็นมือสีดำมากมายมุ่งหน้าไปยังทุกทิศทาง ทำให้ผู้สังเกตการณ์การปะทะเหล่านั้นรู้สึกได้ถึงจุดจบที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียด้วยซ้ำ
เยี่ยเสิ่นหยางดูจะคิดได้ว่าศึกนี้ได้มาถึงจุดวิกฤติแล้วเช่นกัน เขาคำรามเสียงลั่นขณะที่ปลดปล่อยธนูที่ทรงพลังที่สุดของตนออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ลูกธนูสีทองสว่างถูกยิงผ่านฟากฟ้าไปยังหัตถ์ปีศาจทมิฬโดยแผ่ซ่านรัศมีที่ทรงพลังของการล้างผลาญ กระทั่งซูเฉินยังต้องถอยทัพหนี
แต่การกระทำนี้ก็สร้างความซับซ้อนอย่างคาดไม่ถึงให้แก่ซูเฉิน …ปรมจารย์อาร์าน่ากลุ่มใหญ่ฉวยใช้โอกาสนี้ในการเข้าจู่โจมเขา !
ซูเฉินกระแอม “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่มีกำลังเสริมจริง ๆ หรือ ?
ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือ แล้วสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ยอมจำนนต่อเขาก่อนหน้านี้ก็พุ่งตัวออกไปข้างหน้าในจังหวะนั้นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ซูเฉินยังนำเอาปรสิตจอมตะกละออกมาอีกด้วย
เดิมทีโลกใบนี้นั้นไม่มีปรสิตอาศัยอยู่ ปรสิตจอมตะกละนี้เป็นชนิดแรก
ตัว ‘ปรสิต’ นี้มีต้นกำเนิดมาจากแมลงที่ใช้มนุษย์เป็นพาหะ ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นการผสมผสานกันระหว่างแมลงและพาหะเข้าด้วยกัน
ปรสิตนี้อาศัยอยู่ด้วยการดูดกลืนพลังต้นกำเนิดเพื่อเอาชีวิตรอด แต่มันสามารถถูกใช้งานได้มากกว่าแค่วางอุบายสำหรับใครบางคน ที่จริงแล้ว ผลลัพธ์สุดยอดของมันจะสำแดงออกมาตั้งแต่เกิด
ระหว่างศึกโกลาหลครั้งก่อนหน้า ปรสิตนั่นได้กลืนกินเผ่าปักษาจำนวนหนึ่งเข้าไป เมื่อประกอบกับจือฮัวนู๋ระดับ 7 เข้าไปในรายการอาหารของมันแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าปรสิตนั้นได้กินสิ่งมีชีวิตที่มีพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังเข้าไปจำนวนมาก ทำให้มันสามารถเจริญวัยและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ
ปรสิตเปิดปากของมันออกกว้างขณะที่ราว ๆ 10 วิชาอาร์คาน่าพุ่งตรงเข้ามาในทิศทางของมันและดื่มกินพวกมันเข้าไปจนหมดสิ้น เผ่าปักษาผู้ได้เห็นสิ่งนี้ต่างรู้สึกถึงอวัยวะภายในที่สั่นสะท้านของตัวเอง
ในขณะนั้น แนวลำแสงหนึ่งพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าในทันใด
แนวแสงนั้นเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นทำให้มันแตกออกและทิ้งรอยหลุมขนาดใหญ่ไว้เบื้องล่าง
ปราสาทขนาดมหึมากำลังเคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า
เผ่าปักษาทั้งหมดล้วนหยุดการต่อสู้โดยสัญชาตญาณและหันมองไปยังปราสาทนั้น
“มันปรากฏขึ้นแล้ว ! คลังสมบัติลับของอวี้ชิงหลานที่แท้จริง !” ชาวเผ่าปักษาตนหนึ่งส่งเสียงอุทาน
เบื้องบนปราสาทนั้น แสงสีขาวสว่างจ้าปิดบังเส้นใยสีทองบางเฉียบที่สะท้อนกับขนนกสวรรค์
“นั่นขนนกสวรรค์อีกเส้น !” อี่หนี่เก้อแผดเสียงด้วยความประหลาดใจขณะที่เขาจ้องมองซูเฉินด้วยความสงสัย
ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ชิงเฮิ่นกล่าวไว้ !
“ข้าบอกเจ้าแล้ว มันจะรักษาเวลาให้เราได้มากมายหากเจ้านำมันออกมาแต่แรก” ซูเฉินหัวเราะ
เผ่าปักษาต่างก็เดือดดาล อย่างไรแล้วเขาเป็นผู้ที่ปลุกปั่นสงครามนี้แต่แรกเริ่ม ไม่มีผู้ใดต้องการได้ยินคำล้อเลียนเหล่านั้นจากปากของชายหนุ่ม
ทว่าซูเฉินไม่ได้วางแผนที่จะยั่วยุแค่สถานการณ์ในตอนนั้น แต่ยังรวมถึงตอนนี้ด้วย
ขณะที่พูด เขาก็บินขึ้นไปบนอากาศและมุ่งหน้าไปยังปราสาทหลังนั้น
ทุกคนล้วนตกตะลึงอย่างหนักเมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้นและรีบรุดตามเขาไปโดยปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าออกไปพร้อม ๆ กัน
แต่วิชาอาร์คาน่าเหล่านี้ไม่ได้ถูกเล็งไปยังซูเฉิน
พวกมันส่วนมากถูกตั้งเป้าไปยังคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ของพวกเขา
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ส่วนมากเป็นเพื่อการปลดปล่อยความเกลียดชังและโทสะที่ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา แต่การต่อสู้ในตอนนี้นั้นกำเนิดจากเหตุผลที่เรียบง่ายยิ่งกว่านั้นมาก… ผลกำไร !
ทุกคนล้วนต้องการที่จะเข้าไปและไม่ปล่อยให้ผู้อื่นได้เข้าไปด้วย การต่อสู้นี้มาถึงจุดวิกฤติที่แท้จริงแล้ว !!
ณ จุดนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยั้งมืออีกต่อไป มนุษย์และเผ่าปักษาทั้งหมดเริ่มปลดปล่อยวิชาต่าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเกรี้ยวกราดและสังหารทุกคนที่มาจากฝ่ายอื่นเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะได้เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าไปในปราสาทและกอบโกยสมบัติทั้งหมด
การต่อสู้ร้อนระอุขึ้นในพริบตา และเจตสังหารของทุกคนล้วนทะยานขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์ รวมถึงหลี่ต้าวหง เยี่ยเสิ่นหยาง ตงชิงหมิง และอี่หนี่เก้อ ทุกฝ่ายได้จ่ายราคามหาศาลไปแล้ว
ในตอนนี้ ซึ่งด้วยราคาที่ได้จ่ายไปทั้งหมด มันก็ทำให้ไม่มีใครต้องการจะถอยหลังอีกต่อไป !!
ผู้คนเบื้องล่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะที่เหล่าผู้นำพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน
ปีกของเยี่ยเสิ่นหยางแผ่กว้างออกขณะที่เขาพุ่งตรงไปยังปราสาท “อย่าแม้แต่คิดที่จะพยายามเอาสมบัติเหล่านั้นไปจากผู้เป็นเจ้าของที่กำหนดโดยเทพเจ้า !”
อี่หนี่เก้อตอบ “เนื่องจากพวกเจ้าใจบุญนัก งั้นเจ้าก็ควรจะยึดมาตรฐานนั้นและเลิกฆ่าฟันพวกเราเพื่อผลประโยชน์ทางโลกเหล่านี้”
ขณะที่พูด ร่างของเขาก็แวบไปข้างหน้า ซึ่งแม้ว่าวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 นี้จะไม่ได้ท้าทายสวรรค์เท่ากับวิชาเคลื่อนกายของซูเฉิน มันก็ยังย่นระยะเขาไปได้มหาศาลทีเดียว
หลี่ต้าวหงกระแอมและหยิบเอาสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมา เขาลูบมันอย่างเบามือ ก่อนที่วินาทีต่อมา ร่างของเขาจะกลับกลายเป็นแสงขมุกขมัวขณะที่พุ่งออกไปด้านหน้า ดู ๆ แล้วไม่ช้าไปกว่าเยี่ยเสิ่นหยางเลยแม้แต่น้อย !
ตงชิงหมิง คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ไม่มีวิชาอะไรที่จะสามารถใช้เพื่อเสริมความรวดเร็วของเขาได้
แต่เพียงเพราะเขาไม่รวดเร็วไม่ได้แปลว่าเขาไม่สามารถชะลอคนอื่น ๆ ลงได้
เขาดึงเอาหุ่นเชิดออกมาและตะโกน “ปิดผนึกสมบัติเหล่านั้นให้ข้า !”
หุ่นเชิดนั้นเอียงหัวไปด้านหลังและเห่าหอน ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าผ่าฟาดลงมาผ่านอากาศขณะที่มันปิดผนึกทางเข้าสู่ตัวปราสาทไว้
เมื่อซูเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็หยุดนิ่งลง หัตถ์ฝันร้ายทมิฬของอี่หนี่เก้อเข้าปะทะกับผนึกสายฟ้าแต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนมันได้เลยแม้แต่น้อย
“ไอ้เด็กเหลือขอ เก่งกาจไม่เบานะ !” อี่หนี่เก้อตะโกนออกมาขณะที่จ้องเขม็งไปยังตงชิงหมิงด้วยความประหลาดใจ
ชายคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่เขามีหุ่นเชิดแปลกประหลาดมากมายเก็บไว้ แต่ละตัวนั้นมีตำหนิของตนเองแต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งเฉพาะตัวอีกด้วย
หุ่นเชิดตัวนี้จะต้องเป็นหุ่นเชิดที่มีความสามารถในการปิดผนึกที่ทรงพลังอย่างแน่นอน !
ตงชิงหมิงหัวเราะขณะที่เขาบินตรงไปอย่างเกียจคร้าน “โดยไร้การอนุญาตจากข้า ไม่มีใครจะสามารถเข้าไปได้ !”
“แน่ใจหรือ ?” ซูเฉินเถียงโต้ “ข้าไม่ได้โกรธแค้นอะไรเจ้า และข้าก็ไม่อยากจะทำให้เจ้าต้องอับอาย แต่…… ข้าคิดว่าข้าเข้าไปได้นะ”
ตงชิงหมิงหัวเราะ “ถ้าเจ้าทำได้ งั้นเจ้าก็เชิญทำตามใจเลย !”
ซูเฉินถอนหายใจ “ข้าไม่เพียงสามารถเข้าไปได้ แต่ยังสามารถพาคนอื่น ๆ เข้าไปกับข้าได้ด้วย”
ขณะที่พูด เขาก็โบกแขนเสื้อขึ้นในอากาศ พลันปรสิตจอมตะกละและสิ่งมีชีวิตพลังสูญรอบกายพากันพุ่งตรงผ่านผนึกสายฟ้าเข้าไป
อี่หนี่เก้อ เยี่ยเสิ่นหยาง และตงชิงหมิงมองดูขณะที่เขาเข้าไป
เขาเข้าไปแล้ว !
เขาได้เข้าไปแล้ว !
เขาพึ่งจะเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลย !
เขาทำมันได้อย่างไรกัน ?
ทุกคนต่างตกตะลึง
กระทั่งตงชิงหมิงก็ยังตะลึงงันไป “เป็นไป… ได้อย่างไร ? ผนึกสายฟ้าของข้าปิดผนึกพื้นที่นั้นด้วยตัวเองโดยตรง ไม่ควรจะมีวิชาใดพาเขาเข้าไปได้สิ แล้วเข้าสามารถทำได้อย่างไรกัน ?”
ดวงตาของอี่หนี่เก้อลุกประกายด้วยความเข้าใจขณะที่เขาพูดขึ้น “ข้าดูถูกเจ้าเกินไป”
เขารีบร้อนเปิดหนังสือหอคอยนิลกาฬ
แสงระยิบระยับเข้าห้อมล้อมขณะที่ร่างของเขากลับกลายเป็นลำแสงและพุ่งผ่านผนึกไป
ตงชิงหมิงถูกทิ้งไว้อย่างงงงวยอีกครั้ง
ขนนกสวรรค์ของเยี่ยเสิ่นหยางกะพริบหนึ่งครั้ง ทำให้เขาสามารถเคลื่อนกายเข้าไปข้างในได้เช่นกัน
“ฉิบหายเอ๊ย !” ตงชิงหมิงคำราม
เขามองไปยังหลี่ต้าวหง
หลี่ต้าวหงยักไหล่ “ข้าทำลายผนึกของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าแค่ตามเจ้าไปก็ได้ นี่ พวกเขาเข้าไปได้แล้วนะ เจ้าคงไม่คิดจะปิดผนึกมันไว้อย่างนี้หรอกใช่ไหม ?”
ตงชิงหมิงตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะสบถออกมา “นี่มันบัดซบสิ้นดี !!”
ขณะที่พูด เขาก็ยกเลิกผนึกนั่นและพุ่งตรงไปยังปราสาทด้วยตัวเอง
หลี่ต้าวหงหัวเราะก่อนที่ท่าทีของเขาจะนิ่งราวกับหิน “นักรบสละชีพ ตามข้ามา !”