ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 120 กำลังเสริม
บทที่ 120 กำลังเสริม
“โอ๊ะโอ ดูเหมือนข้าจะถูกพบเข้าซะแล้ว” ซูเฉินหัวเราะด้วยความขวยเขินขณะที่เขาลูบด้านหลังหัวไปมา
เยี่ยเสิ่นหยางและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง
“มนุษย์ ? พวกเจ้าบอกว่าเขาเป็นมนุษย์หรือ ?” เยี่ยเสิ่นหยางถามหลี่ต้าวหง
“ใช่ เขาเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน เขามากับกลุ่มทูตของตระกูลจู” หลี่ต้าวหงกล่าว
“เจ้าแน่ใจนะว่าระบุตัวเขาไม่ผิด ?” เยี่ยเสิ่นหยางกล่าว “เขาเป็นเผ่าปักษาผู้สามารถแทรกซึมเข้าไปในหอคอยแห่งความโกลาหลอย่างแน่นอน”
แม้ว่าซูเฉินจะปลอมตัวเป็นเผ่าปักษานามว่าเหอหยางในตอนที่แฝงตัวเข้าไปในหอคอยแห่งความโกลาหล รูปร่างจริงของเขาก็ถูกเปิดเผยออกภายใต้อิทธิพลของแสงสัจธรรม ดังนั้นแล้วใบหน้าของเขาจึงได้เป็นที่รู้จักกันในหมู่เผ่าปักษาระดับสูงทุกคน กระทั่งมือแห่งโชคชะตาก็ค้นพบเรื่องนี้
“เป็นเขาแน่ ๆ ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ถามเขาคนนู้นดูสิ” หลี่ต้าวหงยื่นคางไปทางตงชิงหมิง
ตงชิงหมิงกล่าวอย่างเดือดดาล “เป็นมนุษย์คนนั้นแน่ ๆ มิน่าล่ะนายชิงเฮิ่นคนนี้จึงรู้ถึงแค้นของข้าต่อหลี่ต้าวหงและบอกข้าเกี่ยวกับสิ่งนี้ เป็นเพราะเขาคือผู้เริ่มความขัดแย้งตั้งแต่แรก”
อี่หนี่เก้อกล่าวอย่างคลุมเครือ “งั้นชายคนนี้ก็คือสายลับเผ่ามนุษย์หรือ ?”
เผ่าปักษาทุกคนล้วนจ้องเขม็งไปยังซูเฉินด้วยความโกรธแค้น
กระทั่งหลี่ต้าวหงก็ยังจ้องมองซููเฉินด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรเช่นกัน
ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของซูเฉินจะเป็นอย่างไร หลี่ต้าวหงก็ไม่อาจประทับใจในตัวเขาได้
เยี่ยเสิ่นหยางตั้งใจจ้องเขม็งไปยังมนุษย์ตรงหน้า “งั้นเจ้าก็เป็นมนุษย์ บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ?”
ยาได้เหือดหายไปแล้ว คนของพวกเขาทั้งหมดถูกฆ่าตาย และทุกคนต่างก็ได้สติกลับคืนมา ในตอนนี้ซูเฉินกลายเป็นเป้าความสนใจของทุก ๆ คน และพวกเขาก็เริ่มที่จะซักไซ้ชายหนุ่มแทน
ซูเฉินดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจ “ก็ได้ ก็ได้ ในเมื่อข้าถูกจับได้แล้ว คงจะน่าอับอายไม่น้อยหากข้าจะยังแสดงละครต่อไป ถ้าพวกเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใคร……”
เขาไม่ได้ตอบคำถามตรง ๆ แต่เขากลับหันไปยังหลี่ต้าวหงและยิ้มอย่างมีนัยยะแทน “หลี่ต้าวหง เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ? ข้ารู้เพียงแค่ว่าเจ้าได้ทำร้ายคนของข้าไปจำนวนมาก ข้า… ข้า…” หลี่ต้าวหงเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก
เขาจ้องมองซูเฉินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “ตระกูลจู… ตระกูลจู… เจ้า หรือว่าเจ้าจะเป็น…!”
“เขาเป็นใคร ?” เยี่ยเสิ่นหยางและอี่หนี่เก้อถามขึ้นพร้อมกัน
หลี่ต้าวหงจับจ้องเขาด้วยความตกตะลึง ลางสังหรณ์หนึ่งพลันแวบเข้ามาในใจของเขาเมื่อความเข้าใจบังเกิดขึ้น “ซูเฉิน ! ให้ตายเถอะ เจ้าคือซูเฉิน !”
ในที่สุดเขาก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่จะพูดจากับเขาเช่นนี้ และเพียงซูเฉินเท่านั้นที่สามารถสร้างความโกลาหลเช่นนี้ขึ้นได้ !
หลี่ต้าวหงเก็บความลับเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเขาไว้เสมอมา
เขารู้จักซูเฉินและรู้ว่าซูเฉินก็เคยเผชิญหน้ากับขอทานผู้ ‘ประทานพรให้แก่เขา’ เช่นกัน ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องการจะพบเจอกับซูเฉินมาโดยตลอด
เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับซูเฉินภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ !
“ซูเฉิน ?” เยี่ยเสิ่นหยาง ตงชิงหมิง และอี่หนี่เก้อต่างก็อุทานออกมา
ชื่อเสียงของซูเฉินในปัจจุบันนั้นไม่ธรรมดาเลย เขาคือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้สร้างความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะบ่มเพาะตนไปถึงด่านทะลวงลมปราณโดยไร้ซึ่งสายเลือดสำเร็จ นี่เป็นพัฒนาการของด่านพลังถึง 3 ด่านเต็ม ๆ!
พวกเขาไม่สังเกตถึงบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
กระทั่งมีเผ่าปักษาบางได้รับการว่าจ้างลับในการพยายามลอบฆ่าซูเฉินไม่ว่าจะราคาเท่าไรก็ตาม
การสังหารซูเฉินจะทำให้เส้นทางเลื่องชื่อของเผ่ามนุษย์จบสิ้นลง
ความคิดที่คล้ายคลึงกันแพร่กระจายไปในหมู่ชนชั้นสูงแห่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย
อย่างที่ฉือไคฮวงกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน ตระกูลสายเลือดชนชั้นสูงไม่ชอบการกระทำของซูเฉินเป็นอย่างมาก
แต่การกระทำของพวกเขานั้นถูกเก็บซ่อนไว้ยิ่งกว่า อย่างไรแล้วบางการกระทำก็ไม่อาจถูกเปิดเผยได้
หลี่ต้าวหงไม่เคยคาดคิดว่าผู้ที่วางกลอุบายต่อเขาจะเป็นซูเฉิน
ซูเฉินเข้ามาในเขตแดนของเผ่าปักษาจริง ๆ!
เยี่ยเสิ่นหยางตะลึงงันไป
เขาไม่พบร่องรอยของการปฏิเสธอยู่ในท่าทางของซูเฉินแม้แต่น้อย และรู้ว่าหลี่ต้าวหงกำลังพูดความจริง วินาทีต่อมาความคิดหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในใจเขา “งั้นเจ้าก็คือซูเฉิน ผู้นำของอาณาจักรข้ามอบคำสั่งให้ข้ามาสังหารเจ้าให้ได้ไม่ว่าอย่างไร อี่หนี่เก้อ ตราบใดที่เจ้ายินดีที่จะช่วยข้าจัดการชายคนนี้ ข้าก็ยินดีที่จะสละสมบัติใดก็ตามภายในที่แห่งนี้ ข้ายินดีกระทั่งจะมองข้ามทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ด้วย !”
อี่หนี่เก้อหัวเราะ “นั่นฟังดูดีทีเดียว”
เยี่ยเสิ่นหยางเฉียบคมทีเดียว เขารู้ว่าหากเขาไม่ได้ตีสนิทกับทุกคนที่นี่ การรับมือกับชายผู้แน่วแน่และจอมเล่ห์เหลี่ยมคนนี้คงจะเป็นเรื่องยากไม่น้อย ดังนั้นแล้วเขาจึงเคลื่อนไหวและพยายามผูกมิตรกับเผ่าปักษาทั้งหมดที่นี่ในทันที
หลังจากผูกมิตรกับอี่หนี่เก้อได้แล้ว เขาก็หันไปยังตงชิงหมิง “ตงชิงหมิง เจ้าควรรู้ว่าซูเฉินอันตรายต่อพวกเราชาวปักษาขนาดไหน การปลิดชีพเขาสำคัญที่สุด ตราบใดที่เจ้ายินดีที่จะช่วย ข้าก็ยินดีที่จะมอบหนึ่งในสมบัติภายในอารามให้”
ตงชิงหมิงพยักหน้า “ก็ได้ !”
อย่างไรแล้วตงชิงหมิงก็เป็นชาวปักษาโดยธรรมชาติไม่ว่าจะมองสถานการณ์นี้อย่างไรก็ตาม
ในฐานะชาวปักษา เขารู้สึกถึงความจงรักภักดีต่อเผ่าปักษาของตน ไม่เช่นนั้นเยี่ยเสิ่นหยางเพียงต้องกลับไปแจ้งเผ่าปักษาคนอื่น ๆ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเพื่อทำให้พวกเขาไม่ต้องการไว้ชีวิตเขาอีกต่อไปก็เท่านั้น
ท้ายที่สุด เยี่ยเสิ่นหยางก็หันหน้าไปยังหลี่ต้าวหง
หลี่ต้าวหงหัวเราะ “ข้าเข้าใจ มีสมบัติ 3 ชิ้นอยู่ในโถงนี้ เนื่องจากพี่เยี่ยเสิ่นยินดีที่จะสละสมบัติในส่วนของเขา ข้าก็จะไม่อ่อนน้อมอีกต่อไป พวกเราจะแบ่งสมบัติกันและนำกลับไปคนละหนึ่งชิ้น !”
อี่หนี่เก้อหัวเราะ “ซูเฉิน ช่างเจ้าเล่ห์นักนะ แต่เจ้าผิดพลาดไปอย่างหนึ่งนั่นคือเจ้าไม่สามารถเก็บตัวตนของตัวเองไว้เป็นความลับได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจสามารถออกไปจากที่นี่ตอนที่ยังมีลมหายใจก็ได้”
ซูเฉินถอนหายใจ “เจ้าพูดถูก แต่โชคไม่ดีที่ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าบางคนอาจจะรอดออกไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องขอให้พวกเจ้าทั้งหมดตายซะ”
ด้วยจำนวนศัตรูในตอนนี้แล้ว ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจในความมุทะลุของซูเฉินและนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง
ทุกคนอาจเข้าจู่โจมทันทีหากซูเฉินไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้พูดมันออกมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มเกิดความลังเล
ใครจะรู้ว่าซูเฉินเตรียมกลอุบายอะไรไว้ให้พวกเขาบ้าง ?
ถ้าพวกเขาเป็นผู้นำไปข้างหน้าแต่ถูกใช้เป็นโล่ให้คนอื่นแทนล่ะ ?
แม้ว่าทุกคนที่นี่จะต้องการจัดการกับซูเฉิน พวกเขาก็ไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวกันทั้งหมด และพวกเขายังสนใจผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาเลือกที่จะระมัดระวังถึงเพียงนี้
หลี่ต้าวหงกล่าวอย่างคลุมเครือ “ซูเฉิน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนไว้ในคราวนี้”
แม้ว่าเขาจะบอกว่าตัวเองไม่เชื่อออกไป แต่เขาเพียงพยายามให้ซูเฉินแสดงทักษะที่ว่าก็เท่านั้น
แต่ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปยังท้องฟ้าและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เจ้าอาจไม่เชื่อข้า แต่ข้าได้มีส่วนร่วมและเตรียมตัวสำหรับวินาทีนี้มาเนิ่นนานแล้วละ”
เยี่ยเสิ่นหยางและคนอื่น ๆ ต่างคำรามในลำคอ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อซูเฉิน
ตงชิงหมิงกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเขามีแผนสำรองอะไรหรอก เขาคงแค่พยายามจะหลอกให้พวกเรากลัวด้วยความองอาจจอมปลอมเท่านั้น”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นทำไมเจ้าไม่มาเป็นคนแรกล่ะ ?” อี่หนี่เก้อหัวเราะ
ชายชราคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ แม้ว่าเขาจะเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีปกติแต่อย่างใด เนื่องจากตงชิงหมิงดูจะไม่เชื่อซูเฉิน งั้นทำไมไม่ให้เขาเป็นตัวทดลองกับซูเฉินก่อนเสียเลยล่ะ ?
โชคไม่ดีนักที่แม้ว่าตงชิงหมิงนี่จะเป็นคนหุนหันพลันแล่นแต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขาหัวเราะ “ข้าอ่อนแอที่สุดในนี้ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอกถ้าข้าเป็นคนลอง แต่ถ้าเจ้าร่วมมือด้วย นี่จะกลายเป็นศึกแห่งปราชญ์ นั่นจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจและได้ความรู้มากกว่าหรือ ?”
เยี่ยเสิ่นหยางพูดสนับสนุน “ใช่แล้ว ศึกแห่งปราชญ์น่าสนใจกว่าเยอะ”
หลี่ต้าวหงเสริม “ข้าว่าฟังดูดีทีเดียวนะ”
ตอนนี้ทั้ง 3 คนต่างก็รุมอี่หนี่เก้อ
องค์กรมือแห่งโชคชะตาถูกรังเกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาคงจะถูกจู่โจมทันทีที่ซูเฉินถูกกำจัดไป
อี่หนี่เก้อไม่สนใจ เขาขบขัน “พวกเจ้าวางแผนจะบังคับให้ข้าเข้าข้างคุณชายซูหรือไง ?”
เยี่ยเสิ่นหยางเผยยิ้ม “พวกเราแค่กำลังขอให้เจ้าเคลื่อนไหวแทนพวกเรา เจ้ายิ่งกว่าอิสระที่จะตีความมันอย่างไรก็ได้ หรือที่จริงแล้วเจ้าเก่งอยู่แค่อย่างเดียว และทักษะของเจ้าก็ยังอ่อนแอกว่าคนต่างแดนอีกงั้นหรือ ?”
อี่หนี่เก้อตอบ “ดูเหมือนว่าเจ้าคิดจะแทงข้างหลังข้าตอนที่ข้าสนใจอยู่ที่การต่อสู้ตรงหน้าข้าสินะ”
คนเหล่านั้นต่างก็ปากดีทั้งสิ้น ไม่มีใครยอมให้อีกฝ่ายได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
หลี่ต้าวหงหน้าบูดบึ้งและกำลังจะพูดขึ้นก่อนจะได้ยินซูเฉินเอ่ย “พวกเจ้าเถียงกันเสร็จหรือยัง ? ข้ายังรอพวกเจ้าโจมตีข้าอยู่นะ”
ทุกคนต่างตะลึงงัน
ในตอนแรกหลี่ต้าวหงต้องการเตือนทุกคนไม่ให้ตกหลุมพรางของซูเฉิน แต่ซูเฉินกลับเป็นผู้ดึงดูดความสนใจมายังตนเองเสียอย่างนั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน
ซูเฉินมีแผนสำรองบางอย่างจริง ๆ หรือ ?
เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ความสงสัยบังเกิดขึ้นในหัวใจของเขา
ยิ่งซูเฉินดูรีบร้อนมากเท่าไร เขาก็มีแนวโน้มที่จะโจมตีน้อยลงไปด้วย
แต่เขาไม่เพียงแค่เกรงกลัวต่อคำพูดของซูเฉินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะกลายเป็นตัวตลกอย่างแท้จริง
ทุกคนต่างมองหน้ากันและกันก่อนที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าบาทหลวงของเยี่ยเสิ่นหยาง รองหัวหน้าของอี่หนี่เก้อ ปรมาจารย์อาร์คาน่าระกับ 8 ของตงชิงหมิง และผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินของหลี่ต้าวหงเริ่มออกเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเขาเห็นดังนั้น ซูเฉินก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ความตื่นตัวของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างทันควันเมื่อพวกเขาเห็นการถอนหายใจและท่าทางของซูเฉิน
เยี่ยเสิ่นหยางเป็นคนแรกที่ตะโกนคำเตือนออกมา “ระวัง !”
ทั้งหมดเข้าโจมตีออกมาในเวลาเดียวกัน
แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของอี่หนี่เก้อและท่วมทับเขาไป แรงเหวี่ยงของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก อี่หนี่เก้อชะงักไป คู่ต่อสู้หน้าใหม่คนนี้ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไร ? เขาแทบจะใช้เกราะป้องกันซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิดของเขาได้ไม่ทันเมื่อจังหวะก่อนหน้านี้ ต่อจากนั้นแทบจะในทันที ลำแสงคมกริบก็ฟาดเข้าที่แผ่นหลังของเขาและระเบิดออก ทำให้แสงสว่างไร้ขอบเขตฉายวาบไปทั่วทุกทิศทาง มือข้างหนึ่งดูเหมือนจะล้วงเข้าไปในเกราะป้องกันของอี่หนี่เก้อและปะทะกับหน้าอกของเขาเข้าอย่างจัง
ในขณะเดียวกัน ร่างของอี่หนี่เก้อก็จางหายไปในทันทีและปรากฏขึ้นอีกครั้งในระยะที่ไกลออกไป
แม้ว่าเขาจะสามารถหลบหลีกการโจมตีถึงชีวิตนี้ไปได้ สีหน้าของเขาก็ยังซีดเผือดลง การโจมตีที่เขาพึ่งจะหลบหนีมาได้นั้นไม่ได้ไร้ผลเสียทีเดียวและได้สร้างบาดแผลให้แก่เขา
บุคคลหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ณ จุดที่อี่หนี่เก้อหายตัวไป เส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพลน แต่สีหน้าท่าทางของเขานั้นโหดร้ายทีเดียว เขายืนอยู่ตรงนั้นและส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับอี่หนี่เก้อ
เนื่องจากการโจมตีครั้งแรกของเขาไม่เข้าเป้า เขาจึงไม่ได้โจมตีอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเขาไม่คาดคิดว่าจะสามารถทำอะไรได้มากมายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“เจ้าเป็นใคร ?” อี่หนี่เก้อตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด
“มนุษย์จูเฉินฮ่วน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จูเฉินฮ่วนโค้งคำนับอี่หนี่เก้อ “ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะลอบโจมตีท่าน แม้ว่าข้าจะใช้กำลังเพียง 7 ใน 10 ส่วน ทว่าข้าก็รู้สึกอับอายอยู่ดี ข้าหวังว่าท่านจะให้อภัยแก่ข้า”