ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 121 เสริมทัพ
บทที่ 121 เสริมทัพ
เยี่ยเสิ่นหยางไม่ได้นั่งนิ่ง ๆ และมองดูการโจมตีของอี่หนี่เก้ออยู่เฉย ๆ
อันที่จริงแล้วเขาตรวจพบใครบางคนก่อนที่อี่หนี่เก้อจะรู้เสียอีก ความสามารถในการรับรู้อันแรงกล้าที่ได้รับมาจากขนนกสวรรค์นั้นทำให้ผู้อื่นสามารถซุ่มโจมตีเขาได้ยากยิ่งนัก
แต่ถึงกระนั้น การที่เขาสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของใครบางคนก็ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเสิ่นหยางจะสามารถขัดขวางการโจมตีของคนเหล่านั้นได้
ไม่ช้าเยี่ยเสิ่นหยางก็รู้ตัวว่าเขาจะต้องต้านทานการโจมตีของศัตรูได้อย่างยากลำบาก
และนั่นก็เพราะปักษาหนุ่มกำลังถูกโจมตีจากคนถึงสองคนในเวลาเดียวกัน และทั้งสองคนที่ว่านี้ก็เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เยี่ยเสิ่นหยางสามารถหลบการโจมตีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรับแรงปะทะจากการโจมตีของอีกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เขาจะเลือกรับการโจมตีไหนดีล่ะ ?
เยี่ยเสิ่นหยางไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้
ปักษาหนุ่มไม่เคยพบทั้งสองคนนี้มาก่อน เขาจึงไม่สามารถระบุตัวตน ความแข็งแกร่ง หรือทักษะของฝ่ายตรงข้ามได้เลย
เยี่ยเสิ่นหยางไม่รู้ว่าเขาควรรับมือกับใคร และไม่มีเวลาที่จำคิดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่เพียงชั่วอึดใจ ปักษาหนุ่มก็กระโดดหลบไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว
แต่การที่หลบไปเช่นนั้น ทำให้เขาเข้าขวางทางการโจมตีจากอีกคนหนึ่งโดยตรงทันที
แกร็ก !
บางอย่างพุ่งเข้าไปในร่างของเยี่ยเสิ่นหยางจนเกิดเสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของปักษาหนุ่ม
เขาไม่มีความสามารถในการเคลื่อนกายอย่างอี่หนี่เก้อ จึงทำได้เพียงใช้ความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลังของขนนกสวรรค์เท่านั้น
แม้แต่พลังอันศักดิ์สิทธิ์ของขนนกสวรรค์ก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีนั้นได้เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าการโจมตีดังกล่าวจะดูค่อนข้างผิวเผิน ทว่าเยี่ยเสิ่นหยางกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจนและชาจนไร้ความรู้สึกจากบาดแผลของเขา
มันคือยาพิษ !
เยี่ยเสิ่นหยางเหวี่ยงแขนทั้งสองไปในอากาศด้วยความเดือดดาลพร้อมกับสาปส่งอีกฝ่าย “ไร้ยางอายนัก ! เป็นชายประเภทไหนกันถึงได้ซุ่มโจมตีผู้อื่นด้วยพิษ”
เสียงของหญิงสาวตอบกลับมาทันควัน “ข้าไม่ได้เป็นชายเสียหน่อย จะต้องรักษาเกียรติไปทำไมกัน”
หญิงท่าทางห้าวหาญและน่าเกรงขามปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเยี่ยเสิ่นหยาง นางกวัดแกว่งหอกเงินเล่มยาวที่เปล่งรังสีอันน่าทึ่งไปมา นางคือฉู่อิงหว่านนั่นเอง
ตอนนี้พลังของนางอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว
เคียงข้างนางยังมีฉือไคฮวงยืนอยู่ด้วย
หลี่ต้าวหงกับตงชิงหมิงก็พลอยโดนไปด้วย
แรงจากการโจมตีนั้นส่งร่างของทั้งสองกระเด็นออกไป หลี่ต้าวหงกระอักเลือดออกมาขณะจ้องเขม็งไปที่ผู้โจมตี “หลี่ฉงชานแห่งกองทัพกำลังสวรรค์อย่างนั้นหรือ ?”
หลี่ฉงชานตอบกลับพร้อมกับเผยยิ้มเล็กน้อย “นั่นมันอดีต ตอนนี้ข้าเป็นแม่ทัพหน่วยสายเพลิงแห่งนิกายไร้ขอบเขตแล้ว”
อีกสามคนที่ยืนอยู่ถัดจากเขากล่าวขึ้นตามลำดับ “เฉิงเถียนไห่แห่งนิกายไร้ขอบเขต”
“จวินโม่เสียแห่งนิกายไร้ขอบเขต”
“หลินเฉ่าเซวียนแห่งนิกายไร้ขอบเขต”
อดีตแม่ทัพกองทัพกำลังสวรรค์ราวเจ็ดคนปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน มีเพียงกัวเหวินฉางเท่านั้นที่ไม่ได้มาเพราะต้องทำหน้าที่คุ้มกันและดูแลคนอื่น ๆ ในนิกายไร้ขอบเขต
นอกจากเหล่าอดีตแม่ทัพแล้ว ข้ารับใช้ดาบจำนวนเจ็ดสิบสามคนของถังเจี๋ยก็มาที่นี่ พร้อมด้วยอดีตเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกองทัพกำลังสวรรค์อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมตัวกันมาประมาณยี่สิบคน และนั่นหมายความว่าทั้งกลุ่มนั้นมีทหารรวมแล้วนับร้อยคนเลยทีเดียว คนเหล่านี้ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนในตอนแรกก็เพราะพวกเขาอ่อนแอกว่า แต่พวกเขาก็มั่นใจมากขึ้นและโจมตีได้เมื่อจูเฉินฮ่วน หลี่ฉงชาน และคนอื่น ๆ แสดงตัว
เยี่ยเสิ่นหยางตกตะลึงทันทีที่เห็นผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในดินแดนลับแห่งนี้
ซูเฉินพูดความจริง !
เขาเตรียมการสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว !
ถูกต้องแล้ว… ซูเฉินเตรียมตัวมาแล้วเป็นอย่างดี
ตั้งแต่ที่เขารู้เรื่องการมาถึงของหลี่ต้าวหงและคนอื่น ๆ ชายหนุ่มก็ใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเพื่อหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะตั้งความหวังไว้กับการยั่วยุให้หลายฝ่ายต้องต่อสู้กันได้อย่างไร ?
สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เขาทำเช่นนั้นก็เพราะจะทำให้การเก็บกวาดสถานที่หลังจากนี้เป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้นก็เท่านั้น
ไพ่ตายของชายหนุ่มก็คือนิกายไร้ขอบเขตเสมอมา
เมื่อครั้งที่เขาไปยังเมืองมากเมฆา ซูเฉินก็ถ่วงเวลาการเปิดดินแดนลับไว้ถึงสิบวันเพื่อรอให้ตระกูลจูและนิกายไร้ขอบเขตเดินทางไปถึงก่อน
นิกายไร้ขอบเขตเองก็เสียทั้งเวลาและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อทำเช่นนี้
พวกเขาซื้อเรือเคลื่อนเมฆาที่เร็วที่สุดที่มีขายและบินตรงมาเลี่ยวเยี่ยอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นชาวนิกายไร้ขอบเขตจึงสามารถเข้าไปในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆโดยพึ่งพาอำนาจในการต่อรองของตระกูลจูและรีบมุ่งหน้าไปเพื่อให้ทันเวลา จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้สำเร็จ
จนกระทั่งตอนนี้
หากไม่มีการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งอี่หนี่เก้อและเยี่ยเสิ่นหยางก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกรงกลัวซูเฉิน
แต่การต่อสู้นั้นกำจัดผู้คนจำนวนมากไปจากกองกำลังของพวกเขาจนลูกสมุนของทั้งสองเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
กองกำลังทั้งสี่รวมกันมีจำนวนคนเพียงสิบห้าคนเห็นจะได้ ในขณะที่คนของนิกายไร้ขอบเขตนั้นมีมากถึงเกือบหนึ่งร้อยคนเลยทีเดียว
อี่หนี่เก้อหัวเราะและกล่าวขึ้น “นี่น่ะหรือไพ่ตายของเจ้า ? ซูเฉิน เจ้าคิดจะพึ่งผู้ฝึกจนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินกับผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณอีกสองคนนั้นเพื่อต่อกรกับพวกข้าจริง ๆ หรือ ?”
อี่หนี่เก้อเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 และเขายังมีปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 อยู่เคียงข้างอีกด้วย เยี่ยเสิ่นหยางเองก็มีหัวหน้านักบวชระดับ 8 อยู่กับเขา หลี่ต้าวหงมีผู้ฝึกด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน กับผู้ฝึกด่านผลาญจิตวิญญาณอีกสองคนมาด้วย ส่วนตงชิงหมิงก็มีปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 มากับเขา และความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย
นิกายไร้ขอบเขตนั้นยังมีอายุน้อยนัก พวกเขาไม่มีผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่เลย
และนี่คือสาเหตุที่อี่หนี่เก้อกับเยี่ยเสิ่นหยางยังคงมั่นใจอยู่นั่นเอง !
ซูเฉินเผยยิ้มออกมา “พวกข้าอ่อนแอเมื่อเทียบกันในด่านผลาญจิตวิญญาณและเหนือกว่านั้น แต่หากความแตกต่างระหว่างพลังนั้นไม่ได้มากเกินไป พวกข้าก็ยังพอจะทดแทนช่องว่างนั้นได้อยู่”
หลี่ต้าวหงส่งเสียงเกรี้ยวกราด “หากความแตกต่างระหว่างพลังไม่ได้มากเกินไปหรือ ?! คนพวกนี้มีพลังสูงสุดถึงแค่ด่านทะลวงลมปราณ แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอาพวกนั้นมาเปรียบเทียบกับพวกข้า พวกข้าน่ะ…”
ยังไม่ทันที่หลี่ต้าวหงจะพูดจบ เขาก็สังเกตเห็นแท่นบงกชปรากฏขึ้นบนหน้าผากของชาวนิกายไร้ขอบเขตจำนวนนับร้อยคน
“ดะ… ด่านสู่พิสารหรือ !” หลี่ต้าวหง เยี่ยเสิ่นหยาง และทุกคนที่เหลือต่างก็ตกใจ
เห็นได้ชัดเลยว่าคนเหล่านี้ฝึกมาด้วยกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นทหารทั่ว ๆ ไป …แต่กลับมีพลังแข็งแกร่งถึงด่านสู่พิสดาร !
ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนกว่าหนึ่งร้อยคน !
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารสามารถฝึกได้ทีละจำนวนมากแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร ?
ทุกคนต่างอึ้งกับภาพที่เห็น
ซูเฉินยิ้มบาง ๆ “ตอนนี้พวกข้ามีสิทธิ์จะสู้แล้วหรือยังล่ะ ?”
นิกายไร้ขอบเขตยังขาดพลังในระดับสูงก็จริง แต่ความแข็งแกร่งในระดับกลางของพวกเขาก็น่ายกย่องทีเดียวด้วยวิชาการฝึกด่านสู่พิสดารโดยไม่พึ่งพาสายเลือด
วิชานี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในบรรดาชาวนิกายไร้ขอบเขตด้วยกัน ทหารกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนที่จะแสดงความแข็งแกร่งขั้นสุดของนิกายแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนในด่านนี้ที่มีความสามารถโดดเด่นก็เท่านั้น
หลี่ฉงชานหัวเราะร่วน “จะเปลืองลมหายใจกับพวกนั้นไปทำไมกันเล่า กำจัดทุกคนที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเราให้หมด !!”
สิ้นเสียงตะโกน ชาวนิกายไร้ขอบเขตก็ลงมือทันที
ผู้ฝึกด่านสู่พิสดารราวหนึ่งร้อยคนนั้นมุ่งหน้าโจมตีในทันใด ทำให้แม้แต่อี่หนี่เก้อที่เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ก็ยังไม่สามารถต้านทานฝูงชนที่โจมตีพร้อมกันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้เขาจะใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ได้ แต่ใบมีดนับร้อยนั้นก็พร้อมจะฟาดฟันลงใส่เขาในทันที ซึ่งปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างแน่นอน ใบมีดปะทะเข้ากับวิชาของปรมาจารย์นักปราชญ์และทำลายมันลงอย่างง่ายดาย
ซูเฉินเองก็สู้สุดกำลังเช่นกัน เขาหัวเราะและพุ่งเข้าหาหลี่ต้าวหงพร้อมกับตะโกนขึ้น “หลี่ต้าวหง ท่านเป็นของข้าแล้ว !”
หลี่ต้าวหงผงะเมื่อเห็นว่าซูเฉินกำลังทะยานเข้ามาหาตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้พยายามป้องกันตัวแต่อย่างใด ชายหนุ่มกลับตะโกนกลับไป “ข้าเองก็เป็นคนเผ่ามนุษย์เหมือนกัน ซูเฉิน ทำไมถึงดึงดันที่จะทำให้เรื่องนี้มันยากสำหรับข้านักนะ !”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ท่านต่างหากไม่ใช่หรอกหรือที่เป็นคนดึงดันทำให้ข้าต้องลำบาก ข้าไม่เคยขอให้ท่านมาที่นี่เลยนะ”
พูดจบซูเฉินก็ฟันลงด้วยดาบศิราทองคำ
หลี่ต้าวหงโต้ตอบด้วยการปล่อยคลื่นพลังประหลาดและตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเจ้าไว้ชีวิตข้า ข้าจะยอมเป็นพันธมิตรกับเจ้า !”
“ข้าไม่มีท่านเป็นพันธมิตรจะดีกว่า !” พื้นผิวของดาบศิราทองคำลุกโชนขึ้นเป็นเปลวไฟสีทมิฬ
“ซูเฉิน ข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์เลี่ยวเยี่ย เจ้ากล้าจะฆ่าข้าจริง ๆ หรือ ?” หลี่ต้าวหงร้องขึ้นด้วยความสิ้นหวัง
เขากลัวความตายยิ่งกว่าที่จะต้องพ่ายแพ้ และน้ำเสียงนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นฝ่ายยอมแพ้
…แน่นอนว่าคนที่ปราดเปรื่องเกินไปย่อมจะสูญเสียความต้องการที่จะต่อสู้ต่อไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน !!
ฝ่ายซูเฉินได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านเป็นสมาชิกของราชวงศ์เลี่ยวเยี่ยแล้วทำไมหรือ ? ใครจะรู้ล่ะถ้าข้ากำจัดทุกคนที่นี่เสียทั้งหมด อีกอย่าง… ท่านเองก็เป็นความอัปยศของตระกูล ถ้าข้าสังหารท่าน เผลอ ๆ ข้าอาจได้รับคำขอบคุณจากหลี่หวู่อี้ที่กำจัดตัวปัญหาของเขาทิ้งไปก็ได้ !!”
สิ้นประโยคนั้น ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
เมื่อลักษณ์หนึ่งก่อตัวขึ้นที่ด้านหลัง ความยิ่งใหญ่ของดาบศิราทองคำก็เริ่มพุ่งทะยานขึ้น ซึ่งทำให้ซูเฉินเข้าสู่สภาวะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด !!
ก่อนที่ใบมีดจะโจมตีออกไปและฟาดฟันลงใส่หลี่ต้าวหงอย่างต่อเนื่อง !
แม้ว่าหลี่ต้าวหงจะมีสายเลือดเทพอสูร แต่สายเลือดนิมิตลาวัณย์ก็เป็นสายเลือดที่อ่อนแอที่สุดในราชวงศ์ทั้งเจ็ดในแง่ของการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ในเมื่อซูเฉินสามารถทำได้แม้กระทั่งเอาชนะสมาชิกของตระกูลฉู่ การต่อกรกับหลี่ต้าวหงก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา ชายหนุ่มสามารถเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น
หลี่ต้าวหงตะโกนขึ้นด้วยความหวาดกลัว “ซูเฉิน ข้ารู้จักเจ้า เจ้ากับข้าพบกับคนคนเดียวกัน เราทั้งสองต่างก็เป็นคนที่ถูกสวรรค์เลือก และเราไม่ควรต้องมาเสียเวลาเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ !”
ซูเฉินหัวเราะเยือกเย็น “นั่นมันก็แค่สิ่งที่ท่านเลือกจะมอง แต่สำหรับข้ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“ขอทานเฒ่า ! ขอทานเฒ่านั่นไง ! เราสองคนเป็นคนที่เขาเลือก เจ้าสังหารข้าไม่ได้นะ !” หลี่ต้าวหงร้องเสียงหลงด้วยความสิ้นหวัง
ทว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย แม้ชายหนุ่มจะกล่าวถึงขอทานเฒ่าแล้วก็ตาม
แม้สมองของเขาจะยอดเยี่ยม แต่ชายคนนี้กลับขาดความกล้าหาญ เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตใด ๆ หลี่ต้าวหงก็ไม่มีความกล้า อีกทั้งการป้องกันตัวของเขายังอ่อนแอยิ่งนัก ยิ่งความต้องการที่จะต่อสู้ของเขาลดลงมากขึ้น สถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงเร็วขึ้นไปด้วย !
เมื่อดาบศิราทองคำของซูเฉินปะทะเข้ากับร่างของหลี่ต้าวหงและทำให้เขาลอยกระเด็นออกไป เลือดมากมายสาดกระเซ็นออกมาจากปากแผลที่บนร่างของเขา
เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่มีท่าทีจะไว้ชีวิตเขาแล้ว หลี่ต้าวหงก็ยิ่งหมดหวังและเริ่มตะโกนโวยวาย “ก็ได้ ! ถ้าเจ้าไม่ให้ทางเลือกกับข้า เราก็ตายไปด้วยกันนี่ละ !”
สิ้นคำชายหนุ่มก็หยิบเอาบางอย่างออกมาจากแหวนต้นกำเนิด
สิ่งที่เขาหยิบออกมานั้นเป็นธงสามเหลี่ยมผืนหนึ่งที่เปล่งรังสีชั่วร้ายออกมาอย่างเข้มข้นจนแทบจะสามารถจับต้องได้ เสียงกรีดร้องที่แหลงสูงดังโหยหวนออกมาจากธงผืนนั้นตลอดเวลา
“นี่มัน…” แม้แต่ซูเฉินก็ยังไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน
สีหน้าของหลี่ต้าวหงบิดเบี้ยวไปจนดูประหลาด “เจ้าบังคับให้ข้าต้องทำอย่างนี้… ซูเฉิน !”
ชายหนุ่มสะบัดผืนธงนั้นไปในอากาศ ไอหมอกสีทะมึนหลั่งไหลออกมาจากธงนั้นพร้อมกันกับที่ระดับเสียงกรีดร้องเริ่มดังก้องขึ้นและภาพลวงสีจางก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ
“ซูเฉิน ระวัง ! พวกนั้นมันเป็นปีศาจ !” หลี่ฉงซานร้องเตือนขึ้นดังลั่น
ในทวีปต้นกำเนิดนั้นไม่เคยมีผีสางมาก่อน หลังจากที่สิ่งมีชีวิตสิ้นลมแล้ว วิญญาณของร่างนั้นก็จะสลายตัวไป
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่อยากตายและพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตอมตะ หลายคนอาจถึงกับยอมเลือกเส้นทางที่ไม่เป็นที่ยอมรับเสียด้วยซ้ำ
ชาวอาร์คาน่าพัฒนาวิธีการมากมายเพื่อเรียกวิญญาณที่จากไปกลับมา และมนุษย์เองก็พัฒนาวิธีการเพื่อทำเช่นนั้นขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด ชาวเผ่าวิญญาณไม่มีกายหยาบอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงจัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีวิชาชนิดหนึ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า มันคือวิชาสร้างปีศาจนั่นเอง !
วิญญาณอมตะที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิชานั้นเป็นปีศาจร้ายอย่างแท้จริง พวกมันทั้งร้ายกาจและเกินต้านทาน อีกทั้งความสามารถในการต่อสู้ก็ยังสูงมากอีกด้วย
แต่เพื่อจะให้แน่ใจว่าปีศาจเหล่านี้มีความคิดที่ชั่วร้ายและเกลียดชังสิ่งมีชีวิต พวกมันจึงจำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดังนั้นวิชานี้จึงเรียกได้ว่าเป็นวิธีการที่โหดร้ายเหลือเกินและยังเป็นที่รู้กันว่าเป็นวิชาต้องห้ามอีกด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลี่ต้าวหงจะสร้างปีศาจพวกนี้ขึ้นอย่างลับ ๆ เพื่อใช้มันเป็นการส่วนตัว….
ทว่าจำนวนปีศาจในธงผืนนั้นดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่จำนวนหลายร้อย หรืออาจมากถึงหลายพันตนเลยทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าหลี่ต้าวหงได้ทรมานผู้คนมามากมายตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขา
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลี่ต้าวหงคนนี้ไม่ยอมเปิดเผยไพ่ตายของตัวเองจนกระทั่งบัดนี้ หากเขาเปิดเผยมันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีสถานะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ แต่หลี่ต้าวหงคงต้องกลายเป็นศัตรูของทุกคนอย่างแน่นอน !!