ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 122 ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ
บทที่ 122 ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ
บางอย่างนั้นไม่สามารถย้อนกลับได้หากมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลี่ต้าวหงชัดเจนเป็นอย่างยิ่งกับผลของการกระทำอันร้ายกาจของเขา ด้วยสถานะราชวงศ์แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพยายามขนาดนั้นเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ไพ่ตาย’ นี้เลย
สาเหตุที่แท้จริงที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะความตื่นเต้นเร้าใจในท้ายที่สุดนั่นเอง
หลี่ต้าวหงต้องทนแบกรับกับความอัปยศจากน้ำมือของคนอื่นซึ่งทำให้จิตใจของเขาบิดเบี้ยวไปไม่น้อย
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นอัจฉริยะและได้รับสถานะอันสูงศักดิ์กลับคืนมา แต่ความทรมานที่ต้องทนกับเรื่องน่าอดสูนั้นก็กระทบกับจิตใจของเขาเหลือเกิน บุคลิกของหลี่ต้าวหงเป็นเช่นนี้ก็เพราะประสบการณ์เรื่องดังกล่าว และมุมมองที่บิดเบี้ยวไปก็มีส่วนมาจากบุคลิกที่ว่านี้ด้วยเช่นกัน
หลายคนคิดว่าการแก้แค้นของหลี่ต้าวหงจบสิ้นลงแล้วเมื่อบุคลิกเขาของเปลี่ยนไป
ทว่าพวกเขากลับคิดผิด
การแก้แค้นที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงยอดเล็ก ๆ ของก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาเท่านั้น ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าหลี่ต้าวหงจะยังสงวนความดำมืดเอาไว้อีก
อันที่จริงแล้วเขาบ้าบิ่นกว่าที่หลายคนคิดเสียด้วยซ้ำ !
ความบิดเบี้ยวนี้เองที่ทำให้ปีศาจจากผืนธงนั้นแข็งแกร่ง
หลี่ต้าวหงไม่ได้สร้างปีศาจพวกนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นไพ่ตาย แต่พวกมันเกิดขึ้นจากความปรารถนาอันบริสุทธิ์ของเขาที่จะทรมานสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ดูพวกมันชักดิ้นชักงอด้วยความทรมาน และได้เห็นชีวิตเหล่านั้นร้องโหยหวนอยู่ในกำมือของเขา หรือจะว่าง่าย ๆ ก็คือ… หลี่ต้าวหงชอบใจกับความทรมานของทุกชีวิตนั่นเอง !!
ส่วนการใช้งานพวกมันเพื่อการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องรองลงมา !!
เมื่อปีศาจทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมาจากธงผืนนั้น มวลอากาศสีทะมึนที่หนาวเย็นก็แผ่กระจายไปทั่วพร้อมกับเสียงหวีดแหลมของพวกมันที่ดังก้องไปทั่วฟ้า
เหล่าปีศาจมุ่งหน้าตรงมาหาซูเฉินด้วยท่าทางดุร้าย ชายหนุ่มต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าดาบศิราทองคำของเขาไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย แม้กระทั่งพลังจากเพลิงเงาก็ยังถูกจำกัดไว้ด้วยซ้ำ
“ซูเฉิน ระวัง ! ปีศาจพวกนั้นเกิดมากจากพลังงานชั่วร้ายที่เข้มข้นนัก และพวกมันก็มีตัวตนอยู่ในสภาวะที่เป็นกึ่งกลางระหว่างความเป็นจริงและภาพลวง มีเพียงพลังแห่งหยางเท่านั้นที่จะจัดการกับพวกนี้ได้ เพลิงเงาของเจ้ามีพลังหยางไม่มากพอและมันไม่สามารถทำลายปีศาจพวกนั้นได้” หลี่ฉงซานร้องบอก
เพลิงเงามีฤทธิ์กัดกร่อนเป็นหลักตามธรรมชาติของมัน ดังนั้นจึงถือว่าเป็นพลังเพลิงประเภทหยิน เปลวเพลิงนี้สามารถใช้แผดเผากายหยาบของสารพัดสิ่งมีชีวิตได้ก็จริง แต่พวกมันไม่ได้สามารถอะไรปีศาจร้ายเหล่านี้ได้เลย
เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว… หากจะบอกว่าเหล่าปีศาจเป็นฝ่ายโจมตีดาบศิราทองคำอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ผิดนัก
ในสถานการณ์ลักษณะนี้ แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปด้วย
“พลังแห่งหยางอย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็มีแค่วิธีเดียว”
พูดจบชายหนุ่มก็หยิบเอาเทียนไขชีวิตออกมาจุดและใส่มันเข้าไปในร่างของตัวเอง จากนั้นซูเฉินก็หยิบผลึกต้นกำเนิดสายฟ้าเป็นลำดับถัดมาและเริ่มซึบซับพลังจากมัน
เพลิงกัลป์นั้นจัดเป็นพลังหยาง เช่นเดียวกับพายุและสายฟ้า
สายฟ้านั้นรุนแรงและร้ายกาจอยู่แล้วตามธรรมชาติ มันจึงกลายเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบในการต้านทานปีศาจที่ไม่เป็นมิตร และยังถือเป็นตัวเลือกที่ดียิ่งกว่าไฟอีกด้วย
และเพราะซูเฉินฝึกดาบอัสนีบาต ความเข้าใจในองค์ประกอบของสายฟ้าของเขาจึงมีอยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นดาบอัสนีบาตก็ยังไม่เพียงพอต่อการต่อกรกับปีศาจเหล่านี้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่เสียเวลาและเริ่มเพิ่มปริมาณแก่นสายฟ้าในร่างกายของตัวเองทันที
ซูเฉินซึมซับพลังจากผลึกต้นกำเนิดสายฟ้าเข้าไปเป็นจำนวนมาก ผนวกเข้ากับอิทธิฤทธิ์ของเทียนไขชีวิต ความชำนาญในการใช้สายฟ้าของเขาจึงบรรลุสู่ขั้นที่ 7 ได้เป็นเวลาชั่วคราวด้วย
ร่างแยกของชายหนุ่มยังคงเปิดหนังสือไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา
ซูเฉินพบอีกหนึ่งวิธีการในการใช้งานร่างแยก นั่นคือการเรียนรู้และใช้ความรู้นั้นเลยในทันที
เมื่อความชำนาญในการใช้สายฟ้าของเขาเพิ่มขึ้นถึงระดับ 7 ซูเฉินก็เริ่มสร้างมวลสายฟ้าขนาดเล็กขึ้นด้วยปลายนิ้วของเขา
“นี่มัน…” หลี่ต้าวหงมองดูมือทั้งสองของซูเฉินด้วยความตกตะลึง
วิชาอาร์คาน่าระดับ 7 สายฟ้าเทวทัณฑ์นั่นเอง !!
สายฟ้าขนาดใหญ่ปะทะเข้าใส่ธงปีศาจของหลี่ต้าวหงเต็มแรง
สถานการณ์ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นในทันใด ทั้งสายฟ้าและพายุต่างก็พุ่งลงโจมตีเหล่าปีศาจอย่างต่อเนื่องจนทำให้พวกมันกรีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
รังสีพลังอันร้ายกาจของเหล่าปีศาจเริ่มพลุ่งพล่านขณะที่พวกมันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้านทานกับพลังโจมตีจากสายฟ้าของชายหนุ่ม
น่าประหลาดใจยิ่งนักที่สายฟ้าพวกนั้นไม่สามารถทำลายปีศาจร้ายได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นการโจมตีที่ได้ผลมากก็ตาม !! …สายฟ้าที่ว่านั้นกลับทำได้เพียงแค่ช่วยให้ซูเฉินไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเท่านั้น
วิชาอาร์คาน่าระดับ 7 ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับปีศาจพวกนี้อย่างนั้นหรือ ?
ซูเฉินนึกขึ้นได้ในไม่ช้าว่าที่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะจำนวนปีศาจที่หลี่ต้าวหงมีนั้นมาเหลือเกิน และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาเพิ่งสามารถใช้วิชาระดับ 7 ได้ไม่นานเท่านั้น
การบรรลุขั้นวิชานั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป
หนึ่งวันก่อนหน้านี้เขาใช้วิชาอาร์คาน่าได้เพียงระดับ 5 …การเลื่อนระดับขึ้นมาถึงสองขั้นในหนึ่งวันนั้นรวดเร็วอย่างผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะดึงพลังออกมาใช้ได้อย่างจำกัด !!
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงมากนัก
เมื่อวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 ไม่เพียงพอที่จะต้านทานกับพวกปีศาจได้ …แล้วถ้าเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ล่ะ ?
ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าเขาจะต้องชำนาญวิชาในแต่ละระดับมากเท่าไร ตราบใดสามารถต่อกรกับศัตรูได้ นั่นก็ถือว่าดีมากพอแล้วสำหรับเขา
เทียนไขชีวิตยังคงเผาไหม้ต่อไปในขณะที่ผลึกต้นกำเนิดสายฟ้าก็ยังระเหยออกมาเรื่อย ๆ เพื่อทำหน้าที่ของมันเช่นกัน
คนที่มีเงินมากมายนั้นสามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องรู้สึกเสียดาย ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมียุทธวิธีอย่างไรก็สามารถจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
ตู้ม !
รังสีพลังของเขาพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าซูเฉินพัฒนาพลังสูงขึ้นไปได้อีกขึ้นแล้ว
ตอนนี้เขาบรรลุสู่ระดับ 8 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว !
“เป็นไปได้อย่างไรกัน !!” หลี่ต้าวหงกรีดร้อง
แม้แต่อี่หนี่เก้อก็ยังทึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในรังสีพลังของซูเฉิน
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ต้องตะลึง
ฝ่ายตรงข้ามพัฒนาสู้การเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 ได้ในพริบตาเดียวเท่านั้น !
นี่มันเรื่องตลกหรืออย่างไรกัน
การเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าง่ายดายและไร้คุณค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
เปล่าเลย… การเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่านั้นมีคุณค่าสูงนัก !!
ซูเฉินจุดเทียนไขชีวิตหมดไปหลายสิบเล่มและต้องเสียผลึกต้นกำเนิดสายฟ้าไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้บรรลุพลังเช่นนี้ได้
จำนวนเงินที่เขาใช้ในวันนี้นั้นเทียบได้กับความมั่งคั่งโดยรวมของประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งเลยด้วยซ้ำ !
เมื่อพัฒนาไปได้ถึงระดับ 8 แล้ว สายฟ้าที่รุนแรงก็ปะทุขึ้นจากปลายนิ้วของเขาอีกครั้ง
มันคือวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ที่มีชื่อว่า ‘วายุแม่เหล็กไฟฟ้า’ นั่นเอง !
แต่นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการโจมตีโดยซูเฉิน
หลังจากนั้นชายหนุ่มเลือกใช้วิชาอาร์คาน่าประเภทล็อคเป้าเป็นลำดับต่อไป
วิชาอาร์คาน่าระดับ 8 – สายฟ้าสังหาร !!
เพราะเป็นวิชาอาร์คาน่าล็อคเป้า วิชาสายฟ้าสังหารจึงไม่ได้มีพลังทำลายล้างที่กินวงกว้างขวางมากเท่ากับวายุแม่เหล็กไฟฟ้า แต่นั่นก็ทำให้พลังของมันเข้มข้นและรุนแรงกว่าด้วย
ขณะที่วิชาอาร์คาน่าทั้งสองพุ่งไปในอากาศนั้น… มันก็ดูเหมือนว่าผืนธงปีศาจแทบจะหมดแรงแล้วเช่นกัน
ปีศาจจำนวนหลายหมื่นร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อเหล่าปีศาจกำลังจะถูกกำจัด ทันใดนั้นหลี่ต้าวหงก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง
เขาหยิบอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา
คราวนี้สิ่งที่เขานำออกมานั้นเป็นน้ำเต้าสีเหลืองที่เททรายออกมาเป็นจำนวนมาก
กระแสทรายนั้นพลันกลายสภาพไปเป็นกำแพงและขัดขวางสายฟ้าสังหารของซูเฉินเอาไว้ ซึ่งแม้แต่ชายหนุ่มเองเมื่อได้เห็นดังนั้นก็อดทึ่งไม่ได้
ถึงแม้สายฟ้าสังหารจะทรงพลังนัก แต่กำแพงทรายก็สามารถหยุดการเคลื่อนที่ของเขาไว้ได้
“นี่เขายังมีไพ่ตายอยู่อีกหรือ ?” ซูเฉินรู้สึกขบขันเหลือเกิน
“ข้ามาจากราชวงศ์และทรัพย์สมบัติของข้ามีไม่จำกัด ข้ามีวิชาทุกอย่างอยู่ในมือและพร้อมจะใช้มันทั้งหมด เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตัวเองมีค่าพอที่จะกำจัดคนอย่างข้า !” หลี่ต้าวหงกล่าวขึ้นด้วยความโอหัง
เมื่อจูเฉินฮ่วนเห็นน้ำเต้าในมือของหลี่ต้างหงก็โพล่งออกมาทันใด “น้ำเต้าธารทราย… นี่เจ้าคือผู้ที่ทำลายล้างตระกูลหยวนหลายหรอกหรือ !!”
ตระกูลหยวนหลายเป็นตระกูลที่ใจบุญสุนทานยิ่งนัก พวกเขาช่วยเหลือผู้คนมากมายในเวลาที่ลำบาก ทว่าเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ ตระกูลดังกล่าวกลับถูกสังหารจนหมดโดยจอมโจรผู้ใจเหี้ยมที่หมายตาน้ำเต้าธารทราย…
หลักฐานทุกอย่างบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าน้ำเต้าธารทรายนั้นเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดประเภทปฐพีที่สามารถพ่นทรายออกมาได้เป็นจำนวนมาก กระแสทรายเหล่านี้ดัดแปลงได้ง่ายและเหมาะยิ่งนักกับการใช้วิชาอาร์คาน่าประเภทปฐพี เพราะพวกมันจะยิ่งกระตุ้นผลของวิชานั่นเอง ซึ่งก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทรายที่ว่าสามารถทำงานได้อย่างนั้นจริง ๆ มันก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงเพื่อขัดขวางวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ได้อย่างง่ายดาย
แต่การสังหารตระกูลนักบุญเพียงเพราะต้องการสมบัตินั้นก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมากทีเดียว
สีหน้าของซูเฉินหม่นลง “ท่านเลวเกินกว่าที่จะมีชีวิตต่อไปแล้วละ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สังหารข้าเสียสิ !” หลี่ต้าวหงหัวเราะลั่น “ข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ และข้าก็มีสมบัติจำนวนไม่จำกัด คนอย่างเจ้าจะจัดการกับข้าได้อย่างไรกัน”
“ฮึ่ม ดูเหมือนจะพูดอะไรอื่นไม่เป็นแล้วสินะ ท่านอยากจะประชันความมั่งคั่งกันอย่างนั้นหรือ ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว !” เมื่อพูดจบแล้ว ซูเฉินก็หยิบเอาเทียนไขชีวิตออกมาอย่างต่อเนื่อง
หากจะเทียบกันในเรื่องของความมั่งคั่งแล้ว… คงต้องรอดูเสียแล้วว่าใครกันแน่ที่จะต้องเป็นฝ่ายกลัว !!
ซูเฉินไม่จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากจูเฉินฮ่วนเลยว่าเขาควรใช้วิชาอาร์คาน่าประเภทใด
ประเภทลมนั่นเอง !
วิชาลมนั้นใช้ได้ผลดียิ่งนักในการต่อกรกับวิชาประเภทปฐพี ความเชี่ยวชาญในการใช้ธาตุลมของซูเฉินนั้นอยู่ในระดับ 6 แล้ว นั่นแปลว่าเขาต้องเพิ่มระดับขึ้นไปอีกสองขั้นเท่านั้น
ซูเฉินไม่ได้ใช้เทียนไขชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกแล้วในครั้งนี้ เขาจุดเทียนเหล่านั้นขึ้นต่อหน้าหลี่ต้าวหงและเริ่มซึมซับพลังจากมันในทันที
“เทียนไขชีวิตหรือ พวกนั้นคือเทียนไขชีวิตใช่ไหม ?!!” หลี่ต้าวหงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
เทียนไขชีวิตเป็นสมบัติของชาวมนุษย์ เผ่าปักษาเองก็คุ้นเคยกับพวกมันไม่น้อยเช่นกัน พวกเขาพากันมองดูซูเฉินด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มมีเทียนไขชีวิตอยู่ในครอบครอง
หลี่ต้าวหงร้องขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว “เจ้ามีเทียนไขชีวิต ! แต่… แต่… ต่อให้มีเทียนไขพวกนั้น เจ้าก็ไม่ควรจะมีพลังแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วได้อย่างนี้ ! หรือว่า… นี่เจ้ามีเทียนไขอยู่กี่เล่มกัน !”
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างถ่อมตัว “ไม่มากขนาดนั้นหรอก ทั้งหมดก็แค่ 161 เล่มเท่านั้น เมื่อข้าบรรลุพลังอีกขั้นได้แล้ว ก็คงใช้ไปราวครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่”
หลี่ต้าวหงตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
ซูเฉินมีเทียนไขชีวิตมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ?
แล้วนี่เขากำลังใช้พวกมันอย่างฟุ่มเฟือยอีกด้วย
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ!
เมื่อเทียบกันแล้ว คำโอ้อวดในความมั่งคั่งของหลี่ต้าวหงก่อนหน้านี้เหมือนเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
ความร่ำรวยของหลี่ต้าวหงไม่ควรค่าที่จะนำมาเปรียบกับซูเฉินเสียด้วยซ้ำ
อันที่จริงแล้ว ทรัพย์สมบัติส่วนมากที่เขาได้รับมาล้วนมาจากการหักหลังคนใกล้ตัวทั้งสิ้น ความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทองที่มีเลย
แม้แต่อี่หนี่เก้อเองก็สิ้นหวังนักเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น
นี่เขากำลังต่อกรกับศัตรูประเภทไหนกัน ?
พวกเขาแทบจะเสียหลักอยู่แล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังทุ่มเงินมากมายเพื่อการต่อสู้อีก
อีกทั้งยังซูเฉินยังดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักด้วยซ้ำ
ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ
เขารวบรวมสมบัติมากมายก็จริง แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสใช้พวกมันมาก่อนเลย แม้กระทั่งตอนนี้ ซูเฉินก็ยังคงรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่ต้องคิดว่าจะนำสมบัติเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
สิ่งที่มีค่าเทียบเท่ากับเทียนไขชีวิตนั้นคืออะไรกัน ?
ชายหนุ่มยังมีเลือดเทพอสูรใหม่เอี่ยมอยู่อีกสองขวด และผลึกต้นกำเนิดเทพอสูรบรรพกาลอยู่อีกหนึ่งชิ้นที่ยังไม่เคยได้ใช้
แล้วตอนนี้ขนนกสวรรค์ก็กำลังจะตกอยู่ในครอบครองของเขาอีกด้วย ซึ่งหากซูเฉินไม่ได้ใช้สมบัติที่เขามีอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้แน่ที่เขาจะเก็บสมบัติมากมายที่ไม่มีวันใช้หมดเอาไว้ได้
ซูเฉินจะต้องเป็นเพียงคนเดียวแน่ ๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดกับการมีเงินทองมากเกินไป
ตอนนี้ความชำนาญในการใช้ลมของเขาอยู่ในระดับเบื้องต้น และร่างแยกทั้งหลายก็ยังไม่พบสิ่งที่ตามหา ดังนั้นซูเฉินจึงทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น
ฝ่ายหลี่ต้าวหงนั้นดูกระวนกระวายมากทีเดียว
เจ้ามีพลังระดับสูงแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังไม่โจมตีอีกล่ะ ?
เจ้ายังบรรลุไม่พออีกหรือ ?
ต้องมีพลังสักแค่ไหนกันถึงจะโจมตีได้ ?!!
อะไรกัน… นี่วิชาระดับ 8 ก็ยังไม่เพียงพออีกหรือ เจ้าต้องการวิชาระดับ 9 เลยหรืออย่างไร ?
หลี่ต้าวหงอยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน
ซูเฉินยังคงเฝ้ารอให้ร่างแยกของตัวเองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากหนังสือพวกนั้นต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงความว้าวุ่นในใจของหลี่ต้าวหงเลยแม้แต่น้อย
การรอเช่นนี้น่ารำคาญใจไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะมีแค่เขาเพียงคนเดียวที่สามารถต่อสู้และอ่านหนังสือไปพร้อม ๆ กันได้ไม่ใช่หรือ ?
ชายหนุ่มยืนนิ่งและฆ่าเวลากับหลี่ต้าวหงโดยควบคุมพลังต้นกำเนิดของลมและสายฟ้าอย่างระมัดระวังเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
มือทั้งสองของซูเฉินกำลังควบคุมทั้งพลังสายฟ้าและพลังลมในทุกการเคลื่อนไหว และเพื่อที่จะจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้ ชายหนุ่มจึงเริ่มสร้างก้อนธาตุขึ้นที่ด้านหลังเหนือปีกทั้งสองข้าง
หนึ่งในนั้นเป็นก้องธาตุลม ส่วนอีกก้อนหนึ่งนั้นเป็นก้อนสายฟ้า
ทักษะนี้เป็นหนึ่งในการรวมธาตุที่เป็นพื้นฐานที่สุด มันไม่ได้ทรงพลังเป็นพิเศษและซูเฉินก็ใช้มันเพียงเพื่อการเตรียมการสำหรับวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ในอนาคตเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถรวมมวลธาตุทั้งสองได้เป็นเวลานานมากทีเดียว คนส่วนมากไม่มีทางที่จะคงมวลธาตุได้นานเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณผลึกวิญญาณของซูเฉินที่ทำให้เขาสามารถทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ง่ายดายมากขึ้น
ทันใดนั้น สัมผัสประหลาดก็พลันเคลื่อนผ่านเขาไป
สัมผัสนั้นเป็นเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ฉุดร่างของชายหนุ่มไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่สิ… ต้องบอกว่าสิ่งนั้นกำลังดึงเอามวลธาตุทั้งสองที่ด้านหลังของเขาถึงจะถูก !
ขณะที่ซูเฉินพยายามจะสืบหาต้นตอของสัมผัสที่ว่า ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปยังโทเทมวิญญาณสายลมที่หน้าอาราม ซึ่งเริ่มจะเปล่งประกายจาง ๆ ขึ้น !!!