ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 13 ลุกไหม้
บทที่ 13 ลุกไหม้
“คารวะ ภรรยาท่านเจ้านิกาย !”
ในป่านอกเมืองฝนต้นฤดู กังเหยียน เงามรณะ และ 12 ข้ารับใช้ดาบโค้งคำนับลงพร้อม ๆ กัน
“ภรรยาท่านเจ้านิกาย ?” กู่ชิงลั่วมองซูเฉินด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกัน ? เจ้ายังไม่รู้เรื่องหรอกหรือ ?” อวิ๋นเป้าหัวเราะเบา ๆ
“ระหว่างทางมันฉุกละหุกนิดหน่อย ข้าเลยไม่มีเวลาอธิบายอะไรมากนัก” ซูเฉินตอบ
กู่ชิงลั่วจ้องซูเฉินเขม็ง “ดูเหมือนว่าช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าจะมียุ่งน่าดูเลยนะ”
“อืม ก็พอสมควร” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วกำลังนั่งสนทนากันอยู่ข้างกองไฟ
กู่ชิงลั่วถือขาแกะย่างเอาไว้ในมือ และนั่งกินไปพลางฟังซูเฉินเล่าเรื่องราวการไปเยือนอาณาจักรเหล็กเลือดไปพลาง เมื่อนางสั่นสะท้านด้วยความกลัวหรือรู้สึกกังวลกับเรื่องที่ได้ฟัง นางก็จะขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของซูเฉิน บางจังหวะนางก็ดูตื่นเต้น คึกคัก และแสดงออกเหมือนเด็กสาวอีกครั้ง
บางทีนี่อาจเป็นท่าทีทั่วไปของผู้หญิงทุกคนเมื่ออยู่เคียงข้างคนในดวงใจของพวกนาง เต็มใจที่จะปล่อยตัวปล่อยความคิดไป เพื่อเพลิดเพลินกับความห่วงใยจากคนที่รัก
การได้ฟังเรื่องเล่าดี ๆ ในระหว่างที่กินเนื้อย่าง ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง รอบปากของกู่ชิงลั่วเลอะเทอะไปด้วยคราบมัน ทำเอาใบหน้าของนางแทบไม่เหลือมาดคุณหนูอยู่เลย แต่มันก็ทำให้นางดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวามากขึ้น
ในที่สุด ซูเฉินก็เล่าเรื่องของเขาจบ กู่ชิงลั่วก็กล่าวขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็มาถึงเขาหมื่นดาบตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่เคยมาหาข้าเลยจนกระทั่งตอนนี้ ?”
เมื่อซูเฉินรู้ว่านางกำลังจะทำเรื่องให้ยุ่งยากอีกแล้ว เขาจึงได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น “นิกายเพิ่งจะก่อตั้งเสร็จ ข้าจึงมีงานหลายอย่างที่ต้องคอยจัดการดูแล ก็เลยได้แต่ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ อีกอย่าง ไม่ใช่ว่ายามนี้ข้าก็มาอยู่ข้างเจ้าแล้วหรอกหรือ ?”
กู่ชิงลั่วขมวดคิ้ว “เจ้ามักจะปล่อยเรื่องของข้าไว้ทีหลังเสมอเลย เจ้ารู้ไหมว่า… ข้าคิดถึงเจ้ามากขนาดไหน ?”
ขณะที่พูดน้ำเสียงของนางก็ค่อย ๆ เบาลง กู่ชิงลั่วเอนตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉิน ทำทีราวกับไม่อยากจะแยกไปอีก
เมื่อเห็นหญิงสาวเป็นเช่นนั้นซูเฉินก็รู้สึกปวดใจ เขาลูบหลังนางเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้าขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”
กู่ชิงลั่วกล่าวต่อเงียบ ๆ “แค่เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว รู้ไหมว่าการที่ข้าต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้างมันยากแค่ไหน ? ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก แม้จะแซ่กู่เหมือนกันแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ? ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยพบเคยเจอพวกเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะสายเลือดของข้าตื่นขึ้น ข้าถึงต้องกลับไปหาและทำความรู้จักบรรพบุรุษ ระเบียนชื่อของตระกูลไม่มีชื่อของข้า ไม่มีใครรู้ว่าข้ามาจากสาขาไหน แต่พวกเขายังบังคับให้ข้ากลับไปใช้นามสกุลของพวกเขาและให้เคารพบรรพบุรุษเพียงคนเดียว”
“ยังโชคดีที่ท่านบรรพบุรุษยังชอบข้าอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นข้าก็คงถูกโยนทิ้งไว้ในมุมและไม่มีใครสนใจ ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้แล้วอย่างไร ? สุดท้ายก็เป็นแค่นักโทษที่มีอิสระในการเดินไปเดินมาเท่านั้น”
ซูเฉินตกตะลึง “ข้าคิดว่าเจ้าอยูที่นี่อย่างสุขสบายเสียอีก”
“มันก็แค่ส่วนหนึ่ง” กู่ชิงลั่วตอบ
สถานะของตระกูลกู่ในภูผาสูญนั้นแปลกมาก
ด้านหนึ่งพวกเขาเป็นนักโทษและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่เข้มงวด แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาเป็นตระกูลที่ทรงพลังยิ่งกว่าใครในเผ่ามนุษย์ ความแข็งแกร่งที่เหลือเชื่อของพวกเขานั้นไม่มีใครเทียบได้
สถานะที่ขัดแย้งกันทั้ง 2 รวมกันทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูลกู่ขึ้น
ที่นี่ ลูกหลานศิษย์สาวกคนสำคัญของตระกูลจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่ธรรมดา แต่กับผู้ที่ถูกมองว่าไม่สำคัญนั้น จะถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอย่างเหลือเชื่อ แม้จะไม่ถูกหาเรื่องรังแกก็ตาม
เช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์ ในตระกูลกู่เองก็มีสถานะระดับชนชั้นต่าง ๆ อยู่มากมาย ราวกับสังคมที่ถูกย่อขนาดลง สิ่งที่ซูเฉินเห็นเป็นแค่เพียงส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งของสังคมที่ผิดรูปนี้
กู่ชิงลั่วนั้นโชคดีที่ถึงแม้จะเข้ามาด้วยสถานะของสมาชิกตระกูลสาขา แต่ก็ยังสามารถรักษาสถานะไว้ได้ เพราะได้รับความโปรดปรานจากมหาราชันเฒ่าทั้ง 3 ที่ตื่นขึ้น
ถึงอย่างนั้นในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้นางรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจอยู่ดี
คนรอบตัวกู่ชิงลั่วที่นี่ ไม่มีใครที่เรียกว่ามิตรสหายได้เลย หลายคนอิจฉาสถานะของนางและอยากจะเข้ามาแทนที่อยู่เสมอ แม้แต่คนที่อยากจะเกี่ยวดองด้วยก็ยังมี
หากมองในอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับการแย่งชิงอำนาจในวังหลังของเหล่านางสนมสักเท่าไหร่นัก แค่เปลี่ยนเป็นการแย่งชิงความโปรดปรานจากบรรพบุรุษของลูกหลานและศิษย์สาวกแทน
เดิมทีกู่ชิงลั่วไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเพียงใด ในช่วงแรกนางจึงต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย กู่ชิงลั่วนั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาด แต่นางไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องเล่ห์กลแบบนี้มาก่อน หลังจากที่ได้รับรู้ถึงความสกปรกในใจมนุษย์ นางก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น จนสามารถสั่งสอนบทเรียนกลับไปให้คนที่มายุ่งกับนางได้บ้าง ก่อนจะค่อย ๆ เสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของตัวเอง
สถานการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอม จิตใจและสติปัญญาของกู่ชิงลั่วให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้นางสามารถระบุได้จากการกระทำของหยางชุนหยานในทันทีว่าซูเฉินอยู่ที่นี่แล้ว และลงมือได้อย่างเด็ดขาด
มีคนไม่มากนักที่จะกล้าตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ ทั้งที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้เป็นจริงหรือไม่ โดยไม่แม้แต่ตรวจสอบอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะกู่ชิงลั่วไม่ได้ทำการตรวจสอบอะไรเลย หยางชุนหยานจึงถูกนางหลอก ไม่งั้นหากหยางชุนหยานมีข้อสงสัยแม้สักนิด แผนการของนางก็อาจจะล้มเหลวไปแล้ว
หลังจากอาศัยอยู่ในตระกูลกู่สายเลือดเดิมนี้มากว่า 2 ปี กู่ชิงลั่วก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งสองยังคงผลัดกันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากการแยกทางกันอยู่ข้างกองไฟ
ท้องฟ้ายามราตรีมืดลงมาก ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเข้านอนนานแล้ว แสงของกองไฟค่อย ๆ มอดลง มีเพียงซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
ซูเฉินกอดกู่ชิงลั่วไว้ในอ้อมแขนขณะที่พูดว่า “ค่ำมากแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนกันแล้ว”
“อืม” กู่ชิงลั่วขานตอบและขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายไม่ขยับเคลื่อนไหว
“มีถ้ำอยู่ตรงนั่น” ซูเฉินกระซิบ
กู่ชิงลั่วขดตัวแนบชิดมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ซูเฉินก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลและเดินเข้าไปในถ้ำ หลังจากพวกเขาเข้าไปด้านในแล้ว เกราะแสงพลังต้นกำเนิดก็ปรากฏที่ทางเข้า แยกด้านในของถ้ำออกจากโลกภายนอก
กังเหยียน อวิ๋นเป้า และ 12 ข้ารับใช้ดาบที่เหลืออีก 10 คนที่กำลังแอบดูอยู่ พากันหัวเราะและกลับไปทำธุระของตน
ด้านในถ้ำอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
หนังสัตว์อสูรถูกปูทั่วพื้น บนผนังด้านข้างก็มีตะเกียงผลึกแก้วแขวนอยู่
ซูเฉินวางกู่ชิงลั่วลงบนพรมหนังสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง ภายใต้แสงสลัวจากตะเกียง ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความเขินอาย
ยามนี้แตกต่างจากเมื่อยามทะเลาะก่อนจากกันในครานั้น ความรู้สึกที่กู่ชิงลั่วเก็บเอาไว้กว่า 2 ปีจนทำให้หัวใจของนางเริ่มเจ็บปวด ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแรงกระตุ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อช่วงเวลาเช่นนี้มาถึง ทุกอย่างจึงเป็นไปตามธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้ว่าจะยังเขินอายอยู่บ้างเล็กน้อย แต่นางก็รู้สึกคาดหวังยิ่งขึ้นอีก
กู่ชิงลั่วมองดูคนรักของนางด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนหวาน ดวงตาของซูเฉินด้วยเต็มไปประกายความหลงใหลไม่แพ้กัน
ความคิดเรื่องการวิจัยและอุดมคติทั้งหมดของเขา คงต้องถูกเก็บเอาไว้ด้านข้างไปก่อน เพราะในเวลานี้ การใช้ช่วงเวลากับคนตรงหน้านี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ชายหนุ่มโน้มตัวลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากของหญิงสาว
สัมผัสด้านในปากของพวกเขาสอดประสานกัน
อารมณ์ความปรารถนาเริ่มก่อตัวขึ้นจนถึงจุดที่ซูเฉินแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาคว้าเสื้อผ้าของกู่ชิงลั่ว และค่อย ๆ ปลดพวกมันออก เผยผิวขาวสวยอันอ่อนนุ่มที่อยู่ข้างใต้
จากนั้นซูเฉินก็โน้มตัวลงไปประกบจูบอีกครั้ง กู่ชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวงเบา ๆ อย่างมีความสุข
ชายหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวลงเพื่อจ้องมองหญิงสาว ทว่ากลับโดนนางกดหัวลงไปซุกหน้าอกของนาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นผิวกายที่หอมหวานของอีกฝ่ายลอยเข้ามาในจมูก ซูเฉินเริ่มสำรวจร่างกายของกู่ชิงลั่วทุกตารางนิ้วอย่างตะกละตะกลาม โดยไม่ยอมให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเล็ดลอดไปได้เลยแม้แต่น้อย
กู่ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นและเพลิดเพลินไปกับสัมผัสจากคนรัก ในขณะที่ความปรารถนาของนางค่อย ๆ ลุกไหม้แรงขึ้น หญิงสาวยังคงส่งเสียงครวงเบา ๆ เพื่อแสดงถึงความพึงพอใจของเจ้าตัว
เสียงครวญครางเหล่านี้กระตุ้นเร้าซูเฉินอย่างมาก ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเปลี่ยนสัมผัสอ่อนโยนให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เขาเริ่มคว้าจับหน้าอกของกู่ชิงลั่วอย่างแรง จนทำให้พวกมันเปลี่ยนรูปร่างไป
ทว่านางกลับดูจะสนุกและเพลิดเพลินกับสิ่งนี้มาก จนอดไม่ได้ที่จะร้องขออีกฝ่าย “แรงขึ้นอีกหน่อย … ”
การเคลื่อนไหวของซูเฉินจึงรุนแรงยิ่งขึ้นอีกในทันที
ปากของชายหนุ่มเริ่มขยับลงไปเบื้องล่าง จนกระทั่งหยุดอยู่ระหว่างขาทั้ง 2 ของหญิงสาว ก่อนจะหยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวของนางจนร่างของกู่ชิงลั่วสั่นกระตุกด้วยความเปรมปรีดิ์
กู่ชิงลั่วจับศีรษะของซูเฉินเอาไว้แน่น แล้วใช้เท้าของนางเขี่ยเสื้อผ้าของซูเฉินออกอย่างรวดเร็ว เผยร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง
ในที่สุด ก็ไม่เหลือเสื้อผ้าขวางกั้นระหว่างทั้งคู่อีกต่อไป
พวกเขาโอบกอดกันและกัน แลกเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกาย สัมผัสถึงความอ่อนโยนและความปรารถนาของคนรัก
หลังจากกอดกันชั่วครู่ ซูเฉินก็กลับมาที่สมรภูมิของเขาอีกครั้งและเริ่มบรรเลงเพลงจูบไปทั่วร่างของกู่ชิงลั่วต่อ
ตอนนี้เขาเริ่มหันมาโจมตีจากด้านหลัง
กู่ชิงลั่วรู้สึกราวกับร่างกายของนางถูกงูพันเอาไว้ การเคลื่อนไหวที่เร่าร้อนแผดเผาร่างกายของนางเป็นครั้งคราว ทำให้นางแทบจะสูญเสียการควบคุม
ขณะที่ซูเฉินกำลังจะโจมตีอีกครั้ง นางก็ผลักชายหนุ่มลง
นางกล่าวว่า “ข้าอยาก … ”
น้ำเสียงของกู่ชิงลั่วมุ่งมั่นและแน่วแน่อย่างยิ่ง
“ข้ายังไม่ … ” ซูเฉินอยากจะบอกว่าจังหวะบรรเลงเพลงเล้าโลมของเขายังไม่จบ แต่กู่ชิงลั่วก็พุ่งเข้าหาเขาแล้ว
“เอาไว้ต่อกันทีหลัง” นางกล่าว
จากนั้นหญิงสาวก็กลืนกินซูเฉินอย่างดุเดือด
ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาตกลงไปในทะเลที่อบอุ่น เป็นความอบอุ่นที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น
กู่ชิงลั่วเป็นเหมือนทะเล และเขาก็จมอยู่ในทะเลนั้น ทะเลที่หนีไม่พ้นและเขาเองก็ไม่คิดที่จะหนี
ดังนั้นชายหนุ่มจึงปล่อยตัวไปกับหญิงสาว และขยับเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
น่าตกใจที่ครานี้กู่ชิงลั่วกลายเป็นผู้ควบคุม
ตอนนี้นางเป็นฝ่ายโจมตีซูเฉิน ร่างกายของนางเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าหลงใหล
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนางจึงไม่ได้บอบบางเหมือนเด็กสาวส่วนใหญ่ ความแข็งแกร่งของแรงกายไม่ใช่ปัญหาเลย หญิงสาวสามารถเคลื่อนไหวแบบนี้ได้ทั้งวัน ดังนั้นนางจึงยังคงควบขี่ชายหนุ่มเบื้องล่างอย่างรุนแรงต่อไปไม่หยุด การเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนเช่นหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นการจู่โจมอย่างดุเดือดราวกับการควบม้าป่า
ซูเฉินสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่กระทบตัวเขาเป็นจังหวะ ทำให้ค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมตนเองไปทีละน้อย
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องที่สะกดกลั้นไว้พร้อมกับปลดปล่อยความปรารถนาทั้งหมดของตนให้ปะทุออกมา
“อา !” ซูเฉินครวญคราง
ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่สั่นสะท้านอย่างรุนแรงในเวลาเดียวกัน สั่นไปด้วยแรงอารมณ์เหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุขึ้น
พวกเขาหยุดเคลื่อนไหวลงครู่หนึ่งและโอบกอดกันแน่น
จู่ ๆ กู่ชิงลั่วที่นอนทับอยู่บนตัวซูเฉินก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง
เป็นเสียงหัวเราะที่เป็นอิสระและดูมีความสุขยิ่ง
“จบแล้ว ?” กู่ชิงลั่วถาม
“อืม” ซูเฉินตอบอย่างอ่อนโยน
แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เสริมว่า “นี่คือจุดจบ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นด้วยเช่นกัน”
ดวงตาของกู่ชิงลั่วทอประกายด้วยความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นอย่างเหลือล้น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับสูง ความแข็งแกร่งทางกายภาพกู่ชิงลั่วมากเกินพอที่จะเป็นฝ่ายควบคุม ในขณะที่ซูเฉินเองก็สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเพื่อรักษาสภาพสมบูรณ์พร้อมไว้ได้เป็นเวลานาน
เปลวไฟแห่งการต่อสู้กำลังจะลุกไหม้ขึ้นอีกครั้ง !