ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 136 คืนพลังกลับมา
บทที่ 136 คืนพลังกลับมา
ปัง ปัง ปัง ปัง !
เสียงของผืนดินที่แตกปะทุออกดังขึ้นเป็นสิ่งถัดไป
พื้นผิวของเขาพันพิษระเบิดออกราวกับว่ามีน้ำพุร้อนปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหันและคลื่นประหลาดสีดำก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากรูเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นบนพื้น
คลื่นพิษ !
เป็นคลื่นพิษที่น่ากลัวและร้ายกาจยิ่งนัก !
พิษที่พุ่งออกมานั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและห่อหุ้มทุกอย่างไว้อย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าพลันกลายเป็นสีดำไปในพริบตา
“คุณพระช่วย !” เค่อเหลยซีต๋าร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว
แม้แต่ซูเฉินก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
พลังเช่นนี้ทำให้ทั้งผืนปฐพีสะท้านได้เลยด้วยซ้ำ !
แม้แต่วิชาระดับต้องห้ามโดยปรมาจารย์อาร์คาน่าก็ยังไม่มีทางทรงพลังได้ขนาดนี้
ร่างที่ลอยอยู่ก่อนหน้านี้ซึ่งส่งหอกออกมาถูกหลอมละลายไปแล้วด้วยพิษจากพลังนั้น ร่างนั่นคงต้านทานการโจมตีได้เพียงสองถึงสามครั้งเท่านั้นก่อนที่จะล้มพับไป
เทพอสูรที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลนั้นเหนือไปว่าการที่วิชาต้องห้ามทั้งหลายถูกนำมาใช้พร้อมกันเสียอีก
นี่เป็นคำอธิบายได้อย่างดีว่าทำไมเทพอสูรเพียงหนึ่งเดียวจำเป็นต้องใช้พันธมิตรทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเพื่อจัดการ
เพราะว่ามันแข็งแกร่งเหลือเกินนั่นเอง !
และหากต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้เพื่อที่จะหยุดเทพอสูรแล้ว งั้นเทพอสูรบรรพกาลก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง !
อันที่จริง ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เทพอสูรนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเทพอสูรบรรพกาลเสียอีก
เพราะเทพอสูรบรรพกาลนั้นไม่สามารถปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้เช่นนี้ และพวกมันจะตายในไม่ช้าหลังจากฟื้นขึ้นมา
แม้ว่าเทพอสูรจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่พวกมันกลับมีความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า
หากต้องการ เทพอสูรก็สามารถที่จะสร้างหายนะได้ทันทีที่มันตื่นขึ้น
และด้วยเหตุนี้ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการกับพวกมัน ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาทั้งหมดจะต้องเป็นฝ่ายถูกกำจัดเสียเองอย่างแน่นอน
การที่ซูเฉินสามารถกระตุ้นและปลุกให้เทพอสูรตนนี้ตื่นจากหลับใหลได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะตื่นอยู่อย่างนี้นานเพียงไร แต่สิ่งที่รู้ตอนนี้ก็คือมือแห่งโชคชะตากำลังพบปัญหาใหญ่แล้ว !
ขณะที่เทพอสูรพลิกตัวไปมาอยู่ใต้ดิน เขาทั้งลูกก็สั่นสะท้านไปตามการเคลื่อนไหวของมันด้วย
เขาพันพิษเป็นเหมือนกับผ้าห่มที่คลุมตัวของอสูรเอาไว้ ในตอนนี้ที่มันตื่นขึ้นแล้วจึงไม่แปลกที่เจ้าตัวร้ายจะพยายามสะบัดผ้าห่มออกจากตัว แล้วเรือดไรที่อยู่ตามผ้าห่มนั่นละ…
ใครจะสนกัน !!
เสียง ‘คำราม’ นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงเสียงร้องด้วยความหงุดหงิดของเทพอสูรราวกับว่ามันรำคาญใจที่ถูกยุงกัดจนต้องตื่นขึ้นจากนิทรา
แน่นอนว่าปฏิกิริยาแรกเมื่อตื่นขึ้นก็คือต้องตบยุงตัวนั้นเพื่อกำจัดมันเสีย…
แม้ว่าปฏิกิริยาของมันจะช้าสักหน่อย แต่อสูรร้ายก็ไม่เว้นที่จะโจมตี
ตู้ม !
อวัยวะที่มีรูปร่างเหมือนหนวดปลาหมึกพุ่งขึ้นมาจากพื้นราวกับเสาต้นยักษ์และฟาดลงตรงที่ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋ายืนอยู่
ทั้งสองเห็นดังนั้นก็กระโดดหลบออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
การหลบหลีกนั้นไม่ได้ยากแต่อย่างใด เพราะอย่างไรแล้วการเคลื่อนไหวของเทพอสูรก็ค่อนข้างช้าทีเดียว
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะร่างของมันขนาดใหญ่เกินไปนั่นเอง
ขนาดที่ใหญ่โตทำให้ความว่องไวของเจ้าอสูรด้อยกว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั่วไปเช่นกันกับที่มนุษย์เชื่องช้ากว่ายุง น้อยนักที่คนคนหนึ่งจะสามารถตบยุงได้ขณะที่มันบินอยู่ในอากาศ โดยมากแล้วพวกมันมักถูกฆ่าขณะที่กำลังเกาะผิวหนังเพื่อดูดเลือดเสมอ
การหลบหลีกการโจมตีจากอสูรยักษ์ของเค่อเหลยซีต๋ากับซูเฉินนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากนัก
แม้ว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวจะสามารถสร้างพายุที่รุนแรงรอบบริเวณเป้าหมายได้ แต่มันก็ไม่ได้อันตรายกับผู้ถูกโจมตีนัก
ทว่าการที่พวกเขาปลอดภัยนั้นไม่ได้หมายความว่าคนอื่น ๆ จะปลอดภัยด้วยเช่นกัน
ฐานบัญชาการของมือแห่งโชคชะตาตั้งอยู่ที่นี่ และสมาชิกของพวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
เพียงแค่ไอหมอกที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินนั้นก็เพียงพอที่จะสังหารพวกเขาได้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
แม้ว่าคนของมือแห่งโชคชะตาจะมียาชนิดพิเศษ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ พิษบางชนิดนั้นไม่สามารถรักษาได้ ก่อนหน้านี้พวกมันถูกกักไว้เฉพาะในพื้นที่ต้องห้ามเท่านั้น ซึ่งหากไม่เข้าไปในนั้นก็ถือว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน
ทว่าในตอนนี้ หมอกพิษกำลังแพร่กระจายไปในทุกทิศทาง ไม่มีใครรู้เลยว่าพิษชนิดไหนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ !
ในชั่วพริบตานั้น สมาชิกของมือแห่งโชคชะตาจำนวนนับไม่ถ้วนกลายสภาพเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น
อันที่จริงแล้วพวกเขาโชคดีทีเดียว หลายคนไม่ได้ตายในทันทีหลังจากที่สัมผัสกับหมอกและกลายสภาพเป็นผีดิบ คนพวกนั้นต่างเริ่มจู่โจมเข้าใส่อดีตสหายของตัวเอง ผีดิบเหล่านี้ถูกควบคุมโดยพิษร้ายและก็ยังเอาพิษเข้าไปในร่างของตัวเองเรื่อย ๆ อีกด้วย หากเข้าใกล้พวกเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และพิษนี้ยังไม่มียาใดที่จะรักษาให้หายได้เลย
ฐานบัญชาการของมือแห่งโชคชะตาถูกกลืนกินโดยหมอกพิษจนหมดสิ้น ไม่มีใครรู้ว่ามีปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งต้องเสียชีวิตไปมากมายเพียงไร
“สารเลว !” เค่อเหลยซีต๋าปวดใจเหลือเกินจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ทุกอย่างที่เขาสร้างมาเป็นเวลานานหลายปีถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
จะไม่ให้เขาเสียใจได้อย่างไรกัน !!
เขาเหลือบมองซูเฉิน
ซูเฉินยักไหล่ “ข้าเตือนท่านแล้ว”
ใช่… ชายหนุ่มเตือนเค่อเหลยซีต๋าแล้ว แต่เค่อเหลยซีต๋าเป็นฝ่ายไม่ใส่ใจในคำเตือนนั้นเอง
ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
เขาไม่มีทางหันหลังกลับไปได้ เค่อเหลยซีต๋าได้แต่จ้องซูเฉินเขม็งด้วยความเดือดดาล “ในเมื่อเจ้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี ข้าก็จะทำลายเจ้าบ้าง !”
พูดจบเค่อเหลยซีต๋าก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าซูเฉิน
สิ่งเดียวที่เขาต้องการในนาทีนี้ก็คือการสังหารซูเฉิน !
เทพอสูรตื่นขึ้นมาแล้ว และพื้นที่หวงห้ามก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน ซูเฉินสูญเสียพื้นที่ที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบไป และเค่อเหลยซีต๋าก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้แน่ …สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่หลบน้ำพุพิษพวกนั้นให้ได้เท่านั้น !
ในทางตรงกันข้ามนั้น ฝ่ายซูเฉินไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อสู้กับเค่อเหลยซีต๋าเลยแม้แต่น้อย เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีจากเค่อเหลยซีต๋า ร่างของเขาก็หายวับไปก่อนจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในกลุ่มไอหมอก… เขายอมให้หมอกพิษห่อหุ้มตัวเองไว้เสียอย่างนั้น
ไม่มีพิษชนิดใดที่สามารถทำอะไรชายหนุ่มได้ !
ด้วยคัมภีร์หนังแกะแล้ว ซูเฉินไม่เกรงกลัวพิษพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งนี่ถือเป็นไม้ค้ำยันที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
แม้ไม่มีพื้นที่หวงห้าม เทพอสูรก็ยังอยู่ในบริเวณนั้นและหมอกพิษก็ยังคงผุดออกมาจากใต้พื้นดินอย่างต่อเนื่อง หากไม่กลัวตาย… เค่อเหลยซีต๋าจะเข้ามาจับตัวซูเฉินก็ได้
เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่กลัวหมอกพิษ เค่อเหลยซีต๋าถึงกับสมองชาและคิดอะไรไม่ออก
ศัตรูของเขายากเกินกว่าที่จะจัดการได้เสียแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเค่อเหลยซีต๋าจะไร้ซึ่งพลังอำนาจใด ๆ แค่เพราะซูเฉินซ่อนตัวอยู่ในหมอกพิษนั้นไม่ได้แปลว่าเขาจะหาวิธีบังคับให้ซูเฉินต้องออกมาไม่ได้เสียหน่อย
วิชาอาร์คาน่าในตำนานกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
คราวนี้วิชาอาร์คาน่ากำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปค้อนที่ประกอบขึ้นจากสายฟ้า มันพุ่งเข้าใส่ซูเฉินทันทีที่ปรากฏร่างสมบูรณ์ พลังอันน่าเกรงขามของค้อนนั้นทำให้หมอกพิษต้องถอยหนีเสียด้วยซ้ำ
ซูเฉินหายตัวหนีไปด้วยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย และปรากฏตัวอีกครั้งที่ในม่านหมอกอีกจุดหนึ่ง
ด้วยไอหมอกที่อยู่ตรงหน้า ซูเฉินจึงไม่จำเป็นต้องสู้ตอบกับฝ่ายตรงข้าม เขาเพียงต้องฆ่าเวลาเท่านั้น
เทพอสูรยังคงไม่ปรากฏกายออกมาให้เห็น
พื้นดินเริ่มสะท้านอย่างรุนแรงขึ้นพร้อมกับเศษหินที่กระเด็นกระดอนไปทั่ว หมอกพิษลอยขึ้นไปในอากาศและรวมตัวกันจนเกิดเป็นเมฆก้อนใหญ่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณให้มืดมิดราวกับเป็นเวลากลางคืน
ทุกคนที่อยู่ที่นี่กำลังพบกับปัญหาใหญ่แล้ว แม้จะมียาแก้พิษ… แต่พวกเขาก็จะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะหายนะครั้งนี้อย่างแน่นอน
ความวิบัติครั้งนี้คร่าชีวิตคนของมือแห่งโชคชะตาไปเป็นจำนวนมาก และซูเฉินก็ถือว่าได้ช่วยอาณาจักรแห่งหมู่เมฆครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้
แต่ถึงอย่างนั้น อาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็ไม่ได้ขอบคุณเขาอยู่ดี… พวกนั้นจะเกลียดซูเฉินยิ่งขึ้นเสียมากกว่า !
เพราะเผ่าปักษากำลังจะเป็นรายถัดไป
ผืนปฐพีดูเหมือนจะค่อย ๆ เปิดออก
หมอกพิษพุ่งขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและทำให้เค่อเหลยซีต๋าต้องหลีกทางออกไปอีกครั้ง
จุดที่ยืนอยู่นั้นทำให้เขาได้เปรียบและสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังคืบคลานออกมาจากใต้ดิน ไม่ช้าทั้งร่างอสูรก็คงจะปรากฏขึ้นมาให้ทุกคนเห็นอย่างแน่นอน
และแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่อยากจะปล่อยซูเฉินไปแบบนั้น
“ชุยอวี่คงเหิน ตายซะ !” เสียงกู่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง
ซูเฉินไม่ลังเลที่จะหลบออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่เพียงใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย แต่ยังใช้ร่างแยกโลหิตอีกร่างหนึ่งด้วย ตอนนี้ชายหนุ่มสะสมเลือดไว้ได้มากพอประมาณแล้วหลังจากที่ได้มุ่งมั่นมานานหลายปี
เมื่อเทียบกันแล้ว โชคดูเหมือนจะไม่เข้าข้างฝ่ายเค่อเหลยซีต๋าเท่าไรนัก
สนามพลังที่เขาพยายามจะใช้เพื่อตรึงการเคลื่อนไหวของซูเฉินนั้นไม่สามารถใช้งานได้เลย เพราะเทพอสูรที่กำลังตื่นขึ้นได้ทำให้พลังต้นกำเนิดในบริเวณใกล้เคียงแตกกระเจิงไปหมดแล้ว สนามพลังใด ๆ ก็ตามที่เค่อเหลยซีต๋าพยายามจะปล่อยออกมาจะถูกทำลายในทันทีโดยอสูรนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้แต่หวังว่าซูเฉินจะสามารถหนีไปได้
หากซูเฉินหนีไปได้ เขาก็หลุดออกไปจากพลังต้นกำเนิดที่แปรปรวนในบริเวณนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาจะสามารถตรึงการเคลื่อนไหวของซูเฉินได้อีกครั้ง และจับตัวชายหนุ่มไว้ได้ในที่สุด
ทว่าซูเฉินไม่ได้พยายามที่จะหนีแต่อย่างใด เขายังคงใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเพื่อหลบไปอยู่ในกลุ่มหมอกตามจุดต่าง ๆ และเค่อเหลยซีต๋าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
อันที่จริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังพยายามจะถ่วงเวลา
ซูเฉินทำแบบนั้นก็เพราะเมื่อเค่อเหลยซีต๋าไม่สามารถต้านทานแรงกดดันและถอยกลับไปได้ เขาก็จะมีโอกาสหนีในที่สุด
ส่วนเค่อเหลยซีต๋าที่กำลังถ่วงเวลาก็เพราะเขากำลังรอให้ซูเฉินหนี และนั่นจะเป็นโอกาสให้กับเขา
ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ที่สามารถทนอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายในสถานการณ์ที่บ้าคลั่งนี้จะกลายเป็นผู้ชนะไปในท้ายที่สุด
ทั้งซูเฉินและเค่อเหลยซีต๋า ไม่มีใครอยากยอมแพ้ ชายทั้งสองจึงยังพยายามต้านทานต่อไป
ซูเฉินมีคัมภีร์หนังแกะและไม่เกรงกลัวต่อพิษที่ร้ายแรง ในขณะที่เค่อเหลยซีต๋านั้นก็แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อและสามารถหลบหลีกหมอกพิษที่รอบตัวได้เสมอ
ทั้งคู่ยังคงยื้อเวลาอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้อีกนานนัก
เพราะเทพอสูรกำลังจะปรากฏกายขึ้นแล้ว !
รอยแยกที่บนพื้นขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างใต้นั้นก็เริ่มจะเผยกายออกมา
ตุ้บ ! ตุ้บ ! ตุ้บ ! เสียงนั้นดังสนั่นขึ้นเป็นจังหวะจนสะท้านเข้าไปถึงหัวใจของซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋า เลือดลมของทั้งสองพลุ่งพล่านทันที
มันคือเสียงหัวใจของเทพอสูรนั่นเอง
เพียงแค่เสียงหัวใจของมันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลแล้ว
และแรงกดดันนั้นก็เพิ่มมากขึ้นทุกที
ยิ่งมันเผยกายออกมามากขึ้น แรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
“อ๊าก !” หนึ่งในคนของมือแห่งโชคชะตาที่หลบหลีกไปจากหมอกพิษได้พลันเงยหน้าและร้องขึ้นก่อนที่ร่างของเขาจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ
แรงกดดันจากเทพอสูรสังหารเขาเสียแล้ว !
แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารที่ตรงหน้าและรู้สึกว่าตัวเองคงต้านทานไม่ได้เช่นกัน
ทั้งที่ร่างกายของเขาเองเทียบได้กับนักรบโทเทมระดับสูงสุด !
ความยิ่งใหญ่ของอสูรร้ายช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน
แต่ซูเฉินก็ไม่ได้คิดจะถอยแต่อย่างใด
ซูเฉินไม่ถอย และเค่อเหลยซีต๋าก็เช่นกัน ทั้งสองพุ่งตัวไปมาผ่านม่านหมอกพิษเพื่อไล่ล่ากันเองขณะที่ชีวิตทั้งคู่ก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะหมอกพวกนั้นด้วย
ใครก็ตามที่อยู่รอดในหมอกนี้ได้นานกว่าจะเป็นผู้ชนะ !
ส่วนหัวของอสูรร้ายพุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมาแล้ว
หัวขนาดยักษ์นั้นมีสีเขียวอมน้ำเงินและแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเพียงส่วนหัวอย่างเดียวก็สามารถทำให้ซูเฉินต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะได้แล้ว ชายหนุ่มไม่สามารถใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้ในชั่ววินาทีนั้น ต้องขอบคุณที่เค่อเหลยซีต๋าเองก็ได้รับผลกระทบที่คล้ายกัน เขาจึงไม่สามารถใช้โอกาสนี้ในการทำตามแผนของตัวเองได้
ไม่มีใครทำอะไรได้มากกว่านั้น
ไม่ช้าทั้งคู่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
เทพอสูรขนาดมหึมานั้นเงยหน้าและร้องคำรามขึ้นในอากาศ
เสียงคำรามเพียงหนึ่งครั้งนั้นทำให้ทั้งซูเฉินและเค่อเหลยซีต๋าสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไปจนเสียหลักล้มลงบนพื้น
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย