ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 137 เสี่ยงชีวิตเป็นพิเศษ
บทที่ 137 เสี่ยงชีวิตเป็นพิเศษ
เสียงคำรามของเทพอสูรทำให้ทุกอย่างเหี่ยวเฉาลงในทันที !
ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานความยิ่งใหญ่ของอสูรร้ายได้
ซูเฉินเองก็เช่นกัน
หรืออย่างน้อย… ก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้
แต่เมื่อเสียหลักล้มลงบนพื้นแล้ว เขาก็ตัดสินใจทำบางอย่างในทันที
เขาหยิบเอาเครื่องมือต้นกำเนิดออกมาชิ้นหนึ่ง
มันคือ ‘กระดานเหาะ’ นั่นเอง
กระดานเหาะเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดสำหรับเหาะเหินไปในอากาศ ผู้ใช้งานจะสามารถยืนบนเครื่องมือชิ้นนี้และเหาะไปได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารหรือปรมาจารย์อาร์คาน่าเผ่าปักษาส่วนมากแล้ว อุปกรณ์แบบนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย
มันเป็นเพียงเครื่องมือต้นกำเนิดระดับล่างเท่านั้น
ซูเฉินไม่ได้ซื้อเครื่องมือต้นกำเนิดชิ้นนี้มาจากที่ไหน แต่อันที่จริงแล้วเขาสร้างมันขึ้นมาจากสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในครอบครอง ซึ่งการสร้างเครื่องมือต้นกำเนิดระดับล่างชิ้นนี้ทำให้ชายหนุ่มมีความได้เปรียบมากขึ้นท่ามกลางสถารการณ์เช่นนี้
พลังของเทพอสูรมีผลต่อพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและสามารถแทรกแซงการเคลื่อนที่ของพลังต้นกำเนิดได้
แต่อำนาจของเทพอสูรไม่ได้มีผลต่อเครื่องมือที่ไร้ซึ่งชีวิตแต่อย่างใด
และเพราะเครื่องมือนั้นไม่มีชีวิต ไม่ว่าอสูรร้ายจะแข็งแกร่งเพียงใด ความสามารถของเครื่องมือก็ยังสามารถทำงานได้ดังเดิมอยู่ดี
เครื่องมือต้นกำเนิดในลักษณะนี้ส่งผลกับตัวมันเองเท่านั้น และแทบไม่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมอื่น ๆ รอบตัวมันเลย
ซูเฉินกับผ้าเท่อลั่วเค่อได้เตรียมการในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้อย่างแข็งขัน ในระหว่างนั้น พวกเขาพบบันทึกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และเทพอสูรถึง 9 บันทึกด้วยกัน และได้อ่านพวกมันอย่างละเอียดด้วยหวังจะได้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง หนึ่งในข้อที่สำคัญที่สุดจากการพบบันทึกเหล่านั้นก็คือการที่เครื่องมือต้นกำเนิดนั้นมีบทบาทสำคัญทีเดียวหากใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถต้านทานพลังของเทพอสูรได้ด้วยตัวเอง
ในอดีตนั้น พวกมนุษย์อาศัยจำนวนคนที่มากกว่า แล้วก็ยังอาศัยเครื่องมือต้นกำเนิดจำนวนมากเพื่อตามล่าเทพอสูรทั้งหลายด้วย
ทุกครั้งที่อสูรร้ายส่งเสียงคำรามและทำลายทุกอย่างรอบตัวมัน ใครก็ตามที่ไม่สามารถต้านทานพลังของมันได้ก็จะสามารถใช้เครื่องมือต้นกำเนิดเพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ต่อไปและโจมตีเทพอสูร ดังนั้นการตายของพวกเขาจึงถือว่าไม่สูญเปล่าเลย
นี่เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ซูเฉินค้นพบขณะพยายามที่จะหาวิธีในการจัดการกับเทพอสูร
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้หลงผิดคิดไปว่าเขาจะสามารถเอาชนะอสูรนี้ได้ด้วยเครื่องมือต้นกำเนิดเพียงชิ้นเดียวนี้ แต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็สามารถปลอดภัยอยู่ในอากาศต่อไปได้
ด้วยกระดานเหาะนี้ เขาสามารถทะยานไปได้ด้วยความเร็วสูง
เค่อเหลยซีต๋ากู่ร้องขึ้นในขณะเดียวกัน
เสียงคำรามนี้เทียบไม่ได้กับเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้มวลอากาศรอบตัวเขาพลันจับตัวกันแน่นขึ้นได้
กฎแห่งพลังสายฟ้านั่นเอง
คราวนี้มันกำลังถูกใช้เพื่อคงสภาพพลังต้นกำเนิดของเขา
กฎแห่งพลังจะยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงด้วยพลังต้นกำเนิดที่แปรปรวนมากกว่า ทว่าแม้ผลของมันจะอ่อนลง แต่กฎแห่งพลังสายฟ้าก็สามารถทะลวงผ่านแรงกดดันที่แพร่ออกมาจากเทพอสูรได้ เขาหาจุดที่ปลอดภัยให้กับตัวเองในสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้ในที่สุด
แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เดียวที่เขาสามารถคิดออกได้
เทพอสูรยังคงเผยตัวขึ้นมาจากใต้พื้นดินมากขึ้นพร้อมกันกับที่แรงกดดันก็ยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง !
กระดานเหาะและกฎแห่งพลังสายฟ้าอาจช่วยซูเฉินและเค่อเหลยซีต๋าในการคงสถานการณ์ได้ก็จริง แต่ร่างของพวกเขาก็ยังต้องต้านทานกับแรงกดดันที่รุนแรงจากอสูรร้ายอยู่ดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เช่นนี้แล้ว ชายทั้งสองเหมือนเป็นเพียงยุงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอเท่านั้น
แต่เพราะว่าพวกเขาอยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้
ตอนนี้แทบทั้งร่างของเทพอสูรได้ปรากฏขึ้นเหนือผืนปฐพีแล้ว และร่างของมันก็คือคางคกขนาดยักษ์
ส่วนหัวแบน ๆ รูปสามเหลี่ยม หลังที่ปูดโปน และเสียงร้องนั้นบ่งบอกถึงชนิดของมันได้เป็นอย่างดี อสูรตนนี้เป็นคางคกอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นคางคกที่มีพิษเหลือร้ายนัก !
ลักษณะที่พิเศษของมันเป็นอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก ทุกรูบนผิวหนังที่หลังของมันล้วนเป็นตาพิษทั้งสิ้น ซึ่งตาพิษแต่ละอันนั้นเต็มไปด้วยพิษหลากหลายชนิดที่ถูกผสมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นพิษที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาถอนพิษเพียงชนิดเดียว สิ่งนี้เองที่เป็นแหล่งที่มาของพิษในเขาพันพิษ พิษที่ทรงพลังพวกนั้นมาจากร่างของเทพอสูร และแม้แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ
แต่แล้วพิษของอสูรร้ายกลับถูกทำให้สิ้นสภาพด้วยฝีมือของชายเพียงคนเดียว และสิ่งนั้นก็คือการต่อสู้ระหว่างซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋านั่นเอง
ทว่าในตอนนี้ที่เทพอสูรได้ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่ง พิษของมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดอีกต่อไป พลังที่แท้จริงของอสูรร้ายเหนือกว่าพิษของมันหลายเท่า
ความยิ่งใหญ่ของเทพอสูรไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินหรือเค่อเหลยซีต๋าจะต้านทานได้
คางคกพิษเริ่มส่งเสียงร้องคำรามขึ้นทันทีที่ปรากฏตัว
แม้ว่าเสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดจะมีสาเหตุมาจากการถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากฝันอันรื่นรมย์ แต่อสูรร้ายก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เค่อเหลยซีต๋ากับซูเฉินแต่อย่างใด ยุงทั้งสองยังไม่มีค่ามากพอสำหรับความสนใจของมัน ดูเหมือนว่าคางคกยักษ์จะรู้สึกหงุดหงิดใจและต้องการเพียงส่งเสียงคำรามเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น
เป็นธรรมชาติของคางคกอยู่แล้วที่จะทำเช่นนั้น
ทว่าเสียงคำรามนั้นดังขึ้นในแบบของเทพอสูรและดังก้องไปไกลทั่วทุกทิศทาง
ผู้ทรงอำนาจทั้งหลายของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ พวกเขารู้แล้วว่าบางอย่างที่น่ากลัวได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว
เค่อเหลยซีต๋ากับซูเฉินรู้สึกอ่อนล้าเมื่อสัมผัสกับเสียงคำรามนั้น โชคดีที่เสียงดังกล่าวไม่ได้มีกฎแห่งพลังอยู่ด้วย ดังนั้นซูเฉินจึงสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยกำแพงใจ และเค่อเหลยซีต๋าก็ใช้กฎแห่งพลังของเขา แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ตกใจไม่น้อยเลย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ซูเฉินจึงร้องขึ้น “เค่อเหลยซีต๋า ท่านยังพยายามจะสู้อยู่อีกหรือ ? เรามาร่วมมือกันให้รอดชีวิตก่อนดีกว่าไหม ?”
เค่อเหลยซีต๋าตอบกลับไปอย่างเดือดดาล “ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางร่วมมือกับเจ้าเด็ดขาด !”
สิ้นคำ เขาก็โจมตีซูเฉินอีกครั้งด้วยสายฟ้า
ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะไหลลื่นไปตามสถานการณ์เหมือนอี่หนี่เก้อ เค่อเหลยซีต๋าเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะรักศักดิ์ศรีของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด
ซูเฉินได้จัดการกับมือแห่งโชคชะตาด้วยวิธีการที่รุนแรงมาแล้วก่อนหน้านี้ เขาจึงเกลียดซูเฉินเข้ากระดูกดำ เค่อเหลยซีต๋ายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้สังหารซูเฉิน และในตอนนี้เขาเชื่อแม้กระทั่งว่าตัวเองไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกแล้ว
“เอาเถอะ แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน” ซูเฉินรู้ดีว่าการพยายามคุยด้วยเหตุผลกับเค่อเหลยซีต๋านั้นไม่มีประโยชน์
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือต่อสู้
ซึ่งขณะที่ชายทั้งสองต่อสู้กัน เทพอสูรคางคกพันพิษก็ต่อสู้ด้วย
สายหมอกมากมายยังคงล่องลอยอยู่ทั่วในอากาศ
เทพอสูรคางคกพันพิษสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมายแล้วในตอนนี้
และนั่นก็เพราะคางคกยักษ์รู้สึกไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่นี้ จึงทำให้มันอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย
มันพ่นก้อนหมอกพิษออกมามากมายราวกับว่าต้องการจะใช้หมอกนั้นเพื่อห่อหุ้มตัวเองเอาไว้
มันคือปฏิกิริยาตามสัญชาติญาณของอสูรร้ายที่ต้องการจะปรับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันเอง โชคไม่ดีนักที่มันไม่แข็งแกร่งพอที่จะแปรสภาพแวดล้อมทั้งหมดของทวีปต้นกำเนิดได้ และอันที่จริงแล้ว การที่มันทำเช่นนั้นก็ยังส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างรุนแรงจากผืนทวีปเองอีกด้วย
ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋ามองดูกระแสวนปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยความประหลาดใจ กระแสวนนี้เป็นเหมือนหลุมดำที่หมุนอย่างต่อเนื่อง และดูดเอาพิษจำนวนมากเข้าไปจนไม่เหลือร่องรอยของพิษเหล่านั้นอยู่ในอากาศอีก ความพยายามในการปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวของเทพอสูรคางคกพันพิษไม่เป็นผลเสียแล้ว
อสูรร้ายคำรามอย่างเดือดดาล กระแสวนยังคงหมุนวนต่อไปอย่างนั้นหลังจากดูดพิษร้ายเข้าไปแล้ว มันดูเหมือนดวงตาสีเขียวขนาดใหญ่ที่มองไปยังคางคกพิษอย่างเย็น
“นั่นมัน…” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
“กฎแห่งพลังหรือ ?” เค่อเหลยซีต๋าเองก็ตะลึงเช่นกัน
ปาฏิหาริย์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาคือกฎแห่งพลังที่น่าทึ่งนั่นเอง
กฎแห่งพลังที่ปรากฏในคราวนี้แข็งแกร่งกว่ากฎแห่งพลังที่เค่อเหลยซีต๋าเป็นผู้ควบคุมหลายเท่านัก
ราวกับว่าสรวงสวรรค์ต้องการที่จะหยุดความยิ่งใหญ่ของคางคกยักษ์เอาไว้เพียงเท่านั้นและไม่ให้มันแข็งแกร่งยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ดูเหมือนว่ามีตาข่ายขนาดใหญ่ที่กำลังตรึงพลังของเทพอสูรคางคกพันพิษเอาไว้ เพียงแต่ว่ารูของตาข่ายนั้นมีขนาดใหญ่เหลือเกินจนซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าไม่สามารถมองเห็นได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพยายามจะหลีกเลี่ยงจากการเผชิญหน้ากับคางคกพันพิษ
อันที่จริงแล้วการปรากฏตัวของกระแสวนกลับทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก
และเพราะกฎแห่งพลังที่ตรึงไว้ คางคกยักษ์จึงยิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้นไปอีก มันไม่มีหนทางในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อีก จึงได้แต่คำรามอย่างเดือดดาลและฟาดงวงฟาดงาจนทำให้พื้นดินโดยรอบแตกออกและเกิดเป็นฝุ่งคลุ้งขึ้นมากมาย แต่กฎแห่งพลังก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะฝุ่นคลุ้งนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
ขณะที่อสูรร้ายต้องการเพียงแค่จะระบายความขุ่นเคืองใจและส่งคลื่นพลังออกไปในทุกทิศทางนั้น ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าก็ตกอยู่ในสถานพที่สิ้นหวังในทันที
แต่ถึงอย่างนั้น… เค่อเหลยซีต๋าก็ยังคงใช้ทุกโอกาสในการโจมตีซูเฉินต่อไป
หอกที่ทำขึ้นจากสายฟ้าพุ่งฝ่าอากาศไปยังซูเฉินเล่มแล้วเล่มเล่า หอกแต่ละเล่มนั้นทรงพลังเหลือเกิน เมื่อรวมเข้ากับหมอกพิษที่กระจายไปทั่วแล้ว นั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก
เค่อเหลยซีต๋าเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน เมื่อโจมตีอย่างสุดกำลังจึงทำให้ความยิ่งใหญ่ที่น่าทึ่งถูกแสดงออกมา และที่สำคัญที่สุดก็คือ เค่อเหลยซีต๋ายังมีวิชาอาร์คาน่าในตำนานที่เรียกว่า ‘สัมผัสที่หก’ ที่สามารถเตือนเขาล่วงหน้าถึงอันตรายหรือภัยใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเขาใช้มันนานเท่าไร วิชานั้นก็ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป สัมผัสที่หกของเค่อเหลยซีต๋าก็ยิ่งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงโจมตีได้อย่างอิสระมากขึ้น และแม้ว่าจะเป็นเป้าหมายของกระแสหมอกพิษและกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวนัก แต่ดูเหมือนว่าพิษนั้นจะไม่ได้ทำอันตรายเขาแต่อย่างใด
ซูเฉินเองก็รู้ดีว่าเค่อเหลยซีต๋ามีวิชานั้น และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้ทันทีว่าเค่อเหลยซีต๋ากำลังใช้มันอยู่
“ข้าได้ยินว่าท่านจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อต่อสู้มากขึ้น แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นกับตาแล้ว” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
สัมผัสที่หกมีอิทธิฤทธิ์สมชื่อการเป็นวิชาอาร์คาน่าในตำนานจริง ๆ แม้ว่าเทพอสูรจะกำลังโจมตีเขาอยู่ แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ยังหาโอกาสโจมตีซูเฉินได้เรื่อย ๆ
และนั่นก็เพราะคางคกยักษ์ไม่ได้มองว่าเขาเป็นศัตรูนั่นเอง
ยุงตัวน้อยทั้งสองไม่ควรค่ากับเวลาที่มันจะต้องไปใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
แต่หากพวกเขากล้าที่กัดและดูดเลือดของอสูรร้ายแล้วละก็… สถานการณ์จะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน !
ซูเฉินถอนใจ “ดูเหมือนว่า… ข้าจะต้องเสี่ยงชีวิตมากกว่านี้อีกสักหน่อยสินะ”
สิ้นเสียงนั้น ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของเขา ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องการปกปิดตัวตนอีกต่อไป ร่างยักษ์สี่หน้ากวัดแกว่งใบมีดที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีดำในทันที
ซูเฉินอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ดาบศิราทองคำกำลังเปล่งแสงอย่างเต็มที่ขณะที่ซูเฉินฟาดฟันมันลงไปอย่างเต็มกำลัง
แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่ เค่อเหลยซีต๋า
เค่อเหลยซีต๋าตะลึง “อย่า…”
ทว่าเสียงของเขาไม่สามารถหยุดซูเฉินได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ช้าดาบศิราทองคำก็ฟันลงบนร่างของคางคกพันพิษอย่างแรง
การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นจากพลังทั้งหมดที่ซูเฉินมี และนั่นรวมถึงพลังกาย พลังของปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 และกฎแห่งพลังของลมและสายฟ้าอีกด้วย
คมดาบที่ฟันลงนั้นรุนแรงพอที่จะทำลายภูเขาและสังหารผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ ซูเฉินอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับขีดจำกัดของมนุษย์เต็มทีแล้ว
แม้ว่าการโจมตีนั้นจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเทพอสูรมากนัก แต่พลังของมันก็มากพอที่จะสร้างบาดแผลและทำให้คางคกยักษ์เลือดออกได้
ฟึ่บ !
คมดาบเฉือนเข้าไปในเนื้อของอสูรร้ายและเลือดสีม่วงคล้ำก็พุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
แม้ว่าเลือดนั้นจะดูเหมือนพุ่งออกมาอย่างแรง แต่มันก็เป็นเพียงบาดแผลที่ไม่ต่างอะไรไปจากการถูกยุงกัดเท่านั้น
แต่แผลจากยุงกัดพวกนั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้มันฉุนเฉียว !!
“กรรรร !” เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังขึ้นอีกครั้ง คางคกพันพิษหันมา
คราวนี้มันจ้องเขม็งมาที่ซูเฉินและเค่อเหลยซีต๋า !
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย