ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 139 อารามแห่งแม่พระ (1)
บทที่ 139 อารามแห่งแม่พระ (1)
ซูเฉินทะยานขึ้นไปในอากาศราวกับสายฟ้า
ในที่สุดเขาก็หนีไปได้ เมื่อการเสี่ยงชีวิตของเขาให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว ซูเฉินก็สามารถเบนความสนใจของเค่อเหลยซีต๋าได้อีกครั้ง
เขาสร้างร่างแยกขึ้นมาจากแก่นโลหิตที่เก็บสะสมไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการควบคุมมันเป็นเวลานานสักหน่อยจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาที่หมดแรงที่จะทำเช่นนั้นต่อไป ซูเฉินก็คงจะหนีไปได้ไกลแล้ว
ส่วนคางคกพันพิษนั้น ซูเฉินไม่ได้เป็นกังวลมากนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้คิดว่าเขาเป็นอันตรายต่อมันอยู่แล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์นั้นจะได้รับการแก้ไขแล้ว
ซูเฉินยังไม่ลืมวิชาที่เค่อเหลยซีต๋าใช้ในการไล่ล่า ทันทีที่เค่อเหลยซีต๋าค้นพบว่าร่างนั้นคือร่างลวงของฝ่ายตรงข้าม เขาก็หันหน้ากลับมาไล่ล่าร่างจริงในทันที ซึ่งอันที่จริงแล้วซูเฉินเองก็สัมผัสได้ตั้งแต่หนึ่งก้านธูปก่อนแล้วว่าร่างแยกของเขาได้ตายไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่หวังว่าร่างแยกนั้นจะซื้อเวลาให้เขาได้มากพอและวิชาไล่ล่าของเค่อเหลยซีต๋าจะไม่สามารถตามรอยเขาได้ ไม่เช่นนั้นแล้วซูเฉินจะต้องพบกับปัญหาใหญ่แน่นอน
ขณะที่ซูเฉินเหาะต่อไปในอากาศ จู่ ๆ เขาก็พลันรู้สึกใจหายขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปและพบกับใครคนหนึ่งที่กำลังตามล่าเขาอยู่
เค่อเหลยซีต๋านั่นเอง !
“บรรลัยสิ !” ซูเฉินอดสบถออกมาไม่ได้
วิชาในการไล่ล่าชนิดนี้ช่างเหนือจินตนาการจริง ๆ เค่อเหลยซีต๋าสามารถติดตามเขามาจากระยะทางที่ไกลถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน ?
“ชุยอวี่คงเหิน เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก !” เค่อเหลยซีต๋ากู่ร้องขึ้น
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าละนับถือท่านนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถไล่ตามข้าได้”
สิ้นคำนั้นร่างของชายหนุ่มก็หายวับไป
วิชาภูติลั่นแสงนั่นเอง…
หลังจากออกมาจากเขาพันพิษแล้ว ซูเฉินก็คำนึงถึงเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน และได้สร้างร่างแยกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง
ร่างแยกเหล่านี้สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ตามต้องการเพราะพวกมันไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเค่อเหลยซีต๋า ดังนั้นร่างทั้งหลายจึงแยกย้ายกันไปคนละทางในระยะทางที่เท่า ๆ กันกับซูเฉินในร่างจริง
เค่อเหลยซีต๋าไล่ตามร่างจริงได้ทัน แต่ซูเฉินก็ยังมีร่างแยกอยู่อีกจำนวนมากและยังสามารถเคลื่อนกายหายไปที่ไหนก็ได้ที่เขาต้องการ
เค่อเหลยซีต๋าผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าร่างของฝ่ายตรงข้ามหายไป เขาหยิบเอาผลึกแก้วออกมาจากแหวนต้นกำเนิด นี่เองคือสิ่งที่ช่วยให้เขาสามารถมองเห็นร่างของซูเฉินที่กำลังหนีไปได้
“ตรงนั้น !” เค่อเหลยซีต๋าทะยานออกไปอีกทางหนึ่งโดยไม่รอช้า
ในระหว่างนั้น ร่างแยกร่างหนึ่งของซูเฉินที่กำลังเหาะผ่านไปในอากาศพลันก่อตัวขึ้นเป็นกายหยาบ… ร่างที่แท้จริงได้แทนที่ร่างแยกนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูเฉินพ่นลมด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นว่ารอบตัวนั้นว่างเปล่า เขาส่งร่างแยกออกไปรอบ ๆ อีกจำนวนหนึ่งก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางต่อไป
ชายหนุ่มมั่นใจทีเดียวว่าเค่อเหลยซีต๋าจะต้องมาถึง ณ ที่ตรงนั้นไม่ช้าไม่นานหลังจากนี้
และหลังจากนั้นราว 1 ถึง 2 ชั่วยาม เค่อเหลยซีต๋าก็ปรากฏกายขึ้นและไล่ตามเขามาทันอย่างที่คิดจริง ๆ โดยซูเฉินเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายแต่อย่างใดและหายตัวหนีไปในทันที
วิชาภูติลั่นแสงต้องใช้พลังเพิ่มขึ้นอีกมากเมื่อใช้เพื่อเคลื่อนกายในระยะไกล แต่เพราะเค่อเหลยซีต๋านั้นก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการไล่ตามซูเฉิน นั่นจึงทำให้เขามีเวลามากพอที่จะพักผ่อน
ทว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงเป็นการยากนักที่ซูเฉินจะสลัดเค่อเหลยซีต๋าให้หลุดไปได้
เค่อเหลยซีต๋าไม่ต่างอะไรไปจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองยังคงไล่ล่ากันต่อไปราวกับแมวไล่จับหนู แม้จะอยู่ในจุดที่รู้ผลอยู่แก่ใจแล้วก็ตาม ว่าซูเฉินจะใช้วิชาภูติสลั่นแสงโดยที่ยังไม่เห็นร่างของเค่อเหลยซีต๋าด้วยซ้ำ และฝ่ายเค่อเหลยซีต๋าเองก็จะเคลื่อนที่ช้าลงทันทีที่เห็นซูเฉินในสายตา เพราะเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แต่แม้เขาจะทำเช่นนั้น เค่อเหลยซีต๋าก็ไม่ได้ต้องการจะปล่อยให้ซูเฉินหนีไปแต่อย่างใด
การล่มสลายของมือแห่งโชคชะตาทำให้เค่อเหลยซีต๋าทุกข์ทรมานอย่างไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เขาต้องไล่ล่าซูเฉินไปจนสุดขอบโลก เค่อเหลยซีต๋าก็จะไม่มีวันให้อภัยชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน
ฝ่ายซูเฉินนั้นก็เริ่มโมโห อย่างไรแล้ว เค่อเหลยซีต๋าก็เป็นคนที่พยายามไล่จับเขามาตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็ยังดึงดันจะทำให้ซูเฉินลำบากอยู่อีก
เอาสิ จะตามไล่ตามข้าทุกที่ที่ข้าไปเลยใช่ไหม ? …อยากรู้นักว่าจะทนได้สักแค่ไหนกัน !
เมื่อคิดดังนั้นแล้วซูเฉินก็ส่งร่างแยกทั้งหมดของเขาตรงไปยังเมืองล่องนภาทันที
ถ้ากล้าดีจริง ก็ไปสู้กันต่อที่เมืองล่องนภาก็แล้วกัน !
ซูเฉินส่งคำท้าทายที่ไร้ซึ่งคำพูดออกไปให้กับเค่อเหลยซีต๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เค่อเหลยซีต๋าเข้าใจในทันที
และเขายอมรับคำท้านั้น
ที่ใกล้กับเมืองล่องนภา
เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่าเป็นเมืองคงกระพันเสมอมาในประวัติศาสตร์ของทวีปต้นกำเนิด
ป้อมแห่งนี้ที่ใช้กำลังคนมหาศาลในการสร้างขึ้นยังเคยผ่านการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเทพอสูรมาแล้วอีกด้วย
และเพราะมันถูกมองว่าเป็นเมืองที่ไร้เทียมทานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มเกิดขึ้น
เมืองล่องนภาขยายขนาดใหญ่ขึ้น
ภูมิประเทศรูปแบบต่าง ๆ เริ่มปรากฏ ทั้งเทือกเขา แม่น้ำ ทุ่งหญ้า หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านก็ได้ถูกสร้างขึ้นถึงหลายแห่งด้วยกัน
เมืองล่องนภากลายเป็นเหมือนประเทศเล็ก ๆ มากขึ้นไปทุกที แต่ในเขตแดนแห่งนี้มีอาณาบริเวณมากพอสำหรับเมืองหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้ก็ถูกห้อมล้อมด้วยอาณาจักรทั้งอาณาจักรแล้ว
ในแง่หนึ่งอาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็คือเมืองล่องนภานั่นเอง ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามเขตชายแดนของเมืองหลักนั้นเป็นเหมือนผู้บุกเบิก อีกทั้งยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ที่อาศัยอยู่นอกเมืองอีกด้วย
แม้จะเคยเป็นเมืองที่ไร้เทียมทานมาก่อน แต่เมืองล่องนภาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ก็ได้กลายเป็นอาณาจักรที่มีผู้คนพลุกพล่านและตั้งอยู่ท่ามกลางป้อมปราการ
เผ่าปักษาเข้าออกเมืองแห่งนี้อยู่เรื่อย ๆ จึงทำให้มันกลายเป็นศูนย์กลางในการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่ง
สำหรับชาวเผ่าปักษาแล้วเมืองล่องนภาเป็นเหมือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามักมาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพอยู่เสมอ…. ศูนย์กลางที่ใช้ในการสักการบูชานั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของเมืองล่องนภาซึ่งก็คืออารามของนิกายแห่งแม่พระนั่นเอง
อารามแห่งแม่พระ เป็นที่ที่มีไว้บูชาของนิกายแห่งแม่พระ องค์พระแม่อันศักดิ์สิทธิ์ถูกหลอมขึ้นเป็นรูปปั้นของหญิงเผ่าปักษา และยืนตระหง่านอยู่ที่จุดสูงสุดของยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์ เผ่าปักษาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมาถวายสัตย์ปฏิญาณตนกันที่นี่
นิกายแห่งแม่พระนั้นเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ
ผู้นำนิกายแห่งแม่พระในปัจจุบัน ซึ่งก็คือโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนั้นเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เขาปกครองเมืองล่องนภาพร้อมกับหยงเยี่ยหลิวกวงได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว นอกจากนั้นแล้ว จิตวิญญาณผู้บุกเบิกของเขาก็ยังน่าประทับใจมากอีกด้วย
ปัจจุบันนี้นิกายแห่งแม่พระมีผู้มาเยือนถึงหลายพันคนต่อวัน ผู้คนเหล่านั้นมาจากเผ่าปักษาทั่วทุกหนแห่งเพื่อสักการบูชา ขณะที่เดินทางขึ้นไปบนเขานั้น ชาวปักษาก็จะก้มลงหมอบคลานในทุก ๆ สามก้าว และโค้งคำนับในทุก ๆ ห้าก้าวเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
เพราะความเชื่อของพวกเขารวมกันเป็นความศรัทธาหนึ่งเดียว และสถานที่แห่งนี้ก็ได้รับการดูแลอย่างเคร่งครัด จึงทำให้ไม่มีความวุ่นวายใด ๆ เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายก็ตาม เผ่าปักษาทั้งหลายพากันเดินทางไปจนถึงจุดสูงสุดของยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์ แต่พวกเขาก็ยังคงดูสงบนิ่งเหลือเกิน มีเพียงนิกายที่มีศรัทธาแรงกล้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ขึ้นได้
ทว่าความสงบนี้กำลังจะถูกทำลายไปในไม่ช้า
เมื่อซูเฉินมาถึงนั้น เผ่าปักษากลุ่มใหญ่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาพอดี
ชายหนุ่มพักปีกเก็บเข้าไปและร่อนลงบนพื้นดิน เขารีบสร้างอาภรณ์ขึ้นห่อหุ้มร่างกายเพื่อให้ดูเหมือนเผ่าปักษาคนอื่น ๆ ก่อนที่จะพาตัวเองเข้าไปปะปนกับฝูงชนและเดินขึ้นไปบนเขาพร้อมกัน
แต่ซูเฉินไม่มีความอดทนมากพอที่จะสามารถหมอบคลานในทุก ๆ สามก้าว เขาจึงปีนภูเขาขึ้นไปอย่างรวดเร็วแทน โชคดีที่การหมอบคลานในทุกสามก้าวนั้นไม่ใช่กดที่เคร่งครัด ดังนั้นจึงยังมีบางคนที่เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น การที่ซูเฉินไม่หมอบคลานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ถึงกระนั้น แม้แต่ศิษย์ที่ไม่จริงใจที่สุดก็ยังชะลอฝีเท้าขณะเดินขึ้นไปบนเขานั้นเพื่อให้ดูเคร่งขรึมและกลมกลืนไปกับบรรยากาศ
การที่ใครบางคนจะขึ้นเขาไปอย่างเร่งรีบเช่นที่ซูเฉินทำนั้นพบได้ยากและดูประหลาดนัก
เมื่อหนึ่งในศิษย์นิกายแห่งแม่พระเห็นซูเฉินเข้าก็หยุดเขาไว้ทันทีและกล่าวกับชายหนุ่มว่า “พระแม่กำลังมองดูทุกสิ่งที่เจ้าทำ กรุณาแสดงความเคารพอย่างที่ควรจะเป็นด้วย”
ซูเฉินตอบกลับไป “ข้าถ่อมตัวเสมอต่อหน้าพระแม่ แต่วันนี้ข้าไม่มีเวลามามัวชักช้า ข้าต้องไปพบท่านนักบวชอู๋เยว่ชิงเหยียนอย่างเร็วที่สุด”
พูดจบชายหนุ่มก็ถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าของชุยอวี่คงเหิน “ข้าคือ ชุยอวี่คงเหิน ศิษย์ของเขา”
เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ที่ร้องทักขึ้นก็ถึงกับผงะ “ตอนนี้ท่านนักบวชอู๋เยว่ชิงเหยียนไม่อยู่ที่นี่หรอก เขาไปเมืองวิญญาณราตรีแล้ว”
เมืองวิญญาณราตรี เป็นที่รวบรวมพลังอันแข็งแกร่งแห่งรังราตรีเยือกแข็ง อู๋เยว่ชิงเหยียนเคยเป็นผู้นำแห่งรังราตรีเยือกแข็งมาก่อน แต่เขาจำเป็นต้องละทิ้งตำแหน่งหลังจากที่ถูกมนุษย์จับไป ตอนนี้ดูเหมือนว่าอดีตผู้นำคนนี้จะต้องการทวงคืนตำแหน่งเดินของเขาและกำลังทำงานหนักเพื่อให้ได้มันกลับมา
อันที่จริงแล้วซูเฉินไม่ได้ต้องการไปพบอู๋เยว่ชิงเหยียนเลยด้วยซ้ำ สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เขาพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้ว่าอู๋เยว่ชิงเหยียนอยู่ที่นี่หรือไม่ และการที่เขาไม่อยู่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับซูเฉินไม่น้อยเลย
อย่างไรแล้ว อู๋เยว่ชิงเหยียนก็เป็นผู้ที่เข้าใจชุยอวี่คงเหินได้ดีที่สุด หากเขาอยู่ที่นี่ ความเสี่ยงที่ซูเฉินจะถูกเปิดเผยตัวตนก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก
เมื่อรู้ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งอกอยู่ในใจและแสร้งแสดงสีหน้าหม่นหมองออกมาแทน “ข้ามีข่าวสำคัญที่จะต้องแจ้ง ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าควรไปพบใครเล่า ?”
“ผู้ดูแลในตอนนี้คือนายหญิงอวี้หลิวเซียง”
“ยอดไปเลย !” ซูเฉินออกเดินต่อไปโดยไม่รอช้า ผู้คุ้มกันเห็นชายหนุ่มทำเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่ได้พยายามหยุดซูเฉินแต่อย่างใด
อวี้หลิวเซียงนั่งอยู่ในอารามแห่งแม่พระ และกำลังดูแลพิธีกรรมบางอย่างอยู่
ในฐานะที่เป็นหัวหน้านักบวชที่อายุยังน้อย สถานะของอวี้หลิวเซียงในนิกายจึงยังไม่มั่นคงนัก และนั่นทำให้นางระมัดระวังอย่างยิ่งกับทุกคำพูดและการกระทำ อีกทั้งนางจะไม่ยอมทนกับข้อผิดพลาดใด ๆ เป็นอันขาด
แต่วันนี้… ใครบางคนกำลังจะทำให้นางต้องไม่พอใจ
ปักษาหนุ่มพุ่งตัวเข้ามาในอารามหลัก หลังจากกวาดสายตามองแล้วเขาก็ตรงเข้าไปหานางอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของอวี้หลิวเซียงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ผู้คุ้มกันสองคนถลาเข้ามายืนต่อหน้าชายหนุ่มทันทีโดยที่หญิงสาวไม่ต้องกล่าวอะไรด้วยซ้ำ
ไม่ช้านางก็ต้องพบว่าผู้คุ้มกันทั้งสองกลับหยุดความพยายามที่จะจับตัวเขาไว้หลังจากพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น… หนึ่งในผู้คุ้มกันรีบเข้ามารายงานกับนาง
อวี้หลิวเซียงเห็นดังนั้นก็รู้ว่านี่จะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
ผู้คุ้มกันที่รีบกลับเข้ามาหานางพลันรายงานด้วยเสียงต่ำ “เขาเป็นศิษย์ของท่านนักบวชอู๋เยว่ชิงเหยียน นามว่าชุยอวี่คงเหิน เขามีบางอย่างที่ต้องการจะรายงานกับท่านผู้นำ”
“เขาเองหรือ ชายที่โดนพวกมนุษย์ทำให้ต้องอับอายคนนั้นใช่ไหม ?” อวี้หลิวเซียงเลิกคิ้ว
นางไม่เคยพบกันชุยอวี่คงเหินมาก่อน แต่ข่าวเรื่องที่เขาถูกจับตัวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองล่องนภา
จากนั้นก็ปรากฏว่าชายหนุ่มไปจากเมืองล่องนภาโดยไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายของเขาคือที่ไหน แล้วจู่ ๆ ทำไมเขาถึงได้มาปรากฏกายที่นี่กันล่ะ ?
“เห็นแก่ตัวนัก !” อวี้หลิวเซียงขมวดคิ้ว
นางดูไม่ค่อยพอใจกับชุยอวี่คงเหินเท่าไรนัก สำหรับนางแล้ว เขาควรจะฆ่าตัวตายไปเสียตั้งแต่ที่ถูกทำให้ต้องอดสูเช่นนั้นแล้ว อันที่จริงการที่ชายหนุ่มยังมีชีวิตอยู่นั้นก็หมายความว่าเขายอมรับกับความอัปยศพวกนั้นอีกด้วย
คนที่แปดเปื้อนเช่นนี้คิดจะเข้าพบผู้นำนิกายได้อย่างไรกัน เขาคิดจะเอาสาปมนุษย์มาเพื่อให้เป็นมลทินกับท่านผู้นำอย่างนั้นหรือ ?
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่อวี้หลิวเซียงก็ยังถามเขาไปว่า “เรื่องอะไรกันที่สำคัญถึงขนาดที่ท่านจำเป็นต้องพบท่านผู้นำด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้”