ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 140 อารามแห่งแม่พระ (2)
บทที่ 140 อารามแห่งแม่พระ (2)
เขาพันพิษตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองล่องนภา
แม้ว่าเมืองล่องนภาจะไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้ตามที่ต้องการ แต่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็ยังคงเฝ้าสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดในบริเวณใกล้เคียงอยู่อย่างใกล้ชิด
พวกเขาสร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดในตำนานขึ้นเพื่อให้มีการแจ้งเหตุในทุก ๆ ครั้งที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นไม่ว่าในส่วนใดของอาณาจักร
แต่แม้ค่ายกลที่ว่านี้จะซับซ้อนและมีประสิทธิภาพเพียงไร มันก็สามารถสัมผัสได้เพียงการไหลของพลังต้นกำเนิดและพลังที่ใกล้เคียงกับมันเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ค่ายกลสามารถระบุขนาดและความสำคัญของเหตุการณ์ได้ แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่เกิดขึ้นได้นั่นเอง
เป็นธรรมดาที่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆจะต้องพิจารณาถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์เป็นอย่างแรกก่อนที่จะมีการตอบสนองใด ๆ เพราะรายละเอียดจำเพาะบางอย่างนั้นไม่สำคัญนักสำหรับเรื่องเล็ก ๆ ทั้งหลาย
แม้ว่าการใช้ระดับการไหลของพลังต้นกำเนิดเป็นมาตรวัดความรุนแรงของสถานการณ์นั้นจะไม่แม่นยำอยู่บ้าง แต่มันก็มักจะสามารถประมาณการได้อย่างเหมาะสมทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เมืองล่องนภาจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เขาพันพิษ
และเพราะการแปรปรวนของพลังต้นกำเนิดที่รุนแรงและแข็งแกร่งนัก เมืองล่องนภาจึงส่งปรมาจารย์ออกไปเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในทันที ทว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ไกลเกินไป พวกเขาจึงยังไม่ได้รับรายงานจากปรมาจารย์เหล่านั้นเลย
อวี้หลิวเซียงเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซูเฉินถึงได้มาที่นี่
“นั่นแปลว่าเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยสินะ เพราะอย่างนั้นถึงได้รีบแจ้นมาที่นี่เพื่อรายงานและหวังจะได้รางวัลจากพวกข้า” อวี้หลิวเซียงเข้าใจเจตนาของ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ ได้ในทันใด นางหัวเราะอย่างเยือกเย็น “แต่มันคงสมเหตุสมผลมากกว่าถ้าข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากของเจ้า”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็เรียกหนึ่งในนักบวชภายใต้ความดูแลของตัวเองให้พาซูเฉินเข้าไป ในขณะที่นางเองเดินไปนั่งรออยู่ในห้องข้าง ๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองล่องนภานั้นใหญ่เกินกว่าที่นางจะไม่ใส่ใจได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว อวี้หลิวเซียงคงไม่มีทางที่จะยอมให้ใครก็ตามที่เปื้อนกลิ่นมนุษย์เข้ามาใกล้นางเป็นแน่
…แต่หากข้อมูลที่ชุยอวี่คงเหินกล่าวมานั้นไม่สำคัญพอ นางคงทำให้เขาต้องกลับไปคิดทบทวนเสียบ้าง
ซูเฉินทักทายหญิงสาวตามธรรมเนียมเผ่าปักษา ฝ่ายอวี้หลิวเซียงเมินคำทักทายนั้นและกล่าวขึ้น “ว่ามาสิ เกิดอะไรขึ้น ?”
ซูเฉินจงใจทำท่าทางลังเลขณะอธิบาย “เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว ถ้าเป็นไปได้ ข้าขอยืนยันที่จะพบกับท่านผู้นำดีกว่า
“ชุยอวี่คงเหิน !” อวี้หลิวเซียงคำรามด้วยความไม่พอใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ข้าบอกได้เลยว่าสถานะของเจ้าไม่เพียงพอที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าพบท่านผู้นำหรอกนะ บอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไร และข้าจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าควรรายงานกับท่านผู้นำหรือไม่”
ซูเฉินทำได้เพียงแสร้งแสดงสีหน้าอับจนหนทางและกล่าวขึ้น “ก็ได้… เทพอสูรได้ตื่นขึ้นแล้ว”
“อะไรนะ !” อวี้หลิวเซียงลุกขึ้นยืนและจ้องเขม็งไปที่ซูเฉินด้วยความเดือดดาล “เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ?”
น้ำเสียงนั้นฟังดูกับว่านางเป็นผู้รับผิดชอบในการที่อสูรร้ายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าผู้รับผิดชอบตัวจริงจะอยู่ตรงหน้านางแล้วก็ตาม
“ท่านก็รู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน ข้าคงไม่โกหกเรื่องอะไรแบบนี้หรอก”
“เทพอสูรอย่างนั้นหรือ ? ทำไมจู่ ๆ มันถึงได้ตื่นขึ้นมากัน” อวี้หลิวเซียงถามขึ้น
ซูเฉินปิดปากเงียบ
อวี้หลิวเซียงเข้าใจเจตนาของชายหนุ่ม นางหันไปมองซูเฉินและถามขึ้นอย่างใจเย็น “นี่เจ้า… จะไม่พูดอะไรเลยจนกว่าจะได้พบนางใช่ไหม ?”
เขาตอบกลับไปทันที “ตอนนี้ข้ามีสิทธิ์ที่จะได้พบนางแล้วหรือ ?”
อวี้หลิวเซียงถอนหายใจยาว
เมื่อเทพอสูรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นแม้แต่ อวี้หลิวเซียงก็ไม่กล้าที่จะปล่อยให้ข่าวนี้ล่าช้าต่อไป นางรีบมุ่งหน้าไปยังที่พักของท่านผู้นำในทันที
ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์นิกายแห่งแม่พระอีกคนก็เดินตรงเข้ามาหาซูเฉินและกล่าวกับเขา “ท่านผู้นำกำลังรอท่านอยู่ที่เทวสถาน”
ทว่าซูเฉินกลับตอบไปว่า “ข้าขอพบกับนางที่แท่นบูชาชำระบาปแทนจะดีกว่า”
ศิษย์หนุ่มคนนั้นผงะเล็กน้อยก่อนจะถามเขากลับไปด้วยความไม่พอใจ “ท่านกล้าดีถึงขั้นคิดจะต่อรองกับท่านผู้นำเลยเชียวหรือ ?”
เพราะเป็นเพียงแค่สานุศิษย์คนหนึ่ง เขาจึงเชื่อเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่อยู่ในครอบครองของศิษย์ทั้งหลายนั้นเป็นของท่านผู้นำทั้งสิ้น แล้วศิษย์คนนี้มีสิทธิ์ที่จะต่อรองได้อย่างไรกัน ?
แท่นบูชาชำระบาปเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในอารามแห่งแม่พระ และศิษย์ทั้งหลายก็จะไปที่นั่นเพื่อชำระล้างทั้งกายและใจตามชื่อของมันนั่นเอง ซึ่งการชำระนี้จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขาอย่างยิ่งในการเพิ่มความสัมพันธ์กับพลังต้นกำเนิด
ที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับอารามพลังต้อนกำเนิดของเผ่าคนเถื่อนอยู่เล็กน้อย แต่แท่นบูชาของเผ่าปักษาถูกพัฒนาให้ดีกว่ามาก ในขณะที่อารามพลังต้นกำเนิดยังคงอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ความเคารพของทั้งสองกลุ่มนั้นต่างกันมาก แท่นบูชาชำระบาปเป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ในอารามแห่งแม่พระ และมีเพียงผู้ที่ทำคุณประโยชน์ที่สำคัญเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้รับการชำระล้างได้
เผ่าปักษาคนใดก็ตามที่ของพบกับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนที่แท่นบูชาชำระบาปนั้นต้องการผลประโยชน์บางอย่างแน่นอน
แม้ว่านี่จะเป็นเป้าหมายของซูเฉินเช่นกัน แต่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเขาแต่อย่างใด
อันที่จริงแล้วสาเหตุหลักที่เขาร้องขอเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปในเทวสถานได้
เทวสถานนิกายแห่งแม่พระนั้นเป็นสถานที่สำหรับถวายเครื่องบูชาแด่พระแม่โดยตรง ดังนั้นมันจึงถูกปิดและรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่สำคัญไปกว่านั้น ที่นั่นยังได้รับการปกป้องจากแสงสัจธรรมอีกด้วย
หากไปที่นั่น ความลับของซูเฉินจะต้องถูกเปิดเผยแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงขอพบกับผู้นำของนิกายที่อื่นแทนด้วยข้ออ้างที่ทำให้เขาดูเป็นคนโลภ
แม้ว่าศิษย์คนนั้นจะไม่พอใจยิ่งนัก แต่เขาก็ทำได้เพียงรายงานคำขอของซูเฉินเท่านั้น
ไม่ช้าซูเฉินก็ถูกนำไปยังแท่นบูชาชำระบาป แต่ศิษย์ผู้นำทางคนนั้นกลับส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้กับเขาตลอดเวลา
ซูเฉินไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
เมื่อไปถึงยังแท่นบูชาชำระบาป เขาพลันพบหญิงสาวผู้สง่างามนางหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น
ถึงแม้ว่านางจะยืนหันหลังให้กับซูเฉิน แต่สัญชาตญาณของชายหนุ่มก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ที่ตีนเขาและมองขึ้นไปยังยอดที่อยู่สูงเหลือเกิน
โชคดีที่ซูเฉินยังมีกำแพงใจอยู่ เขาจึงสามารถกำจัดความรู้สึกที่อยากจะสรรเสริญออกไปจากใจได้ และรู้ได้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นผลจากการใช้วิชาพลังจิตบางอย่าง หากเขาพยายามที่จะต้านมันด้วยวิชาพลังจิตชนิดอื่น ชายหนุ่มอาจสามารถมองหน้านางได้อย่างเดิมก็จริง แต่นั่นแปลว่าซูเฉินได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของเขาไปแล้ว
เขาโค้งคำนับเป็นการทักทายโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและกล่าวกับนาง “ชุยอวี่คงเหินขอแสดงความเคารพต่อท่านผู้นำ”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหันหน้ามาหาเขา “เงยหน้าได้”
ซูเฉินเหลือบมองขึ้นไปและพบกับใบหน้างดงามที่เย็นชาอยู่ต่อหน้าเขา ปักษาหญิงนางนี้สวยเหลือเกิน แต่นางกลับดูห่างเหินราวกับว่าไม่มีใครสามารถเข้าใกล้นางได้เลย
ซูเฉินรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำที่เย็นเฉียบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตาเขาอย่างเยือกเย็นอยู่เช่นกัน สายตาคู่นั้นทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวขึ้น “ข้าส่งคนไปดูแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าคงแค่บังเอิญผ่านไปเท่านั้น ก็เลยพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพวกเขา คงใช้เวลาอีกราวสองวันกว่าที่ข้าจะได้รับแจ้งข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการการชำระหรือ ? เพราะเจ้ารายงานเรื่องนี้แก่ข้าหรือเปล่า”
ซูเฉินตอบกลับ “ฝ่าบาท ข้าแค่ผ่านไปทางนั้นจริง แต่ข้ารู้มามากกว่าที่ท่านคิด บางอย่างของสถานการณ์นั้น มีเพียงคนที่ได้เห็นกับตาเป็นคนแรกเท่านั้นที่จะรู้ อีกอย่าง สิ่งที่ข้าต้องการก็ไม่ใช่การชำระ แต่…”
เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้น
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง “ว่ามา เจ้าต้องการอะไร”
ซูเฉินตอบ “ท่านผู้นำ คงได้รับรู้มาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถอนใจ “ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ข้าให้อภัยกับการรบกวนของเจ้าในวันนี้ ทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นไปแล้ว จากนี้ก็พยายามเปิดใจให้มากกว่าเดิมสักหน่อย เข้าใจไหม ?”
ความพยายามของซูเฉินเป็นผลแล้วในที่สุด ใครก็ตามที่รู้ถึงอดีตของชุยอวี่คงเหินจะต้องเข้าใจถึงการกระทำของเขาไม่มากก็น้อย และนั่นทำให้เขาน่าให้อภัยและน่าเห็นใจมากกว่าที่จะกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ
นี่คือสิ่งที่ซูเฉินต้องการ
เขาจึงตอบกลับไป “ข้าพยายามแล้ว ในปีที่ผ่านมานี้ ข้าเดินทางไปทั่วทุกแห่งและหวังว่าจะลบอดีตไปจากความทรงจำได้ แต่บาดแผลที่ข้าต้องทนทรมานนั้นกลับไม่ถูกลบออกไปอย่างง่ายดายนัก และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พวกมันกลายเป็นปมในใจของข้าไปแล้ว และยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของข้า รวมถึงเป็นเหตุให้ข้าไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีกด้วย”
“เป็นอย่างนั้นสินะ อันที่จริงข้าเองก็ประหลาดใจนะที่เจ้ายังมีใจจะพัฒนาต่อไปอีก” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ “เจ้าก็เลยอยากจะให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ ?”
ซูเฉินคุกเข่าลง “ความอัปยศที่ข้าต้องเผชิญนั้นจะถูกลบล้างออกไปได้ด้วยโลหิตมนุษย์เท่านั้น ทว่าถ้าข้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้น แต่ปัญหายังอยู่ที่ใจของข้าเอง และความเชื่อของข้าก็สั่นคลอนนัก ข้าคิดหาหนทางที่จะพัฒนาพลังต่อไปไม่ได้เลย จนกระทั่งไปพบเห็นเหตุการณ์ที่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เข้า จึงนึกขึ้นได้ว่าข้าคงได้รับโอกาสแล้ว ข้าไม่ขออะไรเลยนอกจากคำอำนวยพรจากนิกาย เพื่อจะได้…”
เขาหยุดพูดทั้งที่ยังไม่จบประโยค
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถอนใจอีกครั้ง “ข้าเข้าใจว่าจิตใจเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้าง เด็กน้อยที่น่าสงสาร แต่ความทรมานที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ความเชื่อของเจ้าสั่นคลอนแล้วหรือ ? ความเชื่อของเจ้าไม่มั่นคงถึงเพียงนั้นเลยหรืออย่างไรกัน ?”
ซูเฉินก้มหน้าเงียบ
เขารู้ดีว่าหากพูดอะไรไปมากกว่านี้จะทำให้เป็นการยากยิ่งขึ้นที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เขามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยน และการแลกเปลี่ยนต้องเกิดขึ้นเท่านั้นเขาถึงจะได้โอกาสที่กำลังตามหาอยู่
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีแผนการอะไรอยู่กันแน่ เมื่อดูเหมือนว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะตัดสินใจได้แล้ว นางจึงกล่าวขึ้น “บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วข้าจะพิจารณารางวัลของเจ้าจากความสำคัญของสิ่งที่เจ้ามีให้กับเรา”
“ขอรับ ฝ่าบาท !” เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็ไม่รอช้า เขารีบกล่าวต่อไปทันที “เทพอสูรที่ตื่นขึ้นเป็นคางคกที่อาศัยอยู่ในเขาพันพิษ”
“เขาพันพิษ… มือแห่งโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกนั้นหรือเปล่า” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนตะลึง
“ถูกต้อง เค่อเหลยซีต๋าใช้วิชาหอกเทพสังหารของเขาเพื่อปลุกอสูรที่หลับใหลอยู่ใต้ดินขึ้นมา” ซูเฉินกล่าว
คำที่เขาพูดนั้นเป็นจริงทั้งหมด เทพอสูรคางคกพันพิษถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยหอกของเค่อเหลยซีต๋าจริง ๆ แต่แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ว่า การโจมตีของเค่อเหลยซีต๋าถูกชี้นำไปโดยอุโมงค์ที่เขาเป็นคนขุดขึ้นเอง
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนยังคงตะลึง “ทำไมกัน ? เขาไม่ต้องการมือแห่งโชคชะตาแล้วหรือไร เขาบ้าไปแล้วหรือ ?!”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ที่ข้าเห็นในวันนั้น ท่าทางเขาดูเหมือนสติไม่ดีนัก” ซูเฉินตอบ
เรื่องนี้ก็เป็นความจริงเช่นกัน แต่แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เค่อเหลยซีต๋าเสียสติ
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพูดไม่ออก
เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน ?
ทำไมเค่อเหลยซีต๋าถึงได้เสียสติไปได้ แล้วเขาปลุกเทพอสูรขึ้นมาเพื่ออะไรกัน นางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ!
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเทพอสูรบ้าง ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามขึ้น
ซูเฉินส่ายหน้า “ตอนข้าออกมา มันแค่ส่งเสียงคำรามอยู่กับที่เท่านั้น ข้าก็เลยไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของมันเลย”
สีหน้าของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหมองลง
ซูเฉินรู้ว่าปักษาสาวไม่พอใจกับคำตอบที่ได้เท่าไรนัก เขาจึงรีบกล่าวเสริมทันที “แต่ข้ารู้ว่าเค่อเหลยซีต๋ากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ดวงตาของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเริ่มเป็นประกายชัดเจนขึ้น รังสีอันยิ่งใหญ่ของนางฉายขึ้นมากผิดปกติ จนทำให้ซูเฉินรู้สึกกดดันราวกับถูกทับด้วยภูเขาทั้งลูก
….ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่สามารถต้านทานต่อแรงกดดันนั้นได้
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามกลับไป “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว ?”
“ตอนข้ามาที่นี่ ข้าเห็นเขาอยู่ที่ด้านล่างของยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาในทันใด จากนั้นนางจึงทำท่าทางบางอย่างซึ่งทำให้เกิดภาพสะท้อนแสงขึ้นลอยอยู่เหนือฝ่ามือนั้น
ซูเฉินรู้ว่านี่คือวิธีการค้นหาที่เป็นเอกลักษณ์ของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนั่นเอง
ไม่ว่าสิ่งใดหรือใครก็ตามที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์ มันย่อมไม่มีทางรอดพ้นสายตาของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไปได้
ไม่ช้า โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็กำมือและกล่าวขึ้น “ข้าพบแล้ว เขาอยู่ที่นี่จริง ๆ และกำลังเที่ยวหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่แถวตีนเขา !”
สำหรับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนแล้ว การที่เค่อเหลยซีต๋าซุ่มอยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย นางคิดว่าเขากำลังคิดวางแผนที่จะโจมตีนิกายแห่งแม่พระอยู่เป็นแน่
การตื่นขึ้นของเทพอสูรและการปรากฏกายของเค่อเหลยซีต๋าต่างก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่ต่างกัน การตื่นของอสูรร้ายนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ในขณะที่เค่อเหลยซีต๋านั้นเป็นเรื่องของความเสี่ยงเสียมากกว่า
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพุ่งตัวออกไปในทันที
ไม่แปลกเลยที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนคิดจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน
“ฝ่าบาท !” ซูเฉินร้องขึ้น
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหันไปมองซูเฉินด้วยแววตาหม่นหมอง แต่นางก็กล่าวขึ้น “ชุยอวี่คงเหินให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากทีเดียว ควรแก่รางวัลระดับที่สาม อวี้หลิวเซียง เจ้าช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย ส่วนหัวหน้านักบวชที่เหลือ พวกเจ้ามากับข้าทั้งหมด”
สิ้นคำนั้น นางก็พุ่งตัวไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวต้องการจะสั่งสอนเค่อเหลยซีต๋าสักหน่อย
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย