ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 144 อุบายร่วม
บทที่ 144 อุบายร่วม
หลังจากที่จัดการกับฝ่ายตรงข้ามในโถงหลักแล้ว เขาก็กำลังจะก้าวออกไปข้างนอกขณะที่เห็นศิษย์นิกายแห่งพระแม่จำนวนมากหลั่งไหลมายังทิศทางของตน
พวกเขาล้วนไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนำไปกับนางด้วย พวกเขาเป็นเพียงเผ่าปักษาผู้อยู่ในบริเวณในใกล้เคียงและได้ยินเสียงความโกลาหลเข้า
เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงแค่ผู้คนทั่วไปที่บังเอิญผ่านมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยและบินออกไปไกล
เขาจำเป็นต้องจากไปอย่างรวดเร็ว โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและพรรคพวกสามารถกลับมาถึงเมื่อไรก็ได้ แม้ว่าซูเฉินจะทิ้งร่างเลียนแบบไว้ข้างในและสามารถเคลื่อนกายได้ตามใจชอบก็คงจะดีกว่าหากเขาไม่จำเป็นต้องใช้มัน ตราบใดที่เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงซูเฉินก็อยากจะอยู่ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆนานกว่านี้สักหน่อย
ใช่ เขาต้องการจะใช้เวลาอยู่ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สร้างความหายนะและปล้นสะดมที่นี่ให้ได้มากที่สุด
เผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตราบใดที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมที่จะบ่อนทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างถึงที่สุด นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความเห็นแก่ฝ่ายตัวแต่ยังเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์อีกด้วย
ดังนั้นแล้วการกระทำของซูเฉินจึงอาจดูชั่วร้ายในสายตาของเผ่าปักษา แต่มนุษย์จะต้องชื่นชมมันอย่างไม่ต้องสงสัย
ชื่นชมเป็นอย่างมาก !
สิ่งที่ศัตรูมองจะต้องแย่สำหรับเราอย่างแน่นอน และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
ซูเฉินไม่ใช่พระแม่ เขาไม่ใส่ใจอีกหลายหมื่นเผ่าพันธุ์หรือพยายามสร้างความสงบสุขตลอดกาล หากเป็นไปได้เขาอยากจะรวบรวมทั้งผืนทวีปต้นกำเนิดเข้าเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ประมุขของเผ่ามนุษย์
ซึ่งหากวันหนึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ซูเฉินก็ยินดีที่จะพิจารณาการแบ่งปันทรัพยากรบางส่วนเพื่อช่วยเหลือคนจากเผ่าอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นที่จะฉวยโอกาสจากโอกาสใดก็ตามที่เขาได้รับในการสร้างความเสียหาย
ทำให้คู่ต่อสู้อ่อนแอลงและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
กระทั่งเทพอสูรก็ยังถูกดึงดูดมาด้วยร่างเลียนแบบของซูเฉิน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเทพอสูรนั้นสร้างความเสียหายมากที่สุดซึ่งยังจะสร้างโอกาสที่ดีที่สุดให้แก่เขาอีกด้วย
แผนการของซูเฉินคือการใช้เค่อเหลยซีต๋ารับมือกับนิกายแห่งพระแม่และใช้เทพอสูรเพื่อจัดการกับอาณาจักรแห่งหมู่เมฆทั้งหมด
หากว่าไม่มีผู้ช่วยเขาก็จะสร้างมันขึ้นมาเอง ผู้คนที่ตามไปล่าเขาได้กลับกลายเป็นผู้ช่วยของเขาแทน
ในตอนนั้นเอง ซูเฉินได้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จแล้ว
ซูเฉินจากอารามไปและบินหนีออกมา
แต่ขณะที่เขาโบยบินอยู่นั้น เขาก็เริ่มที่จะสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่เห็นความโกลาหลวุ่นวายอยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่น้อย การสู้รบระหว่าง 2 ฝ่ายควรจะทำให้สรวงสวรรค์ต้องสั่นไหวไม่ใช่หรือ ?
พูดอีกอย่างคือพวกเขายังไม่เริ่มต่อสู้กันอีกหรือ ?
วี่แววความยากลำบากปรากฏขึ้นในใจของซูเฉิน
ซูเฉินได้ใช้เค่อเหลยซีต๋าในการปล้นสะดมนิกายแห่งพระแม่จนหมดสิ้น แต่เป้าหมายหลักของเขาก็คือการใช้นิกายแห่งพระแม่เพื่อกำจัดเค่อเหลยซีต๋าเสีย
เขาได้บรรลุเป้าหมายรองของเขาแล้ว แต่เป้าหมายหลักของเขายังคงอยู่ในขั้นดำเนินการ เมื่อมองเช่นนั้นแล้ว แผนการของซูเฉินนับว่าล้มเหลว
สิ่งนี้ทำให้เขาคับข้องใจเป็นอย่างมาก
หากเค่อเหลยซีต๋าไม่ได้เสียชีวิตลงก็หมายความว่าเขาจำเป็นจะต้องหลบหนีและซ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีแผนการใดที่จะดำเนินไปอย่างลื่นไหล 100% อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ
ผู้สรรค์สร้างแผนการนี้สามารถควบคุมได้เพียงทิศทางของสถานการณ์ แต่ไม่ใช่รายละเอียดต่าง ๆ
ซูเฉินไม่รู้ว่าเป็นการดึงดูดเทพอสูรมาของเขาเองที่ทำให้โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนลังเลที่จะสังหารเค่อเหลยซีต๋า ซูเฉินสามารถใช้เทพอสูรได้… แต่เค่อเหลยซีต๋าก็เช่นกัน !! อย่างไรแล้วเค่อเหลยซีต๋าก็ไม่ได้ไร้สมอง
ณ บริเวณฐานภูเขาเวิ้งเมฆินทร์
คำพูดของเค่อเหลยซีต๋าหยุดโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและคนอื่น ๆ ลงจากสิ่งที่กำลังทำอยู่โดยสมบูรณ์
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร ?” เหล่าหัวหน้านักบวชต่างกระซิบกระซาบกันไปมา
การจู่โจมของเทพอสูรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
เค่อเหลยซีต๋ากล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าจะถามสมุนของเจ้าดูก็ได้ว่ามันจริงหรือไม่”
ขณะที่พูดเขาก็โบกมือไม้ไปด้วย ร่างจำนวนหนึ่งบินขึ้นไปในอากาศทันที พวกเขาคือศิษย์นิกายแห่งพระแม่ผู้ถูกส่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ที่แท้พวกเขาตกอยู่ในกำมือของเค่อเหลยซีต๋านี่เอง !!!
เค่อเหลยซีต๋าได้ค้นพบพวกเขาขณะที่เขากำลังไล่ตามซูเฉิน เมื่อค้นพบว่าพวกเขาเป็นศิษย์ของนิกายแห่งพระแม่ เค่อเหลยซีต๋าก็จับกุมตัวไว้ในทันทีแต่ก็ไม่ได้ปลิดชีพพวกเขา เขานำคนเหล่านั้นมากับตนเพื่อดูเทพอสูรที่กำลังออกเคลื่อนไหวก่อนที่จะพาพวกเขามายังอาณาจักรแห่งหมู่เมฆด้วย
“ซีเยว่ !” หนึ่งในหัวหน้านักบวชจำผู้ติดตามของเขาได้และร้องออกมา
“เจ้านิกายโยวเมิ่ง หัวหน้านักบวชหงกวง นั่นเทพอสูร ! มันกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองล่องนภา !” เหล่าผู้ติดตามจำนวนหนึ่งตะโกนขึ้น
แม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะรายงานข้อมูลที่สำคัญที่สุดในทันที
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนสั่นสะท้านเบา ๆ เมื่อนางได้ยินข่าวนี้
แต่นางก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วและถามขึ้น “การเคลื่อนไหวของเทพอสูรควรจะคาดเดาไม่ได้สิ ทำไมมันถึงมุ่งหน้าไปที่เมืองล่องนภาล่ะ ?”
“มันกำลังถูกล่อไปทางนั้น” หนึ่งในเผ่าปักษาสูงอายุที่สุดตอบขณะที่คุกเข่าลง
มันกำลังถูกล่อ ?
เผ่าปักษาทุกคนรู้สึกมืดแปดด้าน
ใครจะชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้ ?
บุคคลแรกที่เผ่าปักษาชั้นสูงเหล่านี้นึกถึงคือเค่อเหลยซีต๋า แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน เค่อเหลยซีต๋าไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงและมอบข้อมูลนี้ให้แก่พวกเขา อย่างไรแล้วผู้ให้ข้อมูลก็คงจะบอกว่าเป็นเค่อเหลยซีต๋าในทันทีและไม่อาจลืมข้อมูลที่สำคัญถึงขนาดนั้นไปได้
พูดอีกอย่างคือพวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเช่นกัน
หรือจะเป็น…… ?
ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนที่ทำให้นางต้องสั่นเทิ้ม
วินาทีต่อมา ดวงตาของนางก็เริ่มส่องประกายอย่างแปลกประหลาดเมื่อภาพเผ่าปักษาคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ… มันคือภาพฉายของชุยอวี่คงเหิน !
โดยที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไม่ต้องพูดอะไร ศิษย์บางคนก็ร้องออกมาเอง “นั่นเขา เขานั่นเอง ! เขากำลังใช้สายฟ้าโจมตีไปยังเทพอสูรอย่างต่อเนื่องและหลอกล่อมันมา”
งั้นก็เป็นเขาเองสินะ
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรู้สึกหน้ามืดตามัว
“เจ้า เจ้า และเจ้า กลับไปเดี๋ยวนี้……”
นางไม่ทันจะได้พูดจบเมื่อเค่อเหลยซีต๋ากล่าวขึ้น “ไม่จำเป็น เจ้าไม่สามารถจับเขาได้หรอก อย่าลืมว่าเขาสามารถเดินทางมาจากเขาพันพิษได้แม้ว่าข้าจะไล่ล่าเขามาตลอดทาง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็ชะงักไปทันที
นั่นสิ ชายหนุ่มคนนี้ถูกไล่ล่าโดยเค่อเหลยซีต๋ามาจนถึงที่นี่
เดี๋ยวก่อนนะ !!
หากเขาถูกไล่ล่าโดยเค่อเหลยซีต๋าแล้วเขายังหลอกล่อเทพอสูรมาด้วยได้อย่างไรกัน ?
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังเค่อเหลยซีต๋าและเผยท่าทีน่าสงสัยออกมา
เค่อเหลยซีต๋าเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังคิดและหัวเราะอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้ากำลังสงสัยว่าเขาสามารถยั่วยุเทพอสูรทั้งที่กำลังถูกข้าไล่ตามได้อย่างไรหรือ ? ที่จริงแล้วพวกเจ้าควรจะถามอีกคำถามหนึ่งก่อนนะ ทำไมข้าไม่พยายามหยุดเขาเมื่อเห็นเขายั่วยุเทพอสูรล่ะ ?”
สมาชิกนิกายแห่งพระแม่ต่างกระแอมเมื่อคิดกับตัวเองว่ามันแปลกประหลาดมากอยู่แล้วที่เขาไม่ใช่คนที่ไปยั่วยุเทพอสูร…
แต่เค่อเหลยซีต๋าก็พูดขึ้น “เพราะมันคือร่างเลียนแบบของเขา !”
“ร่างเลียนแบบ ?”
“ใช่ ร่างเลียนแบบ !” เค่อเหลยซีต๋าตอบด้วยความมั่นใจ “ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มีทักษะที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างอยู่กับตัว เขาสามารถสร้างร่างเลียนแบบขึ้นจากแก่นโลหิตของเขาได้ ด้วยแก่นที่มากพอเขาสามารถประกอบร่างเลียนแบบได้มากมายที่สามารถใช้ความสามารถของเขาทั้งหมดได้และอ่อนแอกว่าร่างจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตราบใดที่แก่นโลหิตของร่างเลียนแบบไม่ได้ถูกใช้จนหมด พวกมันก็จะยังคงอยู่ต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังสามารถฟื้นฟูพลังงานด้วยการบริโภคยาและสมุนไพรจิตวิญญาณได้ด้วย ร่างเลียนแบบของเขาเป็นผู้ก่อกวนเทพอสูร จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฆ่ามัน เขาจะสร้างพวกมันขึ้นอีกจำนวนมากอย่างรวดเร็วและส่งพวกมันมาเพื่อผลัดเวียนกันก่อกวนอสูรนั่น เว้นเสียแต่ว่าข้าจะเฝ้ายามเทพอสูรตลอดคืนวัน ซึ่งข้าก็จะไม่สามารถหยุดเขาได้ แต่นั่นก็จะเป็นไปตามแผนการของเขาในเมื่อข้าไม่สามารถไล่ตามเขาได้อีกต่อไป”
“แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถจับตัวเขาได้อยู่ดีนี่ ?”
“ใช่ เพราะไอ้เด็กคนนี้รู้จักวิชาอาร์คาน่าที่ชื่อว่าวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายด้วยน่ะสิ”
“วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย ? ไม่ใช่ว่านั่นคือวิชาของชาวอาร์คาน่าหรือ ?” หนึ่งในหัวหน้าบาทหลวงมีความคุ้นเคยบางอย่างกับประวัติศาสตร์โบราณและรู้จักหอคอยพิสุทธิ์อยู่เล็กน้อย
“ใช่” เค่อเหลยซีต๋าถอนหายใจ “แต่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายแทบจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในมือของเด็กเหลือขอนี่ เขาไม่เพียงสามารถเคลื่อนกายได้ไกลขึ้นมาก แต่เขายังสามารถผสานพลังของร่างเลียนแบบโลหิตของเขาได้อีกด้วย ตราบใดที่ร่างเลียนแบบโลหิตของเขายังคงอยู่ เขาก็สามารถเคลื่อนกายไปยังพวกมันและมองข้ามเรื่องของระยะทางไปได้โดยสมบูรณ์”
“เป็นไปได้อย่างไร ? เขาสามารถกระโดดข้ามไป 20,000 ลี้ได้ในคราวเดียวเลยหรือ ?”
เค่อเหลยซีต๋าตอบ “20,000 ลี้คงจะเป็นไปไม่ได้ จากที่ข้าสัมผัสได้ ยิ่งเขากระโดดไปไกลเท่าไร ร่างกายของเขาก็จะยิงได้รับภาระหนักเท่านั้น ระยะ 20,000 ลี้อาจฆ่าเขาได้ในทันที แต่การเลื่อนกายไม่กี่สิบลี้หลาย ๆ ครั้งก็สามารถกลายเป็น 20,000 ลี้ได้ในระยะเวลาไม่นานนักเช่นกัน”
เหล่าหัวหน้านักบวชต่างตกตะลึง
โดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดต้องลำบากไม่น้อยกระทั่งจะเคลื่อนกายสักลี้เดียว แม้แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่า ระยะทางหลายร้อยลี้ก็ยังเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ
“เขาสามารถเคลื่อนกายไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ?” หัวหน้านักบวชบางส่วนไม่อาจเข้าใจได้
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเป็นผู้ตอบคำถามนั้น “หากความเชี่ยวชาญในพลังสูญของเขาสูงพอ เขาอาจสามารถหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญก็เป็นได้ แล้วหากเขาผสมผสานมันเข้ากับร่างเลียนแบบโลหิตของเขา เขาก็ควรจะสามารถสร้างผลลัพธ์ประมาณนั้นได้เช่นกัน”
เค่อเหลยซีต๋าถอนหายใจด้วยความเชิดชู “โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพูดถูก ใช่แล้ว เจ้าเด็กนั่นหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญ !”
“แต่เขาอยู่แค่ระดับ 9 เองไม่ใช่หรือ ? เขาไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานนะ !” ทุกคนต่างวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
การจะครอบครองกฎแห่งพลังขณะทั้งที่ยังไม่ถึงระดับตำนานนั้นเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยสักนิด !
เค่อเหลยซีต๋าถอนหายใจ “นั่นคือเหตุผลที่ข้ากักขังเขาไว้กว่า 1 ปี เด็กคนนี้มีความลับเก็บงำอยู่มากมายที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ ข้าไม่รู้เลยว่าเขาทำได้อย่างไร สำหรับข้าแล้ว เด็กคนนี้สำคัญเสียยิ่งกว่าสมบัติชิ้นใดก็ตามที่ข้าได้สูญเสียไป”
“พระเจ้า คลังสมบัติลับของพวกเรา……” เมื่อเหล่าหัวหน้านักบวชได้ยินคำพูดของเค่อเหลยซีต๋า พวกเขาก็รู้ในที่สุดว่ามันอันตรายเพียงใดที่ทิ้งคนอย่างซูเฉินไว้ในเขตแดนของนิกายแห่งพระแม่เพียงลำพัง
พวกเขาบางคนต้องการจะกลับไปเดี๋ยวนี้
แต่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกลับพูดขึ้น “กลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร ผ่านมานานขนาดนี้เขาคงจะได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว และหากพวกเจ้ากลับไปก็คงไม่สามารถจับตัวเขาได้อยู่ดี… พวกเจ้าจะจับเขาได้อย่างไรถ้าเขาสามารถเคลื่อนกายได้ครั้งละกว่า 20 ลี้ ?”
หัวหน้านักบวชทุกคนต่างชะงักไป
“แล้วพวกเราควรปล่อยให้เขาทำตามใจชอบหรือ ?” หัวหน้านักบวชบางส่วนกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านเค่อเหลยซีต๋าตรงนี้คิดแล้วละ ใช่ไหมล่ะ ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหันไปยังเค่อเหลยซีต๋า
เค่อเหลยซีต๋าหัวเราะและโค้งคำนับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน “งั้นแม้แต่อาชญากรที่เป็นที่ต้องการตัวอย่างข้าก็สามารถเป็นพันธมิตรได้สินะ ?”
“พันธมิตร ?” เหล่าหัวหน้านักบวชต่างตะลึงงัน
“ใช่ พันธมิตร มีแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถระบุตำแหน่งของชุยอวี่คงเหินได้และตามหาเขาได้ทุกเวลา” เค่อเหลยซีต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “และมีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเจ้าจับเขาได้”
การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นเหตุผลเดียวที่เค่อเหลยซีต๋าได้มองข้ามความอันตรายที่เขาเผชิญอยู่และพบเจอกับพวกเขา
ซูเฉินต้องการใช้เค่อเหลยซีต๋าในการหลอกล่อนิกายแห่งพระแม่ออกไปและขโมยสมบัติของพวกเขา ซึ่งเค่อเหลยซีต๋าที่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังตามหาสิ่งใดก็ไม่ได้พยายามห้ามเขาแม้แต่น้อย
เหตุผลนั้นเรียบง่ายทีเดียว
วิธีที่ดีที่สุดที่เขาจะร่วมมือกับศัตรูตลอดกาลคือเพื่อกำจัดตำแหน่งของเขาในฐานะอาชญากรเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดออกไปเป็นอย่างแรก !
เขาอาจไม่สามารถกำจัดสิ่งเลวร้ายที่เขาทำไปแล้วทั้งหมดได้ แต่เขาก็สามารถสร้างคนที่น่าเกรงขามยิ่งกว่านี้ขึ้นได้
แม้ว่าซูเฉินจะเพียงแค่ปล้นสะดมนิกายแห่งพระแม่และหลอกล่อเทพอสูรเข้าไปใกล้ ทว่าการกระทำทั้งสองนี้ก็มากเพียงพอที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเมืองล่องนภา !!
ไม่ใช่แค่อาชญากร แต่เป็นศัตรู !
ณ ตอนนี้ ระดับความน่าสะพรึงกลัวของซูเฉินได้ไปถึงยังจุดที่ทั่วทั้งอาณาจักรกำลังตกอยู่ในอันตราย
แล้วถ้าเทียบกับเค่อเหลยซีต๋าล่ะ ?
การร่วมมือกับเค่อเหลยซีต๋าเพื่อจัดการกับซูเฉินนั้นเป็นความจำเป็นโดยสมบูรณ์
นี่คือสิ่งที่เค่อเหลยซีต๋าต้องการอย่างพอดิบพอดี แม้ว่าเขาจะสามารถมองเห็นได้ถึงแผนการของซูเฉิน เขาก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น และกระทั่งช่วยซูเฉินถ่วงเวลาจนกระทั่งชายหนุ่มทำได้สำเร็จในที่สุด !
หากเพียงซูเฉินทำสำเร็จเท่านั้น…. เค่อเหลยซีต๋าจึงจะสามารถสำเร็จได้ !!!