ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 147 เทพเจ้า
บทที่ 147 เทพเจ้า
ในโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่จริง ๆ หรือ ?
ผ้าเท่อลั่วเค่อถึงกับผงะไปเพราะไม่คาดคิดว่าซูเฉินจะถามคำถามเช่นนี้
หลังจากชะงักไปกับคำถามที่เหนือความคาดหมาย เขาตอบชายหนุ่มกลับไปว่า “ครั้งหนึ่งอาณาจักรอาร์คาน่าก็เคยหมกมุ่นกับการหาคำตอบให้กับคำถามนี้เหมือนกัน”
“แล้วคำตอบคืออะไร ?”
“สุดท้ายแล้วเราก็ได้ข้อสรุปกันว่าพวกผู้บุกเบิกนั่นแหละคือ ‘เทพเจ้า’”
“ผู้บุกเบิกคือเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ” ซูเฉินทวนคำตอบของผ้าเท่อลั่วเค่อด้วยความฉงน
กลุ่มผู้บุกเบิกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรงที่มีตัวตนในทวีปต้นกำเนิด และเพราะว่าพวกเขาเกิดมาจากความประสงค์ของสวรรค์ คนเหล่านั้นจึงแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
และยังเป็นกลุ่มที่สูญพันธุ์ไปจากทวีปเป็นกลุ่มแรกอีกด้วย
จากนั้นเผ่าพันธุ์ต่อมาที่ปรากฏในทวีปต้นกำเนิดจึงเป็นเทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูร ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยึดครองทั้งทวีปอยู่เป็นเวลานานทีเดียว
และในตอนนี้ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะถึงห้าเผ่าก็กำลังต่อสู้กันและกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในทวีป
ดังนั้น พวกผู้บุกเบิกจึงถูกเรียกว่าเทพเจ้าได้ไม่เต็มปากนัก
แต่ก็ยังมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
ขณะที่ผลึกวิญญาณของซูเฉินกำลังทำการคำนวณอย่างรวดเร็วอยู่นั้น ชายหนุ่มก็พลันกล่าวขึ้น “ข้ามีข้อสงสัยบางอย่างอยู่”
“ว่ามาสิ”
“กลุ่มผู้บุกเบิกมีตัวตนอยู่ในอดีตที่นานแสนนานเหลือเกิน การที่พวกนั้นหายไปก็น่าจะเป็นเพราะพลังต้นกำเนิดที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แล้วถ้าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะสามารถไปจำศีลได้ที่ไหนกัน นั่นคือคำถามแรกของข้า อีกอย่าง ในช่วงที่กลุ่มผู้บุกเบิกควบคุมทั้งทวีปนี้ แม้แต่เทพอสูรก็ไม่กล้าที่จะทำตัวกร่างด้วยซ้ำ ยิ่งเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลานั้นหรือเปล่า ดังนั้นทำไมเทพเจ้าพวกนั้นถึงได้ไปเยี่ยมเยียนเผ่าพันธุ์อัจฉริยะล่ะ ? และทำไมหนึ่งในนั้นถึงกลายมาเป็นเทพธิดาของเผ่าปักษา นั่นคือคำถามข้อที่สอง ส่วนคำถามที่สาม… การเป็นเทพเจ้านี่มีข้อดีอย่างไรกันหรือ ?”
ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาณาจักรอาร์คาน่าเองก็ถกเถียงถึงคำถามพวกนี้เช่นกัน พวกเราคิดถึงความเป็นไปได้สารพัดอย่างและคาดเดาต่าง ๆ นานาไปมากมาย อันที่จริงแล้วข้าเองก็มีสมมติฐานอยู่ข้อหนึ่งที่จะสามารถตอบคำถามเจ้าได้เป็นอย่างทีเดียว”
“หือ บอกข้าสิ”
“สมมติว่าพวกผู้บุกเบิกเป็นเทพเจ้าจริง ๆ แปลว่าสาเหตุที่พวกเขาจะกลายมาเป็นเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั้นก็เพราะมันจะเป็นประโยชน์บางอย่างต่อพวกเขา”
“ประโยชน์แบบไหนกัน ?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกนั้นมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร”
ซูเฉินชะงักไป “ท่านกำลังจะบอกว่า…”
“ข้าไม่ได้จะบอกอะไรทั้งนั้น” ผ้าเท่อลั่วเค่อแทรกขึ้นทันที “ข้าไม่รู้คำตอบหรอก และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเทพเจ้าถึงได้อ่อนแอถึงขั้นที่จำเป็นต้องการความเชื่อความศรัทธาจากคนธรรมดา ๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้ แต่หากพวกผู้บุกเบิกเป็นเทพเจ้าจริง ๆ นั่นก็จะเป็นการตอบข้อสงสัยทั้งหมดได้ ถ้าเจ้าเอาคำถามพวกนั้นมารวมเข้าด้วยกัน แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็จะกลายเป็นความเป็นไปได้ให้กับคำตอบของเจ้า”
“แล้วทำไมพวกมนุษย์ถึงไม่มีเทพเจ้าเป็นของตัวเองล่ะ ?” ซูเฉินถามต่อไป
“เผ่าปักษามีเทพเจ้าก็เพราะเทพเจ้าตอบรับพวกเขา พวกมนุษย์ไม่มีเทพเจ้าก็เพราะไม่มีเทพองค์ใดสนใจพวกมนุษย์เลย” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบตามตรง
เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็จมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง
แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็พลันนึกขึ้นได้ถึงตาเฒ่าคนนั้นที่สบตากับเขา
หลังจากครุ่นคิดอีกชั่วขณะ ซูเฉินก็กล่าวต่อไป “พวกเขาอาจให้ความสนใจชาวมนุษย์แล้วก็ได้ แต่พวกมนุษย์เองต่างหากที่ไม่เคยสังเกตเห็น”
“ไม่เคยสังเกตเห็นอย่างนั้นหรือ ?” คราวนี้ผ้าเท่อลั่วเค่อเป็นฝ่ายฉงนใจบ้าง “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่เมื่อครั้งที่ข้าพยายามจะขโมยขนนกสวรรค์ ข้าสัมผัสได้ถึงภัยบางอย่างที่จับต้องได้เคลื่อนผ่านข้าไป… มันเป็นพลังแบบเทพเจ้าน่ะ พลังที่ไม่สามารถอธิบายหรือต้านทานได้ ท่านคิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ข้าทำลายรูปปั้นเทพเจ้าด้วยกำปั้นของข้า”
ผ้าเท่อลั่วเค่อตามความคิดของชายหนุ่มไม่ทันเลย เขาไม่รู้ว่าซูเฉินต้องการจะสื่ออะไรอยู่กันแน่
โชคดีที่เขาไม่ต้องถามอะไรอีก ฝ่ายซูเฉินก็กล่าวเสริมต่อไป “พวกเราไม่ใช่เทพเจ้า ดังนั้นเราจึงไม่มีทางคาดเดาได้ว่าพวกเขาคิดหรือต้องการอะไร แต่ข้ายืนยันได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ ข้าเองได้เห็นและสัมผัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว และอย่างที่สอง การกระทำของพวกเขาเป็นไปได้อย่างจำกัดเท่านั้น”
“เทพเจ้ามีขีดจำกัดด้วย…” ผ้าเท่อลั่วเค่อพึมพำ
“อะไรกันที่จะมาจำกัดเทพเจ้าได้ ?” เขาไม่เข้าใจเลย
“ข้าเองก็ไม่รู้” ซูเฉินส่ายหน้า อาจเป็นเทพเจ้าที่แข็งแกร่งกว่า อย่างราชันย์แห่งเทพเจ้า หรืออาจเป็นอย่างอื่น หรืออาจเป็น… กฎแห่งพลัง หรือว่า ประสงค์แห่งสวรรค์”
เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน
แต่ซูเฉินก็รู้ว่าโลกตรงหน้าของเข้านั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้
และความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
ขณะที่กำลังปีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มก็ยิ่งมองเห็นได้กว้างไกลมากขึ้นไปด้วย และความจริงของโลกใบนี้ก็ชัดเจนกับเขามากยิ่งขึ้นในขณะเดียวกัน
นั่นไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด ซูเฉินกลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
นี่ถือเป็นมุมมองและการคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงเลยก็ว่าได้
พวกคนที่คิดจะพึ่งพาแต่ผู้อื่นก็จะสร้างเทพเจ้าขึ้นมาเพื่อสรรเสริญ แม้ว่าเทพเจ้าจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม
ส่วนพวกที่ชอบความท้าทายก็จะพยายามและศึกษาเกี่ยวกับเทพเจ้า… หากว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอยู่จริง ๆ
แน่นอนว่าซูเฉินอยู่ในกลุ่มหลัง
ไม่ว่าโลกนี้จะมีเทพเจ้าอยู่จริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญแต่อย่างใด ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเท่าไร คนที่ทะเยอทะยานจะไม่มีทางก้มหัวและบูชาเทพเจ้าอย่างแน่นอน
แล้วถ้าเทพเจ้ามีตัวตนอยู่จริง ๆ ล่ะ…
ข้าเองก็มีชีวิตของข้าและการตัดสินใจของข้าเอง
ซูเฉินเป็นคนแบบนั้น… สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เขาสนใจเกี่ยวกับเทพเจ้านั้นก็เพราะชายหนุ่มต้องการจะรู้วิธีการที่จะย่นระยะช่องว่างความแตกต่างและมีพลังเหนือกว่าพวกเขานั่นเอง
ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่รู้เกี่ยวกับความคิด ‘ดูหมิ่นศาสนา’ ในหัวของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นเคย “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เทพเจ้าจะเข้าสู่ช่วงการจำศีลก็เมื่อพวกเขาจำเป็นต้องทำแบบนั้นจริง ๆ เท่านั้น แค่เพราะพวกเขาแข็งแกร่งนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะต้องกลัวเสียหน่อย โลกใบนี้เป็นของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะตั้งแต่นี้ไปแล้วละ”
“ถูกต้อง !” ซูเฉินเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
อย่างน้อยทั้งสองก็มีเรื่องที่เห็นตรงกันได้ในที่สุด
หลังจากบทสนทนาเรื่องเทพเจ้าสิ้นสุดลง ผ้าเท่อลั่วเค่อก็กลับไปพูดถึงชุดเกราะต่อ
“ชุดเกราะเวหาเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์ที่พระแม่เคยใช้มาก่อน มันแข็งแกร่งยิ่งนักและสามารถปลดปล่อยพลังแรงกดดันจำนวนมหาศาลออกมาได้ในทันทีที่ถูกนำไปสวมใส่ มีเพียงเจ้าของ ของมันเท่านั้นที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังที่น่ากลัวนั้น นี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอาจยังไม่สามารถสัมผัสได้สิ่งนั้นจากมันได้ในตอนนี้ ซึ่งนั่นก็คือสาเหตุที่ข้าคิดว่ามันเป็นชุดเกราะที่ไม่สมบูรณ์”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้ายังมีอีกสาเหตุที่จะบอกได้ว่าชุดเกราะนี่ไม่สมบูรณ์”
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ”
“ถ้ามันสมบูรณ์โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็คงสวมมันไปแล้วละ”
“……” ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดไม่ออก
เป็นเหตุผลที่ง่ายดายยิ่งนัก… ทำไมเขาถึงไม่นึกถึงสาเหตุนี้มาก่อนเลย ?
‘ช่างเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่อยากจะสนทนากับเจ้าต่ออยู่แล้ว’ ผ้าเท่อลั่วเค่อคิดพร้อมกับทำหน้าบูดบึ้งอยู่ในใจ
แม้ว่าชุดเกราะเวหาจะไม่สมบูรณ์ มันก็ยังถือเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ในเมื่อชุดเกราะนี้ถูกทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงสวมใส่ ดังนั้นซูเฉินอาจนำมันกลับไปและมอบให้กับ…
ให้ตายเถอะ… แล้วเขาจะเอาไปให้ใครดีละนี่ ?!
ซูเฉินพบทางตันเข้าเสียแล้ว
ยิ่งมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ปัญหาก็จะยิ่งตามมามากขึ้นด้วย เขาไม่ได้กังวลในเรื่องการใช้เงินเลยด้วยซ้ำ จะกลัวก็แต่เพียงว่าจะมีเงินเยอะเกินไปเท่านั้น !
เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคิดหลังจากที่กลับไปแล้วก็ได้
ของชิ้นที่สี่ก็คือผลึกแก้ว ที่มีแมลงถูกผนึกเอาไว้ด้านใน
ผลึกนั้นเป็นผลึกที่มีคุณภาพสูงอีกเช่นกัน ดังนั้นแมลงที่อยู่ด้านในก็จะต้องไม่ใช่แมลงธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
ผ้าเท่อลั่วเค่อคิดไม่ออกว่าสิ่งนี้คืออะไร ซูเฉินจึงทำได้เพียงเก็บมันกลับไปเท่านั้น
ของชิ้นสุดท้ายนั้นเป็นคัมภีร์ที่เปล่งรังสีพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างแรงกล้า
ซึ่งซูเฉินรู้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้ผ้าเท่อลั่วเค่อบอกอะไรเลยด้วยซ้ำ
“คัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหม คัมภีร์ที่ทำจากผิวหนังของเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินตะลึง
คัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่วัตถุลับแต่อย่างใด นิกายแห่งพระแม่เองก็ยอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีสิ่งนี้อยู่ในครอบครอง
พระแม่ได้ทิ้งผิวหนังบางส่วนของนางเอาไว้ให้กับผู้นำนิกายในครั้งแรกที่นางปรากฏกายขึ้น ชิ้นส่วนผิวหนังนั้น พร้อมกับขนนกสวรรค์อีกหกเส้นจึงกลายเป็นมรดกตกทอดของนิกายแห่งพระแม่
การใช้คัมภีร์นั้นง่ายดายมาก ไม่ว่าจะใส่วิชาอาร์คาน่าชนิดใดลงไปในคัมภีร์นั้น พลังของวิชานั้นก็ถูกอาบด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์และทำให้ความยิ่งใหญ่ของมันเพิ่มมากขึ้นอีกมาก
แม้แต่วิชาอาร์คาน่าระดับ 1 เมื่อถูกใช้ผ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ยังสามารถมีพลังของวิชาอาร์คาน่าระดับ 5 ได้เลยด้วยซ้ำ
สำหรับวิชาอาร์คาน่าระดับสูงนั้นอาจไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งได้มากนัก แต่พวกมันก็ยังสามารถยกระดับขึ้นไปอย่างน้อยหนึ่งขั้น
วิชาอาร์คาน่าระดับ 10 จะสามารถพัฒนาไปถึงระดับวิชาอาร์คาน่าในตำนานได้เมื่อถูกใช้งานผ่านคัมภีร์นี้
แต่คัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นก็สามารถใช้ได้กับวิชาอาร์คาน่าได้คราวละหนึ่งวิชาเท่านั้น หลังจากการใช้งานทุกครั้ง อักขระอาร์คาน่าก็จะถูกสลักลงไปบนนั้น
วิชาในการสลักลงบนคัมภีร์นั้นซับซ้อนกว่าการสลักทั่ว ๆ ไปมาก เพราะมันสามารถถูกใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในแต่ละการต่อสู้
หากว่ากันตามความจริงแล้วคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานจริงเลยด้วยซ้ำ
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับล่างอาจมองว่ามันมีประโยชน์ หากปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 1 สองคนต่อสู้กัน มันอาจทำให้หนึ่งในนั้นสามารถปล่อยพลังอาร์คาน่าระดับ 5 ออกมาได้ และการต่อสู้ก็จะกลายเป็นเหมือนการเข่นฆ่าโดยฝ่ายเดียวเท่านั้น
แต่สำหรับการต่อสู้ของผู้ที่แข็งแกร่งกว่านั้น นอกเสียจากว่าการต่อสู้นั้นกำลังอยู่ในจุดที่จะต้องตัดสินผู้แพ้ชนะ โดยมากแล้วคัมภีร์ก็ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่ายาชูกำลังขวดหนึ่งด้วยซ้ำ
ความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่กว่าการใช้งานจริงของมันอยู่มาก
และด้วยเหตุนี้ คัมภีร์จึงถูกส่งต่อกันไปโดยที่แทบไม่ถูกใช้งาน และถูกเก็บไว้เอาไว้ให้พ้นสายตาผู้คนเท่านั้น
แม้จะอยู่ในมือของซูเฉินก็ไม่ต่างกัน เขาเองมีเทียนไขชีวิตอยู่แล้ว และมันใช้งานได้ง่ายกว่าคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์มาก อีกทั้งยังทำให้เขามีพลังเพิ่มขึ้นได้ชั่วคราวในระหว่างการต่อสู้อีกด้วย ตอนนี้ชายหนุ่มอาจมีเทียนไขเหลือเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถใช้วิธีการอย่างเดียวกับสามคำสาปนั่นได้ เขาอาจไปถามเอากับตระกลูกู่เมื่อไปพบกับกู่ชิงลั่วอีกครั้ง หากได้มาอีกสักหนึ่งร้อยเล่มก็คงสบายไป แต่หากได้มาสักหนึ่งหรือสองเล่มอยู่เรื่อย ๆ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน
ดังนั้นคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์จึงต้องตกอยู่ในกลุ่มของ ของไร้ประโยชน์สำหรับการต่อสู้ที่ซูเฉินจะไม่มีทางใช้มัน อันที่จริงแล้วมันก็มีประโยชน์ในการใช้งานที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือจะสามารถช่วยซูเฉินในการศึกษาพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
คัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างไปจากขนนกสวรรค์ มันสามารถถูกเปิดเผยต่อสภาพแวดล้อมได้นานเท่าที่ผู้ใช้งานต้องการ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในนั้นถูกจัดเก็บไว้อย่างดีและไม่มีทางรั่วไหลออกมาเอง ทำให้มันควรค่าและง่ายดายต่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือข้อดีของการที่สามารถศึกษาค้นคว้าได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีค่าเพียงไรในสายตาของคนอื่น ๆ แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือของซูเฉินแล้วก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้นกว่าเดิม
ห้องเก็บของก็มีสิ่งของดี ๆ มากมายเช่นกัน แต่ของพวกนั้นก็ยังด้อยกว่าวัตถุสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
สมบัติที่หากยากในคลังของอวี้ชิงหลานและมือแห่งโชคชะตา รวมถึงในห้องเก็บของ ของนิกายแห่งพระแม่นั้นคงจะรู้สึกถูกหมางเมินมาเป็นเวลานานอย่างแน่นอน
เครื่องมือต้นกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกองรวมกันไว้เป็นพะเนินเทินทึกในแหวนต้นกำเนิดของซูเฉิน และส่วนผสมทางยาที่หายากก็ถูกเมินไปเสียอย่างสิ้นเชิง
ในด้านของความมั่งคั่งแล้ว ซูเฉินนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดของโลกนี้เลยก็ว่าได้
ทว่าเขายังคงไม่พอใจ
ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าจะเข้าไปในท้องพระคลังของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆด้วยดีหรือไม่ ?
“เทพอสูรกำลังมาและมันจะนำหายนะมาสู่เมืองล่องนภา ดังนั้นโอกาสมากมายก็จะเริ่มปรากฏขึ้น ข้าสงสัยว่าฝ่าบาทหยงเยี่ยหลิวกวงอาจออกตามล่าข้า” ซูเฉินหัวเราะพร้อมกับลูบคางด้วยท่าทางละโมบ
“ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกพยายามที่จะปล้นท้องพระคลังของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆเสียดีกว่า โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนคงรู้แล้วว่านิกายแห่งพระแม่ถูกปล้น ดังนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงเองก็จะรู้ในไม่ช้า ถ้าเจ้าเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรเอง เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ?”
“ข้าก็จะเพิ่มคนคุ้มกันท้องพระคลังให้มากขึ้น และคงรอให้หัวขโมยนั่นมาเอาของไป” ซูเฉินตอบ “และ…”
เขาหันหน้าไปและมองไปยังยอดเขาเวิ้งเมฆินทร์ “การต่อสู้ของพวกนั้นยังไม่เริ่มขึ้น และโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ยังไม่กลับมา ดูเหมือนว่าถ้าข้าไม่ผ่านไปทางนั้นในตอนนี้น่าจะดีกว่า”
“เจ้าหมายความว่า….” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
“พวกเขาเป็นพันธมิตรกันแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อตะลึง “เค่อเหลยซีต๋าเป็นอาชญากรที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆไม่ใช่หรือ ?”
“ดูเหมือนตำแหน่งนั้นจะเป็นของข้าไปแล้วละ” ซูเฉินตอบกลับพร้อมกับยิ้มขมขื่น
เพราะยังไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น ซูเฉินจึงเดาได้สถานการณ์ได้ไม่ยากนัก
เขาไม่ได้พอใจนักกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือ แต่อันที่จริงแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
คู่ต่อสู้ที่ท้าทายนั้นทำให้ทุกอย่างน่าสนใจยิ่งขึ้น
ความปรารถนาที่จะต่อสู้ในใจของซูเฉินกำลังลุกโชนอย่างเต็มที่
เขากล่าวขึ้น “ศัตรูของข้าดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งเพียงไร ข้าก็จะต้องพลิกชะตาของเผ่าปักษาให้ได้ และนี่จะเป็นคุณที่ข้าทำให้กับมนุษยชาติ !”