ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 15 แอบดู
บทที่ 15 แอบดู
ณ ราชวังภูผาสูญ
ตำหนักหงลั่ว
ห้องโถงของตำหนักนี้ทั้งใหญ่โตและกว้างขวาง แต่กลับว่างเปล่ามาก มีของเพียงสิ่งเดียวที่ถูกวางเอาไว้อยู่ตรงกลางห้อง
มันคือกระจกบานใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 7 จั้ง
ด้านในกระจกสะท้อนภาพภูเขาลำธารและทิวทัศน์ที่สวยงามตระการตา
นี่คือกระจกหงลั่ว
กระจกหงลั่วไม่ได้มีไว้สำหรับแอบดูเท่านั้น มันเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อรวมกับผนึกวิญญาณหงลั่วแล้ว มันยังสามารถแสดงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวผู้ที่ได้รับตราประทับได้อีกด้วย
จุดสีแดงของแสงเริ่มปรากฏขึ้นในกระจกหงลั่ว ระดับความเข้มของสีและความสว่างที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันของสมาชิกตระกูลกู่
และทุกครั้งที่จุดสีแดงสว่างขึ้น ก็จะสามารถเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบจุดสีแดงนั้นได้
ฉู่เจียงอวี๋ยืนยิ้มอยู่หน้ากระจก “เพียงแค่กระตุ้นตราประทับ จากนั้นท่านก็จะสามารถระบุได้ว่าบุคคลนั้นคือคนที่ท่านกำลังมองหาหรือไม่ หากมีอะไรคลาดเคลื่อนก็ต้องขอให้พี่กู่ให้อภัยข้าด้วย”
ขณะที่พูด เขาก็แตะจุดแสงจุดหนึ่งบนกระจก
ภาพของชายผู้หนึ่งกำลังเล่นสนุกอยู่กับหญิงในห้องของเขาปรากฏบนผิวกระจก
จังหวะเดียวกันกับที่ภาพนี้ปรากฏขึ้น ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ “ความรู้สึกที่เหมือนถูกจับตามองเช่นนี้มัน… หรือว่า ?”
“โอ๊ะ ข้าพลาดแล้ว ๆ ” ฉู่เจียงอวี๋หัวเราะเบา ๆ เขาโบกแขนและภาพก็หายไป
กู่เฟยหงเห็นทุกอย่างในกระจกอย่างชัดเจน ชายในกระจกคือหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลกู่ แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างใต้นั้นไม่ใช่ภรรยาของเขา แต่เป็นภรรยาของผู้อาวุโสอีกคน
สิ่งที่แย่ที่สุดคือผู้อาวุโสคนนี้อยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ ในขณะที่กู่ชิงลั่วเพิ่งจะเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าฉู่เจียงอวี๋จงใจพลาดพลั้ง
“องค์รัชทายาท !” กู่เฟยหงตะโกน
“อ่า ข้าผิดเอง ต้องขออภัยด้วย” ฉู่เจียงอวี๋หัวเราะเบา ๆ เขาแตะจุดแสงอีกครั้ง คราวนี้เป็นใครบางคนที่อยู่ในด่านสู่พิสดารและอยู่นอกเมือง
มีตระกูลกู่ไม่มากนักที่จะออกไปเดินอยู่นอกเมือง จุดสีแดงจุดแรกกลับไม่ใช่กู่ชิงลั่ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาแตะจุดสีแดงจุดที่ 2 ภาพของกู่ชิงลั่วก็ปรากฏขึ้นในกระจก
นางอยู่ในห้องหินกับซูเฉิน และกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับเขาอยู่
ความรู้สึกว่าถูกเฝ้ามองผุดขึ้นในใจของนางในทันใด การแสดงออกของกู่ชิงลั่วเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “กู่เฟยหงเจอข้าแล้ว !”
ซูเฉินโบกมือ ทันใดนั้นควันพวยพุ่งเข้าปกคลุมทั้ง 2 เอาไว้ ทำให้ผู้เฝ้ามองไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ของทั้งคู่ได้อีกต่อไป
แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดจุดแสงสีแดงที่เป็นตัวแทนของกู่ชิงลั่ว ที่ปรากฏอยู่ในกระจกหงลั่วได้
“เจอแล้ว” ฉู่เจียงอวี๋ยิ้ม
“คู่สุนัขผัวเมีย ! ข้าจะไปฆ่าพวกมันเดี๋ยวนี้ !” กู่เฟยหงตะโกน
ฉู่เจียงอวี๋โยนยันต์สื่อสารให้อีกฝ่าย “ท่านพาคนไปไล่ล่าพวกนั้นเสีย ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่ ไม่ว่าพวกมันจะหนีไปไหนก็ไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาของเราได้”
“ขอบคุณท่านมาก องค์รัชทายาท !” กู่เฟยหงเร่งรีบออกจากตำหนักหงลั่วไปในทันที
ขณะที่ฉู่เจียงอวี๋เฝ้ามองแผ่นหลังนายน้อยกู่ห่างออกไป เขาก็หัวเราะอย่างมืดมนและหันกลับมาจับจ้องที่กระจกหงลั่วต่อ
องค์รัชทายาทแตะกระจกอีกครั้ง คราวนี้เป็นจุดสีแดงเข้ม 3 จุด
ภาพปรากฏขึ้นบนกระจกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นผู้อาวุโส 3 คน แบ่งเป็นชาย 2 และหญิง 1 กำลังนั่งเป็นรูปสามเหลี่ยมรอบล้อมเทียนทั้ง 161 เล่มที่ถูกวางเรียงไว้ในรูปแบบแปลก ๆ และทอประกายแสงประหลาด
“ไม่ดีแล้ว !” หญิงชราผมขาวสัมผัสได้ทันทีว่าพวกเขากำลังถูกจับตามอง นางเงยหน้าขึ้นและร้องออกมาขณะที่โบกมือดับไฟอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของฉู่เจียงอวี๋เป็นประกาย “พวกนั้นแอบรวบรวมเทียนไขชีวิตมากมายและเกือบจะหนีไปด้วยพวกมันได้แล้ว ในเมื่อข้าพบความลับนี้… ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ทั้งหมดนั่นพวกท่านคงต้องมอบมันมาให้กับตระกูลฉู่ !”
ฉู่เจียงอวี๋เงยหน้าขึ้นและหัวเราะ
เทียนไขชีวิต คือเทียนที่ทำขึ้นจากพลังสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของตระกูลกู่ พวกมันทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ หากอาศัยมันเป็นสื่อกลาง ผู้ใช้ก็จะสามารถปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลังออกมาได้
ในการหลอมกลั่นเทียนนี้ขึ้นมานั้น จำต้องใช้พลังของผู้ที่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลอย่างมาก
ทุก ๆ ปี ตระกูลกู่จะบริจาคเทียนไขชีวิตจำนวนหนึ่งให้กับตระกูลฉู่ แล้วตระกูลฉู่จะแจกจ่ายให้กับ 7 ตระกูลเทพอสูร
นี่คือเหตุผลที่ทั้ง 7 อาณาจักรยังไม่ได้กวาดล้างพวกเขาทิ้งจนหมด
อาจกล่าวได้ว่าตระกูลกู่เปรียบเสมือนผู้ผลิตอาวุธเชิงกลยุทธ์ ทั้ง 7 อาณาจักรพึ่งพาพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเผ่ามนุษย์จะยังคงไม่ล่มสลาย
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตระกูลกู่ไม่ต้องการถูกเอารัดเอาเปรียบปีแล้วปีเล่าเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงแอบผลิตเทียนไขชีวิตเก็บเอาไว้เองด้วย
เมื่อพวกเขาสามารถรวบรวมเทียนไขชีวิตได้มากพอ พวกเขาก็จะสามารถใช้มันเป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยวิชาลับ ที่จะช่วยย้อนเวลากลับไปและล้างคำสาปให้พวกเขากลายเป็นอิสระอีกครั้งได้
ตระกูลกู่จึงได้รวบรวมเทียนไขชีวิตอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามหลบหนี ขณะที่ตระกูลฉู่เองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำลายแผนของอีกฝ่าย และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็เก็บเทียนไขมาให้ได้มากที่สุด
นี่เป็นการต่อสู้ที่กินเวลานานนับปีและเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดลง
ในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมา ตระกูลกู่ประสบความสำเร็จอยู่สองสามครั้ง แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ล้มเหลวเช่นกัน
เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ สมาชิกบางคนก็จะได้เป็นอิสระและปราศจากการถูกควบคุม ทว่าเมื่อพวกเขาล้มเหลว เทียนไขชีวิตจำนวนมากที่พวกเขาพยายามสร้างขึ้น ก็จะถูกตระกูลฉู่รับมอบไป
สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเทียนไขเหล่านี้จะไม่ถูกนับอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องกระจายมอบให้ 7 ตระกูลที่เหลือ พวกเขาก็จะสามารถเก็บไปเป็นของส่วนตัวได้
เดิมทีตระกูลกู่ได้รวบรวมเทียนไขชีวิตมาได้ใกล้เคียงกับจำนวนที่จำเป็นต้องใช้ในวิชาลับที่ว่าแล้ว แต่เนื่องจากความหุนหันพลันแล่นอันงี่เง่าของกู่เฟยหง พวกเขาจึงต้องพบกับความล้มเหลว
บอกได้เพียงแค่ว่าในครั้งนี้ตระกูลกู่โชคไม่ดีจริง ๆ เทียนไขชีวิตไม่ได้สามารถสร้างได้ตลอดเวลา และตอนนี้พวกเขาก็ยังมาถูกฉู่เจียงอวี๋จับได้เสียอีก
——————————————————
นี่เป็นครั้งแรกที่กู่ชิงลั่วได้เห็นไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดส่องแสงสว่างสลัว ๆ ลอยอยู่เหนือแท่นบูชา
ผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายถูกกลั่นกลายเป็นหมอกอย่างช้า ๆ ภาพเสมือนที่ค่อย ๆ ปรากฏบนขึ้นพื้นผิวของแท่นบูชา แสดงให้เห็นถึงฝีมือที่เชี่ยวชาญและความมั่งคั่งของซูเฉิน
“นี่คือเจ้าในอนาคตงั้นหรือ ?” กู่ชิงลั่วพึมพำ
“ใช่ สักช่วงเวลาในอนาคตข้างหน้า ข้าจะกำลังค้นคว้าวิจัยในบางอย่างที่ข้าต้องการจะทำให้เสร็จมานานแล้ว” ซูเฉินหัวเราะอย่างพึงพอใจในขณะที่เขาจ้องไปที่ภาพนั้น
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะทำนายคาดการณ์เพียงสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการเห็นเท่านั้น และการจะทำนายสิ่งเหล่านั้นได้จำต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนราคาสูงไป อนาคตที่ได้มาเองก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้อีก ทว่าในเมื่อมันแสดงอนาคตการวิจัยให้เจ้าได้เห็นและรู้รายละเอียดแล้ว ถ้างั้นอนาคตนี้จะยังเป็นจริงอยู่อีกหรือ ? มันก็เท่ากับว่าเจ้าเปลี่ยนอนาคตไปแล้ว ใช่ไหม ?” กู่ชิงลั่วถาม
“มันแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย” ซูเฉินตอบ
“การทำนายอนาคตของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด มีปัจจัยพื้นฐานซึ่งเป็นตัวคอยกำหนดผลลัพธ์อยู่ 2 ประการ อย่างแรกคือระยะเวลา และอย่างที่ 2 คือตัวเหตุการณ์เอง มันจะไม่บอกเวลาที่แน่นอนของอนาคตนั้น ๆ เว้นเสียแต่ว่าข้าจะถามไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไร”
“คำทำนายที่ได้มาเมื่อครู่นี้ เป็นผลลัพธ์จากที่ข้าต้องการเห็น ตัวข้าที่ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าเกี่ยวกับคำสาปทั้ง 3 โดยไม่เจาะจงช่วงเวลา จากนั้นไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ให้คำตอบแก่ข้า คำตอบนี้มีให้เฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีเวลาระบุ ตราบเท่าที่ข้าไม่พยายามเปลี่ยนแปลงเวลา มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความแม่นยำของการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนี้”
“กล่าวคืออนาคตไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป มันแค่จะเกิดขึ้นก่อนกำหนดก็เท่านั้น หรือเปลี่ยนจากที่ว่ามันจะสำเร็จหลังจากนี้ มาเป็นตอนนี้แค่นั้นเอง”
เมื่อภาพทำนายจบลง ซูเฉินก็ยกมือขึ้น และเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเกิดจาตามทันและซับซ้อนยิ่ง
ผลึกวิญญาณช่วยให้เขาจำทุกสิ่งที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจนทุกรายละเอียด ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องทดลองซ้ำ หลังจากความพยายามเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถสกัดสารสีดำออกมาจากเลือดของกู่ชิงลั่วได้สำเร็จ
เจ้าสารสีดำนี้มีน้อยมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นั่นเพราะพวกมันสกัดมาจากเลือดเพียงหยดเดียวของกู่ชิงลั่วมันจึงเป็นส่วนน้อยมาก แต่ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉิน ทำให้เขาเห็นได้ชัดเจนว่าพวกมันมีอยู่จริง
นี่เป็นสสารต้นกำเนิดชนิดพิเศษที่ทำให้สมาชิกของตระกูลกู่ถูกควบคุมโดยคำสาปมังกร ซูเฉินจึงตัดสินใจเรียกมันว่า สสารวงศ์มังกร
สสารวงศ์มังกรนั้นคล้ายกันกับสสารต้นกำเนิดแห่งความมืดและสสารจำลองร่าง พวกมันเป็นสิ่งหายากยิ่ง ดังนั้นขั้นตอนต่อไปที่ซูเฉินจะทำคือการหาวิธีที่ดูแลสสารต้นกำเนิดพิเศษพวกนี้ต่อไป
เขาไม่จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือนำพลังรวบรวมสสารวงศ์มังกรอย่างช้า ๆ เพราะสสารนี้สามารถเพาะเลี้ยงให้เติบโตได้ด้วยเชื้อบางประเภท
ซูเฉินไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดได้ให้คำตอบเขามาเช่นนี้ หมายความว่าเครื่องมือนำพลังน่าจะใช้ไม่ได้กับสสารตัวนี้ ส่วนเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องทดลองหาคำตอบกันต่อไป
หลังจากเตรียมอาหารเพาะเชื้อให้สสารวงศ์มังกรเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็ปิดผนึกขวด
“ขั้นต่อไปคือการเลี้ยงดู หลังจากทิ้งไว้สักวัน เราคงจะได้รับสสารวงศ์มังกรมากพอให้ใช้”
“พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าสามารถเข้าใจคำสาปมังกรที่ตระกูลฉู่ใช้เพื่อควบคุมตระกูลกู่แล้ว ? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย” กู่ชิงลั่วจ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง
นี่เป็น 1 ใน 3 สมบัติที่ตระกูลฉู่ใช้เพื่อควบคุมตระกูลกู่ แต่ตอนนี้ซูเฉินเองก็สามารถควบคุมมันได้แล้ว ไม่ใช่ว่านี่เท่ากับว่าในอนาคตหลังจากนี้ตระกูลซูเองก็จะสามารถควบคุมตระกูลกู่ได้เหมือนกันหรอกหรือ ?
“อืม จะพูดอย่างนั้นก็ได้” ซูเฉินยิ้ม
“แต่ถ้าไม่มีคทามังกร แล้วเจ้าจะควบคุมมันได้อย่างไร ?”
“ไม่จำเป็น” ซูเฉินตอบ “ข้าเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้สืบทอด”
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างตระกูลฉู่กับซูเฉิน คือซูเฉินเข้าใจวิธีการใช้สสารวงศ์มังกรจริง ๆ
แม้ว่าผู้สืบทอดจะสามารถควบคุมคำสาปทั้ง 3 ได้ในระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงควบคุมพวกมันได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลฉู่จะควบคุมมันได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องอาศัยคทามังกร
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินได้เพาะเลี้ยงสสารวงศ์มังกรขึ้นตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้สสารวงศ์มังกรได้โดยไม่ต้องพึ่งสื่อกลาง เขาสามารถแทรกแซงสสารวงศ์มังกรด้วยพลังจิตและควบคุมมันผ่านวิชาที่เขาพัฒนาขึ้นได้ และไม่ต้องพึ่งคทามังกรเลยแม้แต่น้อย
แต่ในทางกลับกันซูเฉินก็ไม่สามารถยกเลิกการควบคุมของคทาได้ หรือก็คือทั้งเขาและคทามังกรต่างก็สามารถควบคุมสสารวงศ์มังกรได้ ตระกูลกู่จึงมีเจ้านายคนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนในทันใด
ไม่มีใครคาดเลยคิดว่าซูเฉินจะมาถึงจุดนี้ได้ แม้แต่กู่ชิงลั่วเองก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จากนี้ไปตระกูลกู่จะต้องเชื่อฟังเจ้าด้วย ?”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ข้าเพิ่งจะเข้าใจคำสาปเพียงแค่อย่างเดียวยังคงมีอีก 2 คำสาปที่ข้าไม่รู้วิธีแก้ และความชำนาญในการควบคุมสสารต้นกำเนิดชนิดนี้ยังไม่ดีนัก ข้าต้องใช้เวลากับมันมากกว่านี้” ซูเฉินตอบ
“แต่เจ้าก็มีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดช่วยประหยัดเวลาไปมากอยู่ดี”
“ถูกต้อง” ซูเฉินยิ้ม
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนได้ ปกติแล้วมันจะให้คำตอบในเรื่องที่เขาต้องใช้เวลาศึกษาอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จ
เวลาคือผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมอบให้เขา
เมื่อเขาได้พบวิธีควบคุมสสารวงศ์มังกรแล้ว ซูเฉินก็ทำนายอีก 2 ครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้มาช่วยเขาสกัดสำเร็จได้แค่สสารต้นกำเนิดหลักของผนึกวิญญาณหงลั่วเท่านั้น ส่วนมือสังหารฝันบรรพกาลเขาล้มเหลวที่จะสกัดมันออกมา เห็นได้ชัดว่าคำสาปสุดท้ายนี้ สำคัญที่สุดและซับซ้อนที่สุด ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ซูเฉินอาจจะไม่สามารถแก้มันได้
ชายหนุ่มเข้าใจดีว่ามันเป็นเพราะเขายังเข้าใจคำสาปทั้ง 2 ไม่ลึกพอ ถึงไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้คำตอบแก่เขาได้ แต่มันไม่สามารถให้กระบวนการวิจัยแก่เขาได้ ดังนั้นซูเฉินจึงต้องหาวิธีแก้ไขด้วยความรู้ทั้งหมดของตนเอง หลังจากที่เขาสามารถเติมเต็มความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำสาปทั้ง 2 ที่ขาดหายไปได้แล้วมาสกัดมือสังหารฝันบรรพกาล บางทีมันอาจจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
แม้เขาจะค้นหาคำสาปทั้ง 3 ด้วยเลือดของกู่ชิงลั่วได้แล้ว ทว่าซูเฉินก็ไม่ได้หยุดมือและยังคงศึกษาสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลต่อไปจนถึงแก่น เพื่อดูว่ามีอะไรที่เขาสามารถใช้ได้อีกหรือไม่
ขณะที่เขากำลังค้นคว้าย้อนกลับ เขาก็ได้เผชิญกับผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ
ผลลัพธ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีที่เขาใช้สายเลือดเทพอสูรบรรพกาล แต่มันกลับเกี่ยวข้องกับวิธีที่เขาใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ในภาพทำนาย ซูเฉินเห็นตัวเขากำลังถวายเครื่องบรรณาการบนแท่นบูชา เขาไม่รู้ว่าคำตอบนี้เป็นของเรื่องไหนที่ตนพยายามจะทำนาย แต่เครื่องบรรณาการที่อยู่บนแท่นนั่นคือสิ่งที่ดึงความสนใจของเขา
นั่นมันคน !
“กู่หลิวอ้าน ?” กู่ชิงลั่วร้องขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงวางหนึ่งในสมาชิกของตระกูลกู่ไว้บนแท่นบูชากัน ?”
หนึ่งในสมาชิกของตระกูลกู่ ? ซูเฉินจ้องไปที่ภาพด้วยความตกใจ
ซูเฉินยังคงมองไม่ออกว่าแท่นบูชาในภาพใช่คำตอบที่เขาต้องการหรือไม่ แต่เมื่อเขาจ้องไปยังสมาชิกตระกูลกู่ที่อยู่บนนั้น ชายหนุ่มก็เข้าใจบางอย่างได้ในทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นนี้เอง ! ข้าเข้าใจแล้ว !”
“เจ้าเข้าใจอะไร ?” กู่ชิงลั่วสับสน
“ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำมาจากกระดูกของมังกรสุริยะ ! และสายเลือดของตระกูลกู่ก็คือสายเลือดมังกรสุริยะ ! เข้าใจหรือไม่ชิงลั่ว ? เครื่องบรรณาการที่ดีที่สุดสำหรับไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดคือสมาชิกของตระกูลกู่ ! หากเลือดของคนตระกูลกู่หวนกลับคืนสู่ไม้เท้า มันอาจฟื้นพลังที่เสียหายกลับมาได้ และความสามารถของมันก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น !”
เมื่อกู่ชิงลั่วได้ยิน นางก็รู้สึกเหมือนถูกฟาดอย่างแรง
“เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น… ใช่ไหม” กู่ชิงลั่วถามอย่างตกใจ
ซูเฉินจับจ้องไปที่ภาพคำทำนาย “เห็นได้ชัดว่าข้าทำ”