ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 158 เป้าหมาย
บทที่ 158 เป้าหมาย
เบื้องหน้ากำแพงเมือง
หยงเยี่ยหลิวกวงนั่งลงบนบัลลังก์และเฝ้ามองการต่อสู้อย่างสงบเงียบ เคียงข้างเขาคือเค่อเหลยซีต๋าที่กำลังรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน
“งั้นหนอนผีเสื้อนี่ก็ยังสามารถหนีไปจากเจ้าได้ใช่ไหม ?” ข้อสรุปของหยงเยี่ยหลิวกวงไม่ต่างไปจากเขา
แต่ผู้ที่รู้จักเขาเหล่านั้นเข้าใจว่ายิ่งหยงเยี่ยหลิวกวงดูใจเย็นมากเท่าไร มันก็แปลว่าจริง ๆ แล้วเขายิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
เค่อเหลยซีต๋าได้แต่ตอบอย่างช่วยไม่ได้ “เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเขาสามารถหลบหนีออกไปจากพลังวิชาสะท้อนลึกของข้าได้อย่างไร โชคยังดีที่เขาไม่สามารถหลบหลีกไปจากการตรวจสอบของข้าได้โดยสมบูรณ์ ข้าสัมผัสได้ว่าเขายังคงอยู่ในเมืองล่องนภาแต่ข้าไม่สามารถระบุตำแหน่งของเขาได้อย่างชัดเจนอีกแล้ว”
หยงเยี่ยหลิวกวงเคาะนิ้วของเขาลงบนที่พักแขนเป็นจังหวะ “คู่ต่อสู้ของเรานั้นเจ้าเล่ห์และรอบคอบยิ่งกว่าที่เราจะจินตนาการได้เสียอีก ถึงจะดูเหมือนคนบ้าแต่เหมือนว่าเขาจะได้คำนวณทุกสิ่งอย่างไว้ด้วยความระมัดระวัง เขาไม่ได้จู่โจมอย่างไร้เหตุผลด้วยเช่นกัน…..”
“ฝ่าบาทหมายถึง……”
“เยี่ยเสิ่นชาง เขาพยายามปล้นร้านค้าไปเท่าไร ?”
“ฝ่าบาท เขาปล้นไปทั้งหมด 17 ร้าน”
“ทั้ง 17 ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กันหรือไม่ ?”
“ไม่ ฝ่าบาท มีบางร้านที่ชุยอวี่คงเหินผ่านและไม่สนใจ” เยี่ยเสิ่นชางรายงาน
“เตรียมรายการของความสูญเสียทั้งหมดที่ร้านค้าเหล่านั้นได้รับ”
“ตอนนี้พวกเรากำลังจัดเตรียมมันอยู่และจะเสร็จเรียบร้อยเร็ว ๆ นี้” เยี่ยเสิ่นชางคอยรับใช้หยงเยี่ยหลิวกวงมาเป็นเวลานานและรู้ถึงลักษณะนิสัยของเขาทั้งหมด โดยเฉพาะสิ่งที่นับว่าเป็นข้อผิดพลาด ดังนั้นแล้วมันจึงไม่อาจทำกระทั่งข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย
“แล้วก็ ไปลองคิดหาบางสิ่งเกี่ยวกับร้านค้าเหล่านั้นที่ไม่ได้ถูกปล้น เตรียมข้อมูลนั้นให้ข้าด้วย”
“ขอรับท่าน”
ไม่นานหลังจากนั้น ม้วนกระดาษที่บรรจุข้อมูลของร้านค้าทั้งหมดในเขตระดับสูงก็ถูกส่งต่อมา
หยงเยี่ยหลิวกวงหยิบเอาม้วนกระดาษนั้นมาและตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
เขาค่อย ๆ พินิจพิจารณามันระมัดระวังทีเดียว
หลังจากที่อ่านมันจบแล้ว เขาก็ตกลงสู่ห้วงความคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “คนคนนี้กำลังตามหาผลึกต้นกำเนิด”
เพียงด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ในเขตระดับสูง หยงเยี่ยหลิวกวงก็สามารถค้นพบเป้าหมายของซูเฉินได้ แน่นอนว่าเป้าหมายของซูเฉินนั้นแท้จริงแล้วคือการขโมยผลึกต้นกำเนิดทั้งหมด แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ยังคงประทับใจในความสามารถของหยงเยี่ยหลิวกวงในการแยกแยะความจริงออกมาจากสถานการณ์อันโกลาหลได้
“ความรอบรู้ของฝ่าบาทช่างไร้ขอบเขตราวกับทะเล” เค่อเหลยซีต๋ากล่าว
“ทักษะของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน” หยงเยี่ยหลิวกวงวิจารณ์ด้วยสายตาที่ยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้
เขายังไม่ลืมว่าการสู้รบยังคงดำเนินอยู่
เค่อเหลยซีต๋าเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ผลึกต้นกำเนิด…… ทำไมเขาถึงต้องการผลึกต้นกำเนิดกัน ? และเมื่อเขาได้ผลึกต้นกำเนิดแล้ว เขาก็สามารถหลุดพ้นออกจากผลของวิชาสะท้อนลึกได้ มีความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองเรื่องไหม ?”
เพราะพรสวรรค์แต่กำเนิดของเค่อเหลยซีต๋าในฐานะโจร เขาจึงค้นพบจุดเชื่อมต่อระหว่างการที่ซูเฉินได้รับผลึกต้นกำเนิดและการลบล้างวิชาสะท้อนลึกได้อย่างรวดเร็ว
แต่ความสนใจของหยงเยี่ยหลิวกวงไม่ได้อยู่ในทิศทางนั้น
สำหรับเขา นั่นเป็นปัญหามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เขาจำเป็นจะต้องทำในตอนนี้คือวางแผนและรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เขากล่าว “ข้าสนใจมากกว่าว่าทำไมเขาต้องรอนานขนาดนี้ก่อนจะเคลื่อนไหว”
เค่อเหลยซีต๋าตกตะลึง “เขาคงจะรอให้เทพอสูรเข้าจู่โจมเมืองล่องนภา เพราะกองกำลังที่ทรงพลังกว่าของพวกเราทั้งหมดต่างก็กำลังวุ่นวาย มันจึงเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบในการเข้าจู่โจม”
“งั้นทำไมเขาถึงไม่เคลื่อนไหวเมื่อวานล่ะ ? คางคกพันพิษเริ่มโจมตีเมืองเมื่อวานนะ” หยงเยี่ยหลิวกวงแย้ง
เค่อเหลยซีต๋าตะลึงงัน
มันสมเหตุสมผลที่ซูเฉินจะรอคอยการโจมตีของเทพอสูรเพื่อที่จะเริ่มเคลื่อนไหว ที่จริงแล้วนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของซูเฉิน
แต่ทำไมเขาถึงไม่เคลื่อนไหวเมื่อวานล่ะ ?
หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นผู้ตอบคำถามของเขาเอง “เพราะเขากำลังสังเกตการณ์ยังไงล่ะ ?”
“สังเกตการณ์ ?” เค่อเหลยซีต๋าตกอยู่ในภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินคำพูดของหยงเยี่ยหลิวกวง
เค่อเหลยซีต๋าเคยบริการองค์กรขนาดใหญ่มาเป็นเวลานาน เขารู้ถึงบางสิ่งได้อย่างรวดเร็วและท่าทีดุร้ายก็ฉายขึ้นในดวงตาของเขา “ชายคนนี้ต้องการทำบางอย่างกับเมืองล่องนภา !”
ซูเฉินเพียงแค่สังเกตการณ์เพื่อพยายามค้นหาโอกาสที่ดียิ่งกว่าให้กับเขาเอง
เพราะยาแก้พิษที่ไม่สมบูรณ์ของเค่อเหลยซีต๋า การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของคางคกพันพิษจึงไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผลคืออำนาจทำลายล้างของมันได้ลดฮวบลงมหาศาล
เมืองล่องนภาแต่เดิมนั้นจะต้องเผชิญหน้าเพียงเทพอสูรที่อ่อนแอลงเท่านั้น โอกาสในการชนะของพวกเขาจึงแทบจะการันตีได้ ทั้งหมดที่พวกเขาต้องมุ่งความสนใจไปในตอนนี้คือการลดราคาที่พวกเขาจะต้องจ่ายในการเอาชนะศึกนี้ให้น้อยที่สุดเท่านั้น
แต่การมีอยู่ของซูเฉินได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปมหาศาล
คางคกพันพิษเป็นคู่ต่อสู้จากภายนอกในขณะที่ซูเฉินนั้นอยู่ภายใน
ซูเฉินจะไม่ใช่ซูเฉินหากเขาไม่ได้พยายามก่อกวนปัญหาขึ้นภายในเมือง
เมืองที่แข็งแกร่งหลายเมืองในประวัติศาสตร์ไม่ได้พ่ายแพ้แก่การถูกปิดล้อมแต่ถูกขายและหักหลังโดยประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นแทน
ซูเฉินเป็นเหมือนกริชที่มุ่งเป้าและเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมไปยังท้องของศัตรู ตราบใดที่เขากะเวลาได้อย่างถูกต้อง เขาจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวง
ยกตัวอย่างเช่น หากชายหนุ่มปิดเกราะป้องกันของเมืองล่องนภาลงด้วยการทำลายปราการอาร์คาน่า คางคกพันพิษก็จะได้รับโอกาสทองในการเข้าจู่โจมเมืองด้วยตัวเอง และหากนั่นทำให้มันสามารถเข้ามาในตัวเมืองได้ เผ่าปักษาก็จะถูกผลักเข้าไปอยู่ในช่องแคบแห่งความหายนะในทันที
แต่ซูเฉินไม่อาจทำเช่นนั้นสำเร็จได้
ปัญหาของซูเฉินคือการมีตัวตนอยู่ของเขาไม่ใช่ความลับ
เนื่องจากผู้คนภายในเมืองรู้ถึงการมีอยู่ของเขา การทำลายล้างที่เป็นไปได้ของเขาก็ได้ถูกลดลงไปราวครึ่งหนึ่งทีเดียว
เหตุที่ซูเฉินไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเป็นเพราะทั้งเค่อเหลยซีต๋าและเมืองล่องนภาได้เตรียมการรองรับเขาแล้ว สถานที่ทางยุทธศาสตร์ทั้งหมดถูกอารักขาไว้อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงวังแสงตะวันชั่วกาล ปราการอาร์คาน่า และปืนใหญ่เทพสายฟ้า ซึ่งค่ายกลต้นกำเนิดจำกัดขอบเขตระดับสูงใดก็ตามในแต่ละพื้นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ซูเฉินจะใช้วิชาภูติลั่นแสงในการเข้าถึงมัน
แต่เผ่าปักษาก็ไม่สามารถครอบคลุมทั้งเมืองด้วยค่ายกลต้นกำเนิดระดับสูงได้ หยงเยี่ยหลิวกวงสามารถทำได้เพียงจัดวางพวกมันไว้ในบริเวณต่าง ๆ พื้นที่ทั่วไปจึงไม่สามารถได้รับการป้องกันได้
นี่ได้มอบโอกาสให้แก่ซูเฉิน
สิ่งต่าง ๆ นั้นมักจะเกี่ยวข้องและคาบเกี่ยวมากกว่าที่ดูจะเป็น บางสิ่งอาจดูไม่สำคัญในทีแรก แต่เมื่อพวกมันถูกกำจัดออกไปจากสมการแล้ว เจ้าก็จะค้นพบทันทีว่าพวกมันมีบทบาทที่สำคัญทีเดียว
ตอนนี้เมืองล่องนภาคือศูนย์กลางของการต่อสู้หลายทิศทาง มีผู้รักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่งปรากฏตัวอยู่หมายความว่าการล่มสลายลงทั้งหมดของเมืองจะจัดการรับมือได้ไม่มากก็น้อย นี่ยังหมายความอีกว่า ตามหลักเหตุผลแล้ว ประชากรแทบทุกคนในเมืองล่องนภาได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร กระทั่งเผ่าปักษาที่ไม่ได้ต่อสู้ในแนวหน้าก็ไม่ได้รออยู่เฉย ๆ พวกเขากำลังผลิตลูกธนู ผลึกต้นกำเนิด ยา และเครื่องมือต้นกำเนิดที่จำเป็นต่อเหล่าทหารที่กำลังสู้รบอยู่ในแนวหน้า
งั้นทำไมซูเฉินถึงรอชมการต่อสู้เมื่อวานล่ะ ?
เห็นได้ชัดว่าเพื่อค้นหาว่าพื้นที่ใดในเมืองล่องนภาคือส่วนที่สำคัญที่สุดพร้อมกับมีการป้องกันที่หละหลวมที่สุด
การเคลื่อนไหวแรกของเขาคือการขโมยผลึกต้นกำเนิดทั้งหมดนี่มาใช้เป็นเครื่องสังเวยแก่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด แล้วเขาก็จะเริ่มวางแผนที่จะเข้าโจมตีเมืองล่องนภา
เมื่อเค่อเหลยซีต๋าคิดได้เช่นนั้น เขาก็ตะลึงงันไป “ฝ่าบาท ท่านคิดว่าเขาจะโจมตีที่ใดต่อหรือ ?”
แววตาของหยงเยี่ยหลิวกวงหมองมัวลงขณะที่เขาตอบอย่างเบื่อหน่าย “มีความเป็นไปได้อยู่มากเกินไป”
แนวหน้าที่แข็งแกร่งจำเป็นต้องมีการสนับสนุนของแนวหลังในหลายด้าน ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะคาดการณ์เกี่ยวกับเป้าหมายของซูเฉินได้
มันแค่มีความเป็นไปได้มากเกินกว่าที่กระทั่งหยงเยี่ยหลิวกวงจะสามารถจำกัดขอบเขตลงมาได้
“แต่ยังไงข้าก็มั่นใจว่าเป้าหมายของเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในเส้นทางเดียวกันที่เขาต้องการทำ นี่ปลอดภัยสำหรับเขามาก และนี่ยังเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวอย่างมากสำหรับพวกเราอีกด้วย” หยงเยี่ยหลิวกวงขยายความ
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็รีบรุดเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ร้านพิรุณสีโลหิตเพิ่งจะถูกปล้น !”
“ร้านพิรุณสีโลหิต ?” หยงเยี่ยหลิวกวงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หลานหยิ่งชาง”
“ขอรับท่าน !” เผ่าปักษาคนหนึ่งก้าวออกมา
หยงเยี่ยหลิวกวงถาม “เจ้าเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่การขนส่ง ร้านพิรุณสีเลือดเป็นผู้จัดส่งสินค้าสำคัญใดให้พวกเราไหม ?”
“ขอรับ !” หลานหยิ่งชางตอบทันที “พวกเขารับผิดชอบการส่งผงโชติช่วงให้แก่พวกเรา”
ร้านค้าต่าง ๆ ของเมืองล่องนภากำลังผลิตสิ่งของที่จำเป็นต่อสงคราม ข้อเท็จจริงที่ว่าหลานหยิ่งชางสามารถอธิบายบริการที่ร้านค้ามอบให้แก่กองทัพของพวกเขาได้ในทันทีนั้นทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเขาลงแรงไปกับการเตรียมการนี้ไม่น้อยทีเดียว
“ผงโชติช่วงหรือ ?” หยงเยี่ยหลิวกวงหน้านิ่ว “ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นคือวัตถุดิบที่จำเป็นในการร่ายปืนใหญ่ทลายสุริยัน”
“ถูกต้อง” หลานหยิ่งชางพยักหน้า
“ปืนใหญ่ทลายสุริยัน… ทำไมต้องเป็นปืนใหญ่ทลายสุริยัน…” หยงเยี่ยหลิวกวงเคาะนิ้วลงบนที่พักแขนขณะที่จมลงสู่ห้วงความคิด
การปล้นสะดมที่เกิดขึ้นในเขตแดนระดับสูงไม่ได้มีเวลาให้เขาหยุดพักมากนัก และการลบล้างวิชาสะท้อนลึกของเค่อเหลยซีต๋าก็เช่นกัน แต่การที่ร้านค้านี้ซึ่งรับผิดชอบการผลิตผงโชติช่วงถูกทำลายลงได้ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงต้องไตร่ตรองอย่างหนัก
ราวกับว่าเขาพบเข้ากับคำถามยากเข็ญที่เขาไม่สามารถตอบได้ไม่ว่าเขาจะคิดวิเคราะห์สถานการณ์มากเท่าไรก็ตาม
ในขณะที่หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงวนเวียนอยู่กับคำถามเหล่านี้ในหัว หมาป่าสีน้ำเงินขนาดมหึมาก็ยืนอยู่ด้านนอกในอีกฝั่งหนึ่งของเมืองล่องนภาและถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน มันจ้องมองมายังเมืองล่องนภาด้วยความแน่วแน่แต่ไร้การเคลื่อนไหว
สงครามที่ห่างออกไปนั้นโหดร้ายอย่างเหลือเชื่อ แต่สายตาของหมาป่ากลับกระจ่างแจ้งและสงบเงียบ
“นี่ ฟังนะ บรรพชนของพวกเราไม่ธรรมดาทีเดียว ! เขาปล่อยพิษใส่เผ่าปักษาหลายร้อยคนจนเสียชีวิตไปไม่นานนี้ เผ่าปักษากำลังจะสูญเสียทหารราว 6 ถึง 7 พันคนในวันนี้” นกสีทองร้องด้วยความตื่นเต้นขณะที่มันบินตรงไปยังหมาป่าและหยุดลงบนพื้นใกล้ ๆ
“ถ้านั่นคือคำชมที่ดีที่สุดที่เจ้าจะให้ได้ งั้นชายไร้ประโยชน์คนนี้ก็จะเป็นความล้มเหลว” หมาป่าตัวนั้นพูดภาษามนุษย์ด้วยรอยยิ้มแดกดัน
“ล้มเหลว ? ไร้ประโยชน์ ?” นกสีทองตกตะลึง “ฝ่าบาทเซินหลานจือเหยียน ท่านกล่าวถึงบรรพชนของพวกเราเช่นนั้นได้อย่างไร ? เขาจะล้มเหลวหรือไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ? หากเขารู้เข้า……”
“เขาไม่รู้หรอก” หมาป่ายักษ์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ด้วยความฉลาดของเขาแล้ว เขาอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดแม้ว่าข้าจะพูดมันต่อหน้าเขาก็ตาม”
ร่องรอยความเหยียดหยันปรากฏขึ้นในสายตาของเซินหลานจือเหยียน
อสูรโบราณอาจแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ความฉลาดเฉลียวของมันนั้นบกพร่องเกินไป ดังนั้นแล้วแม้ว่าเซินหลานจือเหยียนจะอ่อนแอกว่าคางคกพันพิษอยู่มากโข เขาก็ยังมองมันด้วยตำแหน่งที่สูงกว่า
“อีกอย่าง เขากำลังจะตาย แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจข้า เขาก็คงไม่ใส่ใจหรอก” เซินหลานจือเหยียนตอบอย่างใจเย็น “ตอนนี้ข้าหวังได้เพียงแค่ว่าเขาจะบรรลุหน้าที่และทำลายเมืองล่องนภาลง แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่คิดว่าคางคกพันพิษจะสามารถอดทนได้อีกนานไปกว่าคืนพรุ่งนี้เป็นอย่างช้าที่สุด”
เทพอสูรสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นนี้ได้รีดเอาพลังงานสะสมของมันไป และความแข็งแกร่งของมันก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเซินหลานจือเหยียนก็เป็นสัตว์อสูรเช่นกัน เขาจึงสามารถมองเห็นถึงสถานการณ์ของเจ้าคางคกได้อย่างชัดเจน
คางคกพันพิษจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานที่สุดเพียง 2 วันเท่านั้น
“หรือพูดอีกอย่าง……”
“เผ่าปักษา 30,000 คนคือจำนวนสูงสุดที่บรรพชนของพวกเราสามารถสังหารได้ มันไม่น่าตลกหรือ ? เทพอสูรอื่นใดก็ตามคงจะปกคลุมพื้นดินไปด้วยสายธารของโลหิต กระทั่งเมื่อเผ่าอัจฉริยะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังต้องสูญเสียไปหลายแสนชีวิตกว่าจะได้รับชัยชนะ เผ่าปักษา 30,000 คนคงจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดของจำนวนชีวิตที่จะต้องสูญเสียให้กับบรรพชนคนนี้ของพวกเรา” เซินหลานจือเหยียนถอนหายใจ
“เป็นไปไม่ได้ บรรพชนเก่าแก่… ย่ำแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ?” นกสีทองไม่อาจเชื่อในหูของตัวเอง
เซินหลานจือเหยียนส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าบรรพชนของพวกเราแย่หรอก แต่คู่ต่อสู้ของเขามียาแก้พิษบางส่วนซึ่งจำกัดความสามารถที่ทรงพลังส่วนมากของมันได้อย่างชะงัด อย่างที่สอง สภาพแวดล้อมได้ทำให้มันอ่อนแอลงอย่างหนัก ดูเหมือนโลกนี้จะไม่เอื้อต่อการอาศัยอยู่ของเทพอสูรมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่สาม… มันไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้หรอก”
“เมือง ?” นกสีทองตัวน้อยถามด้วยความตื่นตกใจ
“ใช่ เมือง !” เซินหลานจือเหยียนตอบ “เผ่าปักษากำลังพึ่งพาการป้องกันที่แน่นหนาของเมืองในการขัดขวางบรรพชนของพวกเรา ทันทีที่การป้องกันเหล่านั้นถูกทำลายลง เผ่าปักษาก็จะถูกบังคับให้จ่ายราคาที่แพงเหลือเชื่อแม้ว่าการป้องกันจะพังลงไม่นานก็ตาม”
“ฝ่าบาท งั้นยังเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเข้าไปในเมืองได้ ?”
“ยากทีเดียวละ แต่พวกเรายังมีโอกาสอยู่” เซินหลานจือเหยียนกล่าวขณะที่เขาจดจ้องไปยังเมืองที่ห่างไกลออกไป