ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 161 ทรยศและหลอกใช้
บทที่ 161 ทรยศและหลอกใช้
โจมตี !
เสียงนั้นดังสะท้อนอยู่ในหัวของเซินหลานจือเหยียน ขณะที่ความแข็งกร้าวและชั่วร้ายเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ไม่ช้า เซินหลานจือเหยียนก็พ่นเปลวไฟสีน้ำเงินที่พลันกลายร่างเป็นมังกรในทันใด มันพุ่งเข้าปะทะกับเกราะป้องกันอย่างเต็มแรง และทะลวงผ่านไปได้จนเกิดเป็นอุโมงค์เพลิงขึ้น
“ตามข้ามา !” เซินหลานจือเหยียนคำรามด้วยความไม่เต็มใจ อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนตามเขาเข้าไปในอุโมงค์นั้น
เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นดังนั้นก็พึมพำขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “อุโมงค์เพลิงสุริยัน… ขะ….ข่าเต๋อเหวยเอ่อร์ ดูสิเจ้าทำอะไรลงไป !”
เค่อเหลยซีต๋าก้มหน้าลงด้วยความประหม่า “ข้ารู้ว่าข้าเคยทำพลาดมาก่อน ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิดฝ่าบาท”
หยงเยี่ยหลิวกวงส่งเสียงดังจากในลำคอ
เค่อเหลยซีต๋ากับเซินหลานจือเหยียนต่างก็เป็นคนที่เมืองล่องนภาต้องการตัว ดังนั้นทั้งสองจึงเข้าใจกันและกัน และนั่นทำให้การสื่อสารกันบ้างเป็นครั้งคราวนั้นไม่แปลกเลย
เค่อเหลยซีต๋าเชี่ยวชาญในด้านสายฟ้า ในขณะที่เซินหลานจือเหยียนเชี่ยวชาญให้ด้านการใช้เปลวเพลิง และทั้งคู่ต่างก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากอีกฝ่าย
หนึ่งในทักษะที่เซินหลานจือเหยียนได้เรียนรู้ก็คือ อุโมงค์เพลิงสุริยัน ที่เป็นการใช้คลื่นเสียงในธรรมชาติที่ไม่มีรูปในการทะลวงเกราะป้องกัน และสร้างเป็นอุโมงค์สายลมและเปลวไฟขึ้นผ่านเกราะนั้นไป ซึ่งนี่เป็นทักษะที่ใช้เพื่อเดินทางไปทั่วทวีปได้ตามใจเขานั่นเอง
เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นดังนั้นก็ฉุนทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บกดโทสะเอาไว้และไม่ได้ลงโทษเค่อเหลยซีต๋าในสิ่งที่เขาเคยทำไปในอดีต หยงเยี่ยหลิวกวงส่งเสียงอย่างไม่พอใจอยู่ในลำคอและส่งสัญญาณให้ทหารอีกสองกลุ่มเคลื่อนพลเข้าสกัดเซินหลานจือเหยียนไว้
เขารู้ว่าที่เซินหลานจือเหยียนยิ่งเคลื่อนไหวลึกเข้าไปในเขตเมืองนั้นไม่ใช่เพื่อหลบหนี แต่เพราะต้องการจะทำลาย !
ปักษาที่ทะเยอทะยานและบ้าบิ่นคนนี้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม เขาดูไม่เหมือนกับทหารที่พร้อมจะสละชีวิต และพร้อมจะทำเพื่อชาวเมืองเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าตัวกลับออกคำสั่งให้ทหารปักษาสองกลุ่มออกไล่ตามอสูรไป และไม่ได้สั่งให้หยุดอสูรร้ายแต่อย่างใด มันคือวิธีการของหยงเยี่ยหลิวกวงในการรักษาพลังไว้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ส่วนชาวเมืองทั้งหลายนั้น…. ในเมื่อทหารมากมายก็ตายไปแล้ว แล้วการตายของชาวเมืองเพียงไม่กี่คนจะมีความหมายอะไรกันเล่า
ไม่มีใครคิดอยากเป็นผู้รับใช้ประชาชนอีกแล้วในสมัยนี้ การคิดของหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นไปในแนวทางเดียวกับจักรพรรดิของอาณาจักรอื่น ๆ ในยุคนี้
“ช่างเป็นผู้นำที่กล้าหาญจริง ๆ” ซูเฉินเห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
แล้วก็เป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้จริง ๆ หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงสนใจกับการรักษาพลังของกองทัพเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าการทำลายล้างที่จะเกิดขี้นของเซินหลานจือเหยียนก็จะมีประสิทธิภาพได้น้อยลง
การเคลื่อนไหวของเซินหลานจือเหยียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามีเป้าหมายอยู่ที่ใจกลางเมืองราวกับมีดแหลมที่พร้อมจะแทงหัวใจของมนุษย์
และสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกินนั้นก็คือ ไม่เพียงแค่อสูรร้ายที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังใจกลางเมือง แต่คลื่นพิษก็กำลังเคลื่อนที่ไปพร้อม ๆ กับมันด้วย
ยุงพิษบินโฉบไปทั่วในเมืองพร้อมกับปล่อยหมอกควันที่เป็นพิษออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อซูเฉินเห็นดังนั้น เขาก็ส่งสารให้กับเซินหลานจือเหยียนทันที “มุ่งหน้าไปที่ถนนสือหลิ่ว ข้าจะไปรอที่นั่น”
เซินหลานจือเหยียนตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่รู้ว่าถนนสือหลิ่วอยู่ที่ไหน”
“ไม่ต้องห่วง ร่างแยกของข้ารออยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว”
สิ้นคำของซูเฉิน ร่างแยกร่างหนึ่งภายใต้หน้ากากก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเซินหลานจือเหยียนพร้อมกับสายลมและสายฟ้าที่กำลังทำงานอยู่ ร่างนั้นกวักมือเรียกเขาก่อนจะมุ่งหน้าออกไปโดยไม่รอช้า
ร่างของเซินหลานจือเหยียนและนกสามขาเริ่มเลือนรางขณะที่พวกเขากำลังพยายามตามไปอย่างเร็วที่สุด “ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้วสินะ เจ้ามนุษย์ !”
“พูดอย่างกับว่าข้าเป็นคนหลอกให้เจ้ามาติดกับดักอย่างนั้นละ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ ถ้าไม่มี ‘ความช่วยเหลือ’ ของเจ้า พวกนั้นก็คงทำไม่สำเร็จตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ผิดที่ช่วยเจ้าใช่ไหม ?”
“เปล่าเลย ข้าก็แค่คิดว่าเจ้ามีเป้าหมายแอบแฝงบางอย่าง”
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วย ก็ควรจะเคารพกันให้มากกว่านี้สักหน่อย”
เซินหลานจือเหยียนคำรามและเงียบไป
ถนนสือหลิ่วไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก ขณะที่เซินหลานจือเหยียนตามร่างแยกของซูเฉินไปนั้น ทหารปักษาก็เริ่มรวมตัวกันและไล่ตามเขามาติด ๆ ในขณะที่เหล่าอสูรร้ายก็พยายามที่จะวิ่งไล่ตามเผ่าปักษาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับปล่อยการโจมตีเข้าไปยังใจกลางเมือง เมืองล่องนภาตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลไปเสียแล้ว
แต่หากมองจากมุมของหยงเยี่ยหลิวกวงแล้วนั้น สถานการณ์กลับดูแตกต่างออกไป
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวขึ้น “แปลกจริง ?”
“อะไรหรือฝ่าบาท” เค่อเหลยซีต๋า ถามขึ้น
“เส้นทางที่เขาใช้น่ะมันจะเป็นปัญหา” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบนิ่ง ๆ “ดูเหมือนว่าเขาจะมีจุดหมายในใจอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยฝ่าบาท มีไอ้มนุษย์นั่นคอยช่วยอยู่…” เค่อเหลยซีต๋าพลันรู้สึกใจหายวาบ “ไม่ได้การแล้ว ! ไอ้เวรนั่นเก่งกาจนักในเรื่องการใช้วิชาพลังพื้นที่ หากเขาเตรียมการเรื่องนี้มาแล้ว ก็เป็นไปได้แน่นอนทีเดียวว่าเขาจะช่วยให้เซินหลานจือเหยียนหนีไปได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหยงเยี่ยหลิวกวงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาคิดอุบายที่แยบยลและยิ่งใหญ่นี้ขึ้นก็เพื่อจะจับตัวและกำจัดเซินหลานจือเหยียน ซึ่งถือเป็นการกำจัดปัญหาอย่างถอนรากถอนโคนและสร้างความสงบสุขให้กับเผ่าปักษาอีกครั้ง หากเซินหลานจือเหยียนหนีไปได้ การลงทุนครั้งนี้ก็จะเปล่าประโยชน์ในทันที !!
เมื่อคิดได้ดังนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงก็พลันลุกขึ้นและมองดูเซินหลานจือเหยียนมุ่งหน้าไปตามเส้นทางในเมือง ก่อนจะกล่าวขึ้น “พวกนั้นกำลังไปที่ถนนสือหลิ่ว ! ใช้หุ่นเชิดคุ้มกันและหยุดพวกมันไว้ !”
สิ้นคำสั่งนั้น หุ่นเชิดคุ้มกันที่อยู่ใกล้กับถนนสือหลิ่วก็ปฏิบัติการทันที
ใกล้กันกับถนนสือหลิ่วนั้นมีป่าศิลาที่เต็มไปด้วยรูปปั้น
รูปปั้นเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นตามคำสั่งการของหยงเยี่ยหลิวกวง และกลายร่างเป็นหุ่นยักษ์ที่มีความสูงเกือบ 9 จั้งเศษ พวกมันเดินออกมาจากป่าศิลาและมุ่งหน้าไปยังกลางถนน มือข้างหนึ่งของหุ่นยักษ์กำลังกวัดแกว่งดาบไปมา หุ่นบางตัวยังแบกปืนใหญ่พลังต้นกำเนิดไว้บนหลังอีกด้วย ซึ่งนอกจากหุ่นยักษ์เหล่านี้แล้ว หุ่นอีกจำนวนหนึ่งที่กลายร่างเป็นอสูรก็มุ่งหน้าเข้าขวางเส้นทางเอาไว้เช่นกัน และหุ่นทุกตัวนั้นล้วนมีพลังอันแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งสิ้น
ผิวของหุ่นเชิดเหล่านั้นหนาเป็นพิเศษ และพวกมันมีทั้งความสามารถในการรุกคืบและตั้งรับที่เก่งกาจยิ่งนัก เหล่าหุ่นรบตั้งแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเซินหลานจือเหยียนเดินทางมาถึง เขาก็จะได้รับการทักทายด้วยลูกกระสุนจากปืนใหญ่พลังต้นกำเนิด จากนั้นหุ่นทั้งหลายก็จะเริ่มดาหน้ากันเข้ามาและอาศัยร่างโลหะอันแข็งแกร่งที่สามารถต้านทานพลังต้นกำเนิดได้นั้นเพื่อต้านทานกับการโจมตีแบบเพลิงกัดกร่อนของเซินหลานจือเหยียน แล้วพวกมันก็จะใช้ดาบในมือฟันเข้าใส่อสูรร้ายโดยอาศัยหุ่นเชิดระดับมโหฬารสองตัวที่เซินหลานจือเหยียนรักเป็นพิเศษ
หุ่นระดับมโหฬารเป็นสมบัติของเผ่าปักษา ร่างของพวกมันถูกสร้างขึ้นจากโลหะคุกนิลกาฬและแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบ หุ่นแต่ละตัวนั้นทรงพลังเทียบเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานเลยทีเดียว
แน่นอนว่าหุ่นทั้งหลายนั้นไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับปรมาจารย์อาร์คาน่านตำนานได้ อย่างไรแล้วพวกมันก็ยังขาดความสามารถในการปรับตัวอย่างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ แต่พลังป้องกันและโจมตีของหุ่นยักษ์ก็ถือว่าเทียบเท่ากันได้ ในการต่อสู้กับหุ่นสองตัวต่อปรมาจารย์หนึ่งคนนั้น พวกมันก็จะสามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
เซินหลานจือเหยียนพลันต้องเข้าไปพัวพันกับหุ่นเชิดระดับมโหฬาร แม้กระทั่งเทพอสูรก็ยังหนีไปจากพวกมันได้ยากเย็นนัก จึงได้แต่คำรามขึ้นอย่างร้อนรน “นี่ มาช่วยข้าตรงนี้หน่อยสิ !”
ทว่า… ร่างแยกของซูเฉินกลับยักไหล่และตอบกลับมา “ข้าเป็นแค่ร่างแยก ข้าช่วยอะไรไม่ได้หรอก เจ้าจะหนีไปได้ก็คงต้องอาศัยพลังของตัวเองเท่านั้น ถ้าทำไม่ได้… ข้าเองก็ช่วยไม่ได้”
“นี่เจ้าเตรียมอะไรไว้บ้าง ?” เซินหลานจือเหยียนถามกลับไป
ซูเฉินหัวเราะ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของซูเฉิน เซินหลานจือเหยียนก็รู้สึกใจหาย
ดูเหมือนเขาจะนึกบางอย่าง
“เจ้าไม่ได้คิดที่จะช่วยเขาเลยใช่ไหม ? ก็แค่ใช้พวกข้าเป็นเครื่องมือเท่านั้น !!”
ซูเฉินผงะเล็กน้อย
เขามองหน้าเซินหลานจือเหยียนที่จ้องเขม็งกลับมาราวกับว่าพวกเขากำลังสร้างสงครามกันด้วยสายตา
แววตานั้นไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเกลียดชัง
ชายหนุ่มหัวเราะ
หลังจากคิดทบทวน เขากล่าวขึ้น “ใช่ ข้าใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ ข้าไม่เคยคิดที่จะช่วยเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นอสูร และข้าไม่มีทางที่จะเป็นพันธมิตรกับอสูรอย่างแน่นอน นั่นคือสิ่งสำคัญของข้า ข้าจะหลอกและใช้เจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ”
ทว่าเซินหลานจือเหยียนไม่ได้ดูโกรธแต่อย่างใด เขากลับหัวเราะร่วนและกล่าวต่อไป “เจ้าพูดถูก เจ้าเป็นมนุษย์ และข้าก็เป็นอสูร เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเป็นพันธมิตรกัน เราทั้งสองฝ่ายคงทำได้เพียงแค่หลอกและใช้กันและกันเป็นเครื่องมือเท่านั้น แต่จุดประสงค์ของเจ้าคืออะไรกันล่ะ ?”
“เจ้าฉลาดอยู่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าน่าจะหาคำตอบเองได้” ซูเฉินตอบ “สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
เซินหลานจือเหยียนผงะไปเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ “โรงสรรพาวุธเฉินปิง ! เป้าหมายของเจ้าคือโรงสรรพาวุธเฉินปิง !”
โรงสรรพาวุธเฉินปิง ตั้งอยู่ที่ใจกลางของย่านอุตสาหกรรมของเผ่าปักษา ปืนใหญ่ทลายสุริยัน รถศึกปีศาจดำและหุ่นเชิดพร้อมรบของพวกเขาล้วนสร้างขึ้นจากโรงสรรพาวุธเฉินปิงทั้งสิ้น
ย่านนี้เป็นพื้นที่ที่สำคัญยิ่งนักสำหรับเครื่องจักรกลรบของเผ่าปักษา หยงเยี่ยหลิวกวงจัดตั้งผู้คุ้มกันจำนวนมากเพื่อดูแลพื้นที่บริเวณนี้ แม้แต่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของเมืองล่องนภา เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเคลื่อนพลผ่านทางนี้เลยสักครั้ง
จนกระทั่งร่างแยกของซูเฉินพาเซินหลานจือเหยียน มุ่งหน้าไปยังถนนสือหลิ่ว พวกเขาก็จะต้องเดินทางผ่านโรงสรรพาวุธเฉินปิง และนั่นก็คือสาเหตุที่หยงเยี่ยหลิวกวงเรียกหุ่นรบออกมาเพื่อยืนคุ้มกันและพยายามจะขัดขวางพวกเขา
แต่นั่นก็คือแผนของซูเฉินอยู่แล้ว
บนถนนสือหลิ่วนั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจแต่อย่างใด เขาไม่มีแผนการหลบหนีให้กับเซินหลานจือเหยียนอยู่แล้ว แม้ว่าซูเฉินจะสามารถเตรียมการไว้ได้หากเขาต้องการ แต่เค่อเหลยซีต๋ากับหยงเยี่ยหลิวกวงต่างก็รู้สิ่งสำคัญในใจของชายหนุ่มดี
การเป็นพันธมิตรกับอสูรนั้นไม่เป็นไปตามคติสำคัญของเขา
ชายหนุ่มคงทำเพียงหลอกใช้พวกอสูรเท่านั้น และไม่มีวันร่วมมือกับพวกนั้นแน่นอน
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ลังเลเลยที่จะหลอกเซินหลานจือเหยียน และโยนเขาเข้าไปเป็นเหยื่อล่อผู้คุ้มกันออกไปให้ห่างจากโรงสรรพาวุธเฉินปิง
หยงเยี่ยหลิวกวงเองก็หลงกลเช่นกัน เขาเกือบใช้ความได้เปรียบจาก ‘โอกาส’ นี้เพื่อส่งกองกำลังที่อยู่ใกล้เคียงเข้าไปขัดขวางเซินหลานจือเหยียนแล้วด้วยซ้ำ หากเขาลงมือทำเช่นนั้น… ซูเฉินก็คงต้องใช้เซินหลานจือเหยียนนานยิ่งขึ้นไปด้วย
ในเมืองล่องนภานั้นมีสถานที่สำคัญอยู่มากมาย เป็นไปไม่ได้เลยที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะปล่อยให้สองคนนั้นเดินไปทั่วเมืองได้ตามใจ
ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ซูเฉินก็คงจะกระโจนเข้าใส่โดยไม่รอช้า
นี่เป็นประโยชน์ที่สำคัญของการเป็นสายสืบ เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ในขณะที่เผ่าปักษานั้นอยู่ในที่แจ้ง ซูเฉินมีความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้าสถานการณ์ได้ตลอดเวลา ซึ่งหยงเยี่ยหลิวกวงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ดังนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงจึงถูกลิขิตให้แพ้ในสงครามเชาวน์ปัญญาในครั้งนี้ และนั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาโง่ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ควบคุมการลงมือของตัวเองให้ดีพอก็เท่านั้น
ขณะที่เซินหลานจือเหยียนกับหุ่นยักษ์ติดอยู่ในการต่อสู้ ร่างมนุษย์ร่างหนึ่งก็พลันพุ่งตรงเข้าไปหาพวกเขา
การสังหารหมู่และการปล้นสะดมกำลังจะบังเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ในตอนนั้นเอง หยงเยี่ยหลิวกวงก็ได้รับรายงานว่า….
“โรงสรรพาวุธเฉินปิงถูกโจมตี !”
ปัง ! เมื่อได้ยินดังนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงก็สูญเสียท่าทีที่สงวนไว้และทำลายพนักแขนด้วยฝ่ามือในทันที
“ชุยอวี่คงเหิน…. เจ้านี่ร้ายกาจนัก !” หยงเยี่ยหลิวกวงกัดฟันกรอด
ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่พอใจจนกว่าจะได้ปล้นสถานที่สำคัญทุกแห่งของหยงเยี่ยหลิวกวงจนครบ นี่เขาเป็นหัวขโมยหรืออย่างไรกัน ?