ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 178 ต่อรอง
บทที่ 178 ต่อรอง
หลังจากวางแผนร่วมกันกับหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว ซูเฉินก็เตรียมตัวเดินทางออกจากเมืองล่องนภา แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องแวะไปคลังสมบัติราชวงศ์เสร็จก่อน
ในเมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงอนุญาตให้เขาหาประโยชน์เข้าตนบ้าง หากปฏิเสธก็คงเสียมารยาท
ซูเฉินไม่สนใจทรัพยากรธรรมดา แต่พวกวิชาลับ บันทึกพิเศษที่ส่งต่อผ่านเผ่าปักษาเท่านั้น และวัตถุดิบหายากบางส่วนกลับทำให้เขาสนใจ
น่าเสียดายที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ในคลังสมบัติไม่มีของดีเหลืออยู่เลย เทพอสูรคางคกพันพิษตายไปทิ้งสมบัติไว้มากมาย แต่กลับหาไม่พบในคลังสมบัติ สุดท้ายจึงได้แต่เอาหินปีกราชวงศ์และโลหะคุกนิลกาฬก้อนหนึ่งไป
ของอย่างแรกคือผู้ก่อตั้งนามว่าปีกชราทิ้งไว้ แม้ไม่ใช่ราชาที่เก่งที่สุดเพราะขาดความสามารถทางการเมืองและด้วยนิสัยเห็นแก่ตัวส่วนตน แต่ก็ยังนับว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ปักษา เขาเป็นปักษาคนแรกที่ได้เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน และทำความเข้าใจกฎแห่งพลังได้อย่างลึกซึ้ง
หินปีกราชวงศ์ถูกทิ้งไว้ยามที่ปีกชราตื่นรู้ในขั้นหนึ่ง ความเข้าใจด้านกฎแห่งพลังฝังลึกอยู่ในหินก้อนนี้ หากมีวาสนาพอก็จะสามารถสัมผัสประสบการณ์ตื่นรู้ได้ราวกับเกิดขึ้นจริง
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอจะได้สัมผัสประสบการณ์นั้นเลย
กลับกันแล้ว โลหะคุกนิลกาฬเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างหุ่นเชิดยักษ์ แม้จะไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ตัวที่ไม่ใช้ก็จะมีกำลังน้อยกว่ามาก
ซูเฉินนำของทั้งสองสิ่งกลับมา และส่งจินเยี่ยนให้หยงเยี่ยหลิวกวง เตรียมตัวกลับแดนมนุษย์
เรื่องวุ่นวายทั้งหลายที่เขาก่อเอาไว้ตอนนี้เงียบสงบลงแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาหาทางสงบศึก
ผืนดินผันเปลี่ยน สายน้ำแห่งโชคชะตาเปลี่ยนผัน กระทั่งซูเฉินยังไม่คิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้
12 วันต่อมา ซูเฉินก็เดินทางถึงเมืองหลวง
จูเฉินฮ่วนรอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
“ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว” จูเฉินฮ่วนชิงเอ่ยขึ้นก่อน “แน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนี้ ?”
จูเฉินฮ่วนสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ เพราะตนเองเป็นคนคิดแผนนี้มาตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้ดันอยากกลับลำ แม้จะทำไปเพื่อช่วยจูเซียนเหยา แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
ซูเฉินไม่ติดใจอะไร “มันช่วยไม่ได้ หยงเยี่ยหลิวกวงแผนสูงกว่าที่คาดไว้ ครั้งนี้คือเขาชนะ ไม่ว่าอย่างไรจูเซียนเหยาก็เป็นสตรีของข้า ข้าไม่นั่งมองนางตายหรอก”
“ใช้เหตุผลเช่นนี้โน้มน้าวผู้นำอาณาจักรทั้ง 3 ไม่ได้หรอก เรื่องนี้เป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอาความรักระหว่างหนุ่มสาวสองคนมาเป็นเหตุผลได้”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าก็ไม่คิดจะใช้แค่คำพูดอยู่แล้ว…. คนประเภทนี้ใช้แค่คำพูดต่อรองไม่ได้”
ภายในวังม่านวายุ
หลี่หวู่อี้เหลือบมองซูเฉินที่ยืนอยู่เบื้องล่างขั้น 1
“ปราชญ์ชาญโลกของเผ่ามนุษย์แท้จริงแล้วเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งนี่เอง อัจฉริยะหาใครเทียมจริง ๆ!”
ว่าแล้วก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “ด่านผลาญจิตวิญญาณ…. เจ้าอยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณแล้วงั้นหรือ ? มาถึงขั้นนี้ได้แล้วหรือนี่ ?”
“ขอรับ !” ซูเฉินไม่คิดปิดบังพยักหน้าตอบ “ฝ่าบาทอยากได้วิชาหรือไม่ ?”
“เจ้าเต็มใจมอบให้งั้นหรือ ?”
“ข้าก็ไม่ได้วิจัยมาเพื่อเก็บเป็นความลับแต่แรกอยู่แล้ว”
“ราคาเล่า ?”
“ฝ่าบาทรู้อยู่แล้ว”
หลี่หวู่อี้หัวร่อ “น่าสนใจ ซูเฉิน เจ้าเห็นเรื่องการเมืองของอาณาจักรเป็นอะไร ? คิดว่าศึกสงครามคืออะไรกันแน่ ? เจ้าคิดหรือว่าอยากจะก่อศึกหรือจบศึกได้ตามใจชอบ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่เคยเห็นมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ และไม่เคยคิดจะนำทางอาณาจักรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ดังนั้นข้าจึงยอมจ่ายเพื่อทำมันให้สำเร็จ”
“ยังไม่มากพอ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะสัญญาว่าจะไม่มอบวิชานี้ให้ใครอื่นนอกจากพวกเรา !” หลี่หวู่อี้เอ่ยตามตรง
แม้วิชาทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไร้สายเลือดจะนับว่ารำคาญเป็นยิ่งนัก แต่ถ้าซูเฉินแจกจ่ายออกไปจะทำให้มูลค่าลดลงมาก
หากซูเฉินยอมตกลงมอบวิชาให้หลี่หวู่อี้ ก็นับว่าคุ้มพอกับการที่จะหยุดสงคราม แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่าทีซูเฉินด้วย
แม้เขาจะยอมก้มหัวให้หยงเยี่ยหลิวกวงเพราะจูเซียนเหยา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาลืมจุดมุ่งหมายของตนเอง วิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดยังเป็นจุดสนใจหลักของเขา เขาย่อมไม่ยอมให้ใครมาควบคุมมันแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งก็หมายความว่าตามหลักการแล้ว จะไม่มีใครหาประโยชน์จากมันได้ทั้งสิ้น
แต่การปรับตัวตามสถานการณ์ก็ยังนับว่าไม่ผิดหลักการ
ซูเฉินเอ่ย “ข้าจะยอมให้อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยใช้มันแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 10 ปี”
“ไม่ !” หลี่หวู่อี้ปฏิเสธทันควัน “ผลของวิชาเช่นนี้จะอยู่นานชั่วรุ่น จะให้พวกข้าใช้เพียงแค่ 10 ปีหรือ ? น่าขัน”
ซูเฉินถอนใจ “ฝ่าบาท หากท่านเข้าใจว่ามันมีผลหลายชั่วอายุคน เช่นนั้นท่านควรเข้าใจว่าคำขอนี้คือความเห็นแก่ตัว”
หลี่หวู่อี้ตอกกลับ “แต่เจ้าก็ขอให้ข้าหยุดสงครามเพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้าเองเหมือนกันไม่ใช่หรือ ?”
“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท ท่านพูดไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าก็เป็นข้าที่สร้างโอกาสให้อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยได้ระดมทัพมาตั้งแต่แรก”
“ดังนั้นก็ควรจะถนอมโอกาสนี้ให้มากสักหน่อย”
ซูเฉินคลี่ยิ้ม “นาน ๆ จะลงมือทำการใหญ่บ้างก็ไม่เห็นเป็นไร”
หลี่หวู่อี้เงียบไป
การต่อรองดำเนินมาถึงขั้นนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าทั้งสองฝ่ายต้องการอะไร
ซูเฉินรู้ความคิดหลี่หวู่อี้ เขาพร้อมยุติสงคราม แต่ซูเฉินย่อมต้องมีค่าชดใช้ที่เหมาะสมให้
หลี่หวู่อี้ก็เข้าใจถึงความมุ่งมั่นที่ซูเฉินมีต่อเรื่องนี้
ทั้งสองเข้าใจกันและกันแล้ว ก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
เป็นรอยยิ้มจริงจังเสียด้วย
หลี่หวู่อี้พลันเอ่ย “ตอนนี้มืดแล้ว คุณชายซูเป็นแขก ไม่อยู่ทานอาหารสักมื้อเล่า ? จะได้คุยกันระหว่างนั้นด้วย”
“ย่อมได้ !” ซูเฉินรับปากไม่ติดพิธีรีตอง
ไม่นานเหล้าก็เริ่มออกฤทธิ์ นอกจากหลี่หวู่อี้และซูเฉิน ยังมีจูเฉินฮ่วน หวางหลาง และข้าราชการคนสำคัญอยู่ด้วย
แต่หลี่หวู่อี้สนเพียงซูเฉิน
ซูเฉินนั่งอยู่ด้านข้างเขา
“เอาล่ะ ๆ คุณชายซู กะพงเงาเหินนี่ถูกจับเมื่อเดือน 4 เนื้อฉ่ำนุ่มที่สุดก็ตอนนี้ ลองดูแล้วแสดงความเห็นสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร” หลี่หวู่อี้เอ่ยอย่างมีน้ำใจ ตักเนื้อปลาส่งให้ซูเฉิน
ซูเฉินรับเนื้อปลามากินอย่างสุภาพ หลังลิ้มรสแล้วก็พยักหน้าชม “นับว่าละลายในปากแต่ยังคงรสชาติล้ำเลิศ ฝ่าบาทสนใจอย่างอื่นนอกจากวิชาไร้สายเลือดหรือไม่ ?”
หลี่หวู่อี้ยังแนะนำอาหารอื่นให้ซูเฉินต่อ “นี่คือปีกของสัตว์อสูรระดับสูงนามเหยี่ยวเนตรทอง เก็บมาจากตัวอ่อนอายุ 2 ปี แค่จานนี้ก็ใช้ถึง 5 ตัวแล้ว… เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณชายซูเต็มใจขายหรือไม่”
ซูเฉินเคี้ยวปีกเหยี่ยวก่อนเอ่ย “อาหารในวังประณีตนัก ปีกนี่นุ่มเหลือคณา…. ฝ่าบาทเคยคิดไหมว่า ในเมื่อข้าสร้างวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดได้ ข้าเองก็สร้างวิชาที่เสริมวิชาจากสายเลือดได้เช่นกัน ?”
หลี่หวู่อี้หรี่ตา “นี่ตะขาบพิษสวรรค์ จับใส่หม้อดินแล้วอบนาม 3 วัน เจ้านี่มีพิษแปลกประหลาด แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้รสชาติอร่อย แม้จะไม่สามารถรีดพิษออกยามนำมาทำอาหารได้เพราะความอร่อยจะหายไป แต่หากลองกินเพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร…. แล้วเจ้าเคยมีความสำเร็จในเรื่องนั้นหรือไม่ ?”
ซูเฉินกลืนตะขาบลงคอแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนปรับปรุงวิชาลวงเสน่ห์ของจูเซียนเหยา”
หลี่หวู่อี้เลิกเอาอาหารมานำเสนอให้ทันที นั่งเงียบคิดอย่างเห็นได้ไม่บ่อย
ซูเฉินกล่าวได้ถูกต้อง วิชาไร้สายเลือดอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อหลี่หวู่อี้ขนาดนั้น แต่วิชาที่จะเสริมความแกร่งให้สายเลือดนั้นมีความหมายกว่ามาก
แม้จะมีคนชั้นสูงมากมายไม่พอใจที่ซูเฉินพยายามสร้างระบบการบ่มเพาะพลังที่ไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดเพียงอย่างเดียวขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้สายเลือดหมดคุณค่าไปเสียทีเดียว
ในอดีต สายเลือดนับว่าเป็นรากฐานสำคัญของระบบการบ่มเพาะพลังมนุษย์ ไม่เพียงแต่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังเป็นของที่จำเป็นต้องมีในการทะลวงพลังถึงระดับหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้จะไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเพื่อทะลวงพลังในบางขั้นอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไร้สายเลือดจะแข็งแกร่งกว่าคนที่มีสายเลือดได้
ดังนั้นแม้วิชาบ่มเพาะสายเลือดของซูเฉินจะถูกแพร่ไปไกลจนสายเลือดไร้ความจำเป็น แต่ความแข็งแกร่งที่สายเลือดมอบให้ก็ยังไม่อาจเปรียบเทียบกันได้
แต่ก็เพราะความต่างระหว่างพลังที่ลดลงย่อมทำให้พวกชนชั้นสูงไม่อาจยอมรับได้
ทว่าหลี่หวู่อี้กลับไม่ได้คิดถึงจุดนั้น
ซึ่งก็มีหลายสาเหตุ อย่างหนึ่งเป็นเพราะวิชาไร้สายเลือดไม่สามารถนำมาแทนที่วิชาจากสายเลือดได้อย่างเต็มที่ และจะกัดจัดสายเลือดเทพอสูรก็ไม่ได้ง่ายอยู่แล้ว แม้ซูเฉินจะยกระดับวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดจนสุด อย่างไรก็ยากที่จะเหนือกว่าสายเลือดเทพอสูร
ดังนั้นความต้องการที่จะถือครองวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดเพียงผู้เดียวจึงไม่ได้สูงขนาดนั้น
หากซูเฉินอยากยกระดับสายเลือดเทพอสูรตระกูลหลี่ เรื่องนี้นับว่ามีค่ากว่ามาก
“มั่นใจหรือว่าจะทำได้ ?”
“ 2 ปี หากภายในเวลานี้ยังทำไม่ได้ ท่านก็เคลื่อนทัพไปเผ่าปักษาได้เลย ระหว่างนั้นพวกปักษายังไม่ฟื้นกำลังจากความเสียหายที่ได้รับแน่นอน” ซูเฉินตอบ
“เพิ่มได้ถึงระดับไหน ?”
“ตอบได้ยาก ข้าเคยวิจัยสายเลือดตระกูลหลี่มาก่อน บอกได้เพียงแค่ว่าอย่างน้อยก็เพิ่มขึ้นในจุดที่ไม่ต่ำต้อยกว่าสายเลือดอื่น ๆ ของ 7 ราชวงศ์เป็นแน่”
ในหมู่สายเลือดเทพอสูรทั้ง 7 สาย สายเลือดตระกูลหลี่นับว่ามีพลังในการต่อสู้ต่ำต้อยที่สุด
หากซูเฉินสามารถยกระดับให้เทียบเท่ากับสายเลือดอื่น ๆ ได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
หลี่หวู่อี้คิดแล้วครู่หนึ่งจึงเอ่ย “หนึ่งปี”
ซูเฉินมุ่นคิ้ว “เรื่องนั้นไม่ง่าย หนึ่งปีสั้นไปหน่อย”
หลี่หวู่อี้ตอบเสียงมีความนัย “คิดหรือว่าข้าจะสามารถหยุดกองทัพได้ง่าย ๆ? คุณชายซูน่าจะรู้ว่าการเปลี่ยนกฎบ้านเมืองไปมาทำให้เกิดความไม่สงบ”
เป็นเหตุผลที่หนักไม่ใช่น้อย ผู้ปกครองที่เลวร้ายที่สุดคือคนที่วันนี้สั่งอย่างหนึ่ง วันหนึ่งสั่งอีกอย่างหนึ่ง
แม้พวกผู้มีอำนาจจะมีอำนาจสั่งการอะไรแปลก ๆ ก็ตาม แต่สั่งเอาตามชอบเช่นนี้อย่างไรก็สั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ภายนอกมีต่อผู้นำได้
หลี่หวู่อี้ย่อมไม่เต็มใจทำเช่นนั้น เว้นแต่ซูเฉินจะมีของชดใช้ให้
ซูเฉินยิ้มต่อ “ไม่ยากหรอก ท่านบอกว่าพวกขุนนางอยากได้ความสงบก็ได้ ดังนั้นจึงทำตามคำแนะนำอันดีของพวกเขา เท่านั้นไม่พอหรือ ?”
คนเป็นราชาจะเปลี่ยนใจไปมาตามอารมณ์ไม่ได้ แต่ย่อมสามารถทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษาได้
บางครั้งการเมืองก็เหมือนกับคนค้าประเวณี จะแต่งหน้าแต่งตัวให้กลายเป็นอย่างไรก็ได้
หลี่หวู่อี้ยิ้มเย็น “คุณชายซูมีความสามารถจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าขุนนางนับร้อยของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยในตอนนี้จะอยู่ใต้เงื้อมมือเจ้าเสียแล้ว”
ซูเฉินหัวเราะ “อย่างไรก็ยังต้องให้ฝ่าบาทช่วยเหลือในเรื่องที่กล่าวไปก่อนหน้า”
หลี่หวู่อิ้นิ่งเงียบ
เขาครุ่นคิดอยู่นานจึงตอบขึ้น “เจ้าเคยค้นคว้าสายเลือดตระกูลหลี่มาก่อนหรือ ?”
ซูเฉินรู้สึกวูบอยู่ภายในเมื่อสัมผัสได้ถึงความนัย
หลี่หวู่อี้ค่อย ๆ เอ่ยคำ “เจ้าเป็นคน… สังหารหลี่ต้าวหงใช่หรือไม่ ?”