ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 184 ลางบอกเหตุ
บทที่ 184 ลางบอกเหตุ
ซูเฉินทำให้ทั้งหกอาณาจักรเห็นด้วยตามความต้องการของเขาได้อย่างไรกัน ?
อันที่จริงแล้วก็ไม่ยากเลย เขาเพียงรู้จักใช้ความโลภของคนเหล่านั้นและท่าทีที่คาดเดาง่ายในแบบของมนุษย์ก็เท่านั้น
แม้จะมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วทั้งทวีป แต่วิธีการที่จะจัดการกับเหตุการณ์เหล่านั้นมีเพียงไม่ทางเท่านั้น นั่นก็คือสิ่งยั่วยวนใจ คำข่มขู่ อุบายในการใช้อารมณ์ และการใช้เหตุผล
ไม่มีทางเลยที่ซูเฉินจะสามารถข่มขู่ทั้งหกอาณาจักรให้อยู่ภายใต้เขาได้ และก็ไม่มีทางเช่นกันที่เขาจะใช้อุบายทางอารมณ์หรือกดดันทางการเมืองกับคนเหล่านั้นได้สำเร็จ
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือการใช้เงินฟาดหัวพวกเขานั่นเอง
เขาให้เงินทั้งกับเหล่าขุนนางและจักรพรรดิ
เป้าหมายของซูเฉินต่อขุนนางทั้งหลายก็คือทำให้คนเหล่านั้นช่วยเขาสร้างโอกาสโดยการบอกต่อสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวเอง หรืออย่างน้อยก็เกลี้ยกล่อมไม่ให้พวกเขาเข้ามาขัดขวางไว้ได้
ส่วนเป้าหมายต่อจักรพรรดิทั้งหลายนั้นก็หลากหลายและแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน
ซูเฉินหลอกล่ออาณาจักรเลี่ยวเยี่ย อาณาจักรภูผาสูญ และอาณาจักรประกายวารีด้วยวิธีการพัฒนาสายเลือด และอาณาจักรหลงซาง อาณาจักรเมฆาเคลื่อน อาณาจักรวายุโหม และอาณาจักรนกฮูกก็เช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยินดีที่จะลองดูหากทั้งหมดทั้งมวลนั้นหมายความเพียงแค่การเคลื่อนทัพเพียงส่วนหนึ่งของตัวเองเท่านั้น
ซูเฉินไม่จำเป็นต้องใช้คนทั้งกองทัพ เขาบรรลุข้อตกลงนั้นได้ด้วยการแลกเปลี่ยนและรับปากว่ากู่ชิงลั่วจะไม่สร้างทายาทเอาไว้ที่โลกภายนอก
ชายหนุ่มรับปากไว้ว่า หากพวกเขาตกลงตามเงื่อนไขนี้ เขาเองก็จะทำหน้าที่ส่วนของตัวเองให้ ถ้าเกิดมีใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยขึ้นมา ข้อตกลงนี้ก็จะเป็นโมฆะในทันที
ยากยิ่งนักสำหรับผู้ดูแลกฎทั้งหลายของอาณาจักรทั้งเจ็ดที่จะไม่คิดกังวลว่าผู้ดูแลกฎคนอื่น ๆ จะเห็นด้วยกับเงื่อนไขของซูเฉินหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีใครก็ตามเพียงแค่คนเดียวที่ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีใครต้องลำบากแต่อย่างใด และหากอีกหกอาณาจักรที่เหลือยอมรับเงื่อนไขของชายหนุ่ม และเรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ ก็ไม่มีใครที่จะไปกล่าวโทษอาณาจักรเหล่านั้นได้… เพราะพวกเขาต่างก็ยอมรับตามข้อตกลงกันแล้วทั้งสิ้น
ไม่มีความจำเป็นเลยที่คนกลุ่มเดียวจะต้องรับภาระทั้งหมดไว้ หากทั้งเจ็ดอาณาจักรรับผิดชอบร่วมกัน การปล่อยกู่ชิงลั่วไปก็ถือเป็นเรื่องเล็ก
แน่นอนว่าด้วยสถานะของซูเฉินที่เป็นถึงปราชญ์ชาญโลกและคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้แล้ว อาณาจักรทั้งหลายก็ยินดีที่จะมองข้ามผลที่ตามมาและปล่อยกู่ชิงลั่วให้เดินทางไปกับเขาได้ อันที่จริงแล้วการจะทำให้พวกเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยด้วยซ้ำ
หลี่หวู่อี้กับเจียงจูเชิงก็เช่นเดียวกัน ผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับนั้นไม่ใช้สายเลือดที่แข็งแกร่งขึ้น แต่เป็นอย่างอื่นแทน
อย่างเช่นโอสถพัฒนาพลังบางชนิดจากซูเฉิน ผู้ซึ่งเป็นนักปรุงยา หรือทรัพยากรหายากจำนวนหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะไม่ได้อยากได้หินพลังต้นกำเนิด แต่พวกเขาก็ยังสนใจในของหายากบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว ฝ่ายซูเฉินนั้นได้เก็บหอมรอมริบมาจากการปล้นดินแดนของเผ่าปักษา และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ใช้สมบัติเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์
หยงเยี่ยหลิวกวงเองก็ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นเพื่อจุดประสงค์นี้
การชิงวิญญาณอำมฤตและดวงตาไห่เสินคืนมาคือสิ่งสำคัญที่สุด และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากซูเฉินไม่ใช้เงินเข้ามาช่วย
ด้วยเงื่อนไขที่ถูกวางไว้นี้แล้ว การปล่อยให้กู่ชิงลั่วออกจากอาณาจักรภูผาสูญก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
ฎีกาทั้งหกม้วนที่วางอยู่ต่อหน้านั้นทำให้ฉู่หยวนพูดไม่ออก
ในที่สุดเขาก็ถอนใจและกล่าวกับซูเฉิน “ท่านซู ทักษะของท่านทำให้ข้าทึ่งจริง ๆ ในเมื่อทั้งหกอาณาจักรต่างก็ตกลง ข้าเองก็ควรเห็นด้วยกับท่านเช่นกัน กู่ชิงลั่วออกเดินทางไปกับท่านได้”
“ขอบคุณท่านมาก ฝ่าบาท ! คราวนี้ข้าสร้างหนี้บุญคุณเอาไว้มากทีเดียว” ซูเฉินหัวเราะ
การที่เขารับปากเรื่องวิธีการพัฒนาพลังกับอาณาจักรทั้งเจ็ดนั้นก็น่าประทับใจมากอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วอาจมีเพียงซูเฉินคนเดียวก็ได้ที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
“แต่นั่นก็จะเป็นโอกาสให้ท่านได้ค้นคว้าเกี่ยวกับสายเลือดเทพอสูรทั้งเจ็ดด้วย และความกดดันที่จะทำให้ท่านต้องหยุดการศึกษาวิธีการฝึกพลังไร้สายเลือดก็จะหายไปอีกมากด้วยเช่นกัน” ฉู่หยวนกล่าวอย่างใจเย็น
“ถูกต้อง ข้าคงซ่อนเรื่องนี้จากฝ่าบาทไม่ได้สินะ” ซูเฉินเผยยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้มีท่าทีจะปฏิเสธคำกล่าวของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
เป้าหมายของซูเฉินในการศึกษาสายเลือดของทั้งเจ็ดอาณาจักรนั้นไม่ใช้เพียงเพื่อที่จะได้สัมผัสโลหิตของคนเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มยังทำเพื่อลดความเกลียดชังจากผู้คนที่มีต่อเขาอีกด้วย
ในอดีตเมื่อครั้งที่ซูเฉินไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับประโยชน์จากสถานะชนชั้นสูง และให้คุณค่าเฉพาะกับการฝึกโดยไร้ซึ่งพลังสายเลือดนั้น เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างมองว่าสิ่งนี้เป็นภัยคุกคามเสียอย่างนั้น และสิ่งนี้ยังทำให้พวกเขาปฏิบัติกับซูเฉินอย่างเป็นปฏิปักษ์อีกด้วย ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่พวกเขาทำกับกองทัพกำลังสวรรค์ตั้งแต่ต้นจนจบนั่นเอง
แต่ยิ่งซูเฉินสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น เขาก็เรียนรู้ที่จะเลือกวิธีการในการแก้ปัญหาที่ราบรื่นมากขึ้น
เมื่อเหล่าขุนนางต่อก็เกรงกลัวที่จะต้องสูญเสียสถานะของตัวเองที่ครอบครองมาเป็นเวลานาน ซูเฉินจึงคิดหาวิธีในการพัฒนาพลังสายเลือดของพวกเขาแทน
สายเลือดยังคงมีเหตุผลของมันในการมีอยู่ ซูเฉินเพียงกำจัดอุปสรรคระหว่างระดับการฝึกแต่ละขั้นเท่านั้น ดังนั้นจึงยังคงมีช่วงว่างระหว่างพลังแต่ระดับของสายเลือดและพลังที่ไร้ซึ่งสายเลือดอยู่
ผู้ที่ครอบครองสายเลือดมักจะแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ไม่มีสายเลือดในระดับเดียวกัน
การค้นคว้าของซูเฉินทำให้ผู้ที่ไม่ได้ครอบครองสายเลือดจะสามารถบรรลุพลังขั้นที่สูงกว่าและพัฒนาศักยภาพของพวกเขาได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงยังมีความเป็นไปได้ที่จะไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย
ก่อนหน้านี้ กลุ่มที่มีสายเลือดนั้นได้เปรียบทั้งในด้านการฝึกและความแข็งแกร่ง ในอนาคตข้างหน้า พวกเขาก็จะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่า และตราบใดที่คนกลุ่มนี้สามารถรักษาจุดยืนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ความได้เปรียบและเหนือกว่านี้ก็จะยังคงเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อไป
แน่นอนว่าตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดของซูเฉินเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบทีเดียว หากเขาบรรลุพลังในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้ต่อไป ก็เป็นไปได้ที่ซูเฉินจะเติบโตได้ในอัตราที่เร็วยิ่งกว่ากลุ่มที่มีสายเลือดเสียด้วยซ้ำ
แต่นี่เป็นเคล็ดวิชาลับที่เป็นของนิกายไร้ขอบเขตเท่านั้น และต่อจากนี้ไปมันก็จะกลายมาเป็นขุมพลังของพวกเขา
การกระทำของซูเฉินในวันนี้นั้นเขาตั้งใจให้เป็นส่วนหนึ่งของยุติความขัดแย้งระหว่างเขาและจักรพรรดิทั้งหลาย
ในอดีตนั้น ซูเฉินมีเจตนาในการทำลายล้าง รวมถึงทำลายความสมดุลของสถานการณ์ปัจจุบันในขณะที่เพิ่มศักยภาพให้กับเผ่ามนุษย์ ตอนนี้เขากำลังยื่นมือเข้าไปอย่างใจเย็น และไม่ต้องการที่จะทำลายอำนาจของขุนนางทั้งหลายอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความเกลียดชังระหว่างเขากับเหล่าขุนนางลดลงนั่นเอง
แม้ว่าเรื่องนี้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่น ซูเฉินก็ยังสามารถทำมันได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
ข่าวที่ว่ากู่ชิงลั่วได้รับอิสระนั้นแพร่ออกไปทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลกู่และทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง
เรื่องน่าประหลาดใจนี้กลายเป็นเรื่องน่ายินดีไปในทันที
ความยินดีปรีดานั้นไม่ใช่สำหรับกู่ชิงลั่ว แต่กลับเป็นตัวพวกเขาเอง เพราะโอกาสเช่นนี้อาจขึ้นกับพวกเขาด้วยก็ได้ เมื่อกำแพงเริ่มจะถูกทลายลงแล้ว รอยแตกอื่น ๆ ก็จะปรากฏขึ้นในไม่ช้า สมาชิกตระกูลกู่ต่างก็อยากจะเป็นอิสระเช่นกัน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าประตูบานนั้นจะเริ่มเปิดต้อนรับพวกเขาแล้ว
แน่นอนว่ากู่ชิงลั่วก็ดีใจไม่น้อยเช่นกัน
แต่ความยินดีนั้นเป็นเพราะนางจะได้ใช้เวลาอยู่กับซูเฉิน
ตระกูลกู่ต่างปลื้มปีติกันยกใหญ่
แม้แต่บรรพชนตระกูลกู่ที่แทบจะไม่ปรากฏกายในสถานการณ์ใด ๆ เลยก็ยังมาร่วมฉลองกับพวกเขาด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู่ชิงลั่วสำคัญกับทุกคนเหลือเกิน
ทว่าสำหรับซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเองแล้วนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ความสนใจของทั้งสองอยู่ที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเท่านั้น
ไม้เท้าส่องประกายสว่างขึ้น ซึ่งภายหลังแสงนั้นก็ได้รวมกันและก่อตัวขึ้นเป็นอักขระขนาดย่อม แม้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะลอยอยู่ในอากาศเพียงแค่ไม่นานนัก แต่ซูเฉินก็จดจำมันได้โดยใช้ผลึกวิญญาณของเขา
เมื่อภาพที่ว่าหายไป ชายหนุ่มก็เริ่มบอกถ้อยคำเหล่านั้นเพื่อให้กู่ชิงลั่วเขียน
ไม่ช้าบันทึกเกี่ยวกับการพัฒนาสายเลือดวายุโหมก็ถูกถอดความจนสำเร็จ
ใช่แล้ว ทั้งสองกำลังค้นคว้าในเรื่องที่ซูเฉินได้รับปากไว้นั่นเอง
งานที่อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปีแทบจะถูกทำให้สำเร็จได้ในทันทีด้วยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและผลึกวิญญาณที่ถูกนำไปแลกเปลี่ยนกับผลึกแก้วต้นกำเนิดเพียง ‘ไม่กี่’ ชิ้น
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการทำตามคำขอจะง่ายดายเช่นนั้น ในเมื่อไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดสามารถทำนายอนาคตได้ คำตอบของมันก็ต้องถูกส่งต่อไปโดยต้องมีเงื่อนไขบางอย่างที่ตรงกันด้วยเช่นกัน
‘สูตรโกง’ นี้คงสามารถใช้งานได้โดยซูเฉินเท่านั้นอยู่แล้ว หากเป็นคนอื่นอาจได้คำตอบจากไม้เท้ายากสักหน่อย แม้จะใช้ผลึกต้นกำเนิดเทพอสูรบรรพกาลเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็ตาม เพราะโดยมากแล้วหลาย ๆ คนคงไม่สามารถบรรลุได้อย่างซูเฉินด้วยซ้ำ
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดช่วยให้ชายหนุ่มประหยัดเวลาไปได้มาก ในทางทฤษฎีแล้ว สิ่งใดที่ไม่เกินกว่าความสามารถที่ผู้ใช้งานจะทำได้ ไม้เท้าก็จะแสดงวิธีการออกมาให้ดู
ภายในคืนเดียว ซูเฉินสามารถคิดค้นวิธีการพัฒนาพลังสายเลือดได้ถึงหกวิธีด้วยกัน และเขาได้ส่งมอบวิชาประกายวารีให้กับเจียงซีสุ่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไอ้นี่มีประโยชน์ทีเดียว” กู่ชิงลั่วพ่นลมด้วยความทึ่งหลังจากที่ได้เห็นซูเฉินทำสิ่งที่อาจใช้เวลาร่วมหลายปีสำเร็จภายในชั่วข้ามคืน “ทำไมเจ้าเพิ่งจะมาทำเอาตอนนี้ล่ะ ?”
“ถ้าพวกนั้นได้มันไปง่ายเกิน วิชาพวกนี้ก็คงไม่ได้ล้ำค่านัก ข้าบอกพวกเขาไม่ได้หรอกว่าข้าทำเรื่องนี้ได้ภายในชั่วข้ามคืนในเมื่อทุกอาณาจักรตอบแทนมาแพงลิบขนาดนั้น ใช่ไหมล่ะ อย่าห่วงเลย เราจะให้พวกนั้นรออีกสักหน่อย อย่างไรแล้วข้าก็รับปากว่าจะทำให้สำเร็จในอีกสามปีอยู่แล้ว”
กู่ชิงลั่วยิ้มและหยิกซูเฉินเบา ๆ “มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะเจ้าเล่ห์อย่างนี้ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดคำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้วสินะ”
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลย เดี๋ยวเจ้าเองนั่นแหละที่จะเป็นคนต่อไป”
“ข้าหรือ ?” กู่ชิงลั่วผงะ “ข้าด้วยหรือ”
“สายเลือดตระกูลกู่เป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากข้าสามารถพัฒนาพลังของมันได้ก็คงเป็นประโยชน์ให้กับมวลมนุษย์ทั้งหมดยิ่งนัก และแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะมีอิสระ แต่หากเจ้าติดตามข้าต่อไปก็จะต้องพบกับอันตรายอีกมากมาย ชุดเกราะเวหาแข็งแกร่งก็จริง แต่มันไม่ได้ไร้เทียมทาน การพัฒนาสายเลือดของเจ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น ข้าปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู่ชิงลั่วก็ปลื้มใจเหลือเกิน
ซูเฉินไม่ได้อ่อนโยนเหมือนชายคนอื่น ๆ เขาไม่เคยพูดว่า ‘อย่ามากับข้าเลย มันอันตรายเกินไป’ แต่ชายหนุ่มกลับพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำลายพันธนาการให้กับกู่ชิงลั่วและเพิ่มพลังให้กับนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามีที่ดีควรทำนั่นเอง
การเสียสละครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้น
ทว่าคราวนี้ผลึกแก้วต้นกำเนิดกลับหายวับไปโดยไม่เปิดเผยภาพใด ๆ ออกมาเลย
“แม้แต่ผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับเจ้าอสูรก็ยังไม่พอเลยหรือ” ซูเฉินขมวดคิ้ว
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ เขาก็วางผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับราชันอสูรลงบนแท่นบูชาพร้อมกับทรายกาลเวลาอีกหนึ่งกำมือและส่วนผสมอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ทางลัดของซูเฉินมีราคาแพงมากทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคงสู้กันจนตายไปข้างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ซูเฉินวางลงบนแท่นบูชา แต่เขากลับใช้มันเพื่อการถามคำถามเท่านั้น
การทำนายปรากฏขึ้นในที่สุด
ทว่าคราวนี้มันไม่ได้แสดงให้เห็นในลักษณะของถ้อยคำของวิธีการฝึก ไม้เท้ากลับตอบกลับมาเป็นภาพประหลาดแทน
พายุเพลิงกำลังโหมกระหน่ำอยู่เหนือผิวมหาสมุทร ท้องฟ้ากลายเป็นสีครึ้มและฝนกำลังตกอย่างหนัก ความกดดันที่รุนแรงของสถานการณ์ในภาพฝังอยู่ในใจของซูเฉินและกู่ชิงลั่ว จนทำให้ทั้งคู่ตัวสั่นไปด้วยความกลัวโดยไม่รู้ตัว
ร่างของมนุษย์ปรากฏอยู่ท่ามกลางพายุเพลิงนั้น
เมื่อมองดูให้ใกล้มากขึ้นก็พบว่าร่างที่ยืนอยู่นั้นคือกู่ชิงลั่วนั่นเอง
นางเดินฝ่าไปในลมที่พัดกระหน่ำมาพร้อมกับฝนและเพลิงกัลป์ เปลวไฟนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายต่อนางแม้แต่น้อย และร่างกายของกู่ชิงลั่วก็กำลังเปล่งประกายสว่างจ้าอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นนางก็หันหน้ามา
สายตาคู่นั้นมองมาที่ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วที่กำลังมองดูเหตุการณ์อยู่
ร่างลวงตาของกู่ชิงลั่วดูเหมือนจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่นางพูดได้เลย
วินาทีต่อมาร่างนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งซูเฉินและกู่ชิงลั่วต่างพูดไม่ออก
ไม่นานนักกู่ชิงลั่วก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน “นั่นมัน… อะไรกันน่ะ”
ทำไมภาพประหลาดนั้นถึงปรากฏขึ้นทั้งที่พวกเขาแค่ถามถึงการพัฒนาพลังสายเลือดของตระกูลกู่เท่านั้น หรือว่ากู่ชิงลั่วจะต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นในวันข้างหน้าอย่างนั้นหรือ ?
แล้วมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีล่ะ ภาพเมื่อครู่นี้เป็นลางบอกเหตุที่ดีหรือไม่ดีกันแน่ ?!
ซูเฉินไม่รู้เลย แต่สัญชาตญาณกำลังทำให้เขาต้องรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียแล้ว