ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 185 วิชาสู่อมตะ
บทที่ 185 วิชาสู่อมตะ
สามวันหลังจากได้รับคำทำนายนั้น ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วก็กลับไปยังนิกายไร้ขอบเขต
เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบว่าลำแสงมากมายกำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีที่มาจากเขาหมื่นดาบ
ลำแสงเหล่านี้ไม่ใช่ไฟ แต่มันคือแสงจากปราณดาบที่กำลังเต้นรำไปในอากาศท่ามกลางหมู่เมฆ
ศิษย์จำนวนหลายหมื่นคนที่เป็นสมาชิกของนิกายไร้ขอบเขตกำลังต้อนรับการกลับมาของเจ้านิกายอันเป็นที่เคารพ และปราชญ์ชาญโลกผู้ที่เป็นผู้สร้างเส้นทางเส้นใหม่ให้กับมวลมนุษยชาติ
กู่ชิงลั่วถึงกับตะลึงเมื่อได้เห็น “นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์มากถึงเพียงนี้แล้วหรือ ?”
“ใช่ ข้าเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน” ซูเฉินถอนใจ “ทั้งหมดนี่ก็เพราะหลี่ฉงซานกับทุกคน ! ในฐานะเจ้านิกายข้ากำลังเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้หว่านไว้อยู่สินะ”
กู่ชิงลั่วหันมามอง “ใช่น่ะสิ เจ้าเดินทางข้ามผืนน้ำถึงสี่แห่งและทำลายเผ่าพันธุ์อื่น อีกทั้งยังช่วยสาวงามทั้งหลายอีก เจ้าจะมีเวลาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ?”
ซูเฉินหัวเราะลั่นแต่ไม่ได้หลงกลหญิงสาวแต่อย่างใด
หลี่ฉงซาน และคนอื่น ๆ กำลังเดินตรงเข้ามาหาซูเฉินและโค้งคำนับเขา “สวัสดี ท่านเจ้านิกาย !”
ซูเฉินรีบตอบรับ “ไม่จำเป็นต้องสุภาพกันขนาดนั้น เรามันพวกเดียวกันนะ”
หลี่ฉงซานกล่าวอย่างใจเย็น “ก็เพราะเราเป็นพวกเดียวกันถึงต้องรักษามารยาท นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว พวกเรากำลังไปได้สวยทีเดียว หากไม่มีระเบียบที่เหมาะสม แล้วเราจะขยายอิทธิพลได้อย่างไรกัน ?”
ในยุคนี้ มารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก และในหลาย ๆ ครั้งมันยังสำคัญยิ่งกว่ากฎหมายเสียด้วยซ้ำ อย่างไรแล้วกฎหมายที่ถูกนำมาบังคับใช้นั้นจะได้รับการปฏิบัติตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้บังคับใช้ด้วย ทว่ามารยาทนั้นมาจากจิตใจของผู้นั้นเองล้วน ๆ
สิ่งที่จะหยุดอำนาจอันยิ่งใหญ่ไม่ให้กระทำในสิ่งที่บ้าบิ่นเกินไปและเป็นอันตรายต่อผู้คนนั้นไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นมารยาทนี่เอง
ด้วยเหตุนี้ มารยาทจึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเมื่อซูเฉินได้ยินคำของหลี่ฉงซานแล้ว เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้และทำได้เพียงแค่ยอมรับคำทักทายเท่านั้น
หลังจากทักทายแล้ว ทั้งกลุ่มก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังด้านในของภูเขา
ซูเฉินถามขึ้น “ตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตมีกันอยู่กี่คน ?”
หลี่ฉงซานตอบ “ท่านเจ้านิกาย ตอนนี้เรามีศิษย์ทั้งหมด 32,240 คน”
“เยอะขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ซูเฉินตะลึง
ก่อนหน้านี้นิกายไร้ขอบเขตมีจำนวนสมาชิกไม่มากไปกว่าหนึ่งหมื่นคนด้วยซ้ำ แม้จะรวมกองทัพกำลังสวรรค์เข้าแล้วด้วยก็ตาม แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเป็นสามหมื่นเสียแล้ว ซึ่งมากกว่าเดิมถึงสามเท่าเลยทีเดียว
ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีการจราจรหนาแน่นแต่อย่างใด เขาหมื่นดาบนั้นค่อนข้างปลีกวิเวก และมีเพียงประชากรของนิกายไร้ขอบเขตราวห้าพันคนเท่านั้นที่ปักหลักอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ฉู่อิงหว่านยิ้ม “ทั้งหมดนี่ก็เพราะเจ้านิกาย ด้วยอิทธิพลของท่าน รวมถึงวิชาการฝึกสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้ซึ่งพลังสายเลือด ไม่แปลกเลยที่จะมีคนเข้าร่วมมากมายเช่นนี้ อีกสองหมื่นคนที่เพิ่มขึ้นมานั่น พวกข้าก็คัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดีด้วย”
ซูเฉินเห็นด้วยที่จะไม่เปิดเผยวิชาการฝึกด่านสู่พิสดารโดยไร้ซึ่งพลังสายเลือดสู่สาธารณะ แต่เขากลับทิ้งช่องโหว่เอาไว้เสียอย่างนั้น… ชายหนุ่มไม่ได้กำหนดไว้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะรับคนจำนวนเท่าไรนั่นเอง
ในช่วงปีแรก ๆ เรื่องนี้คงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่นัก แต่เมื่อวิชาการฝึกโดยไม่ใช้พลังสายเลือดแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนคนที่พัฒนาวิชานี้ไปได้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การที่นิกายไร้ขอบเขตเป็นผู้เดียวที่ครอบครองวิชาการฝึกสู่ด่านสู่พิสดารทำให้มีผลลัพธ์ที่จะเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียว……
ทั้งสองหมื่นคนนั้นถูกคัดเลือกเข้ามาแล้วเป็นอย่างดี ในทุก ๆ วันผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะเดินทางมาจากต่างแดนด้วยความต้องการที่จะเข้าร่วมกับนิกายไร้ขอบเขต
ทว่าเกณฑ์ในการคัดเลือกของทางนิกายนั้นค่อนข้างเข้มงวดทีเดียว พวกเขาไม่ได้ทดสอบในเรื่องของความสามารถ แต่กลับให้ความสำคัญกับมารยาทและสติปัญญาแทน
นิกายทั้งหลายนั้นแตกต่างไปจากตระกูล ในนิกายนั้นจะไม่มีเรื่องของการเกี่ยวข้องทางสายเลือดเข้ามาเป็นปัจจัย ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้คนในนิกายอยู่ร่วมกันได้ และนี่ก็คือสาเหตุที่การรู้มารยาทที่เหมาะสมได้ถูกเน้นและให้ความสำคัญเป็นพิเศษนั่นเอง
ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมกับนิกายไร้ขอบเขตจะต้องเรียนรู้วิชามารยาทนานถึงสามปีที่หอมรรยาท นี่เป็นเหมือนการล้างสมองพวกเขาให้เคารพต่ออาจารย์ทั้งหลาย โดยหลังจากสามปีผ่านไปแล้วเท่านั้นที่ศิษย์เหล่านี้จะถูกรับเข้ามาในนิกายอย่างเป็นทางการ
หลายคนมักยอมแพ้ไปเมื่อต้องยอมรับกับเงื่อนไขข้อนี้ แต่คนที่ยังพยายามต่อไปอย่างมุ่งมั่นก็ยังมีจำนวนมากกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อ
สิ่งล่อใจของการฝึกโดนไร้ซึ่งพลังสายเลือดนั้นยิ่งใหญ่นัก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนนั้นก็คือกองทัพกำลังสวรรค์ ในอดีตที่เคยมีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารอยู่ราวกับยี่สิบคนนั้น ในปัจจุบัน หลังจากที่วิชาการฝึกของซูเฉินถูกแพร่กระจายออกไป จำนวนของผู้ฝึกตนในระดับดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นจนมีกันถึงเกือบห้าร้อยคนเลยทีเดียว
และที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ยังมีอีกหลายคนที่ฝึกอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณ และกำลังจะบรรลุด่านสู่พิสดาร นอกจากนั้นแล้ว ผู้ฝึกที่อยู่ในระดับต่ำกว่านั้นก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อกาลเวลาผ่านไป จำนวนที่ว่านี้ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผู้ฝึกตนในระดับต่ำสุดในบรรดาสมาชิกนิกายไร้ขอบเขตก็สามารถบรรลุด่านสู่พิสดารได้ภายในห้าปีเท่านั้น
หรือก็คือทั้งกองทัพกำลังสวรรค์สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้ทั้งหมดภายในห้าปีหลังจากนั้น
นี่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งมากทีเดียว
แต่นี่ก็คือผลจากการที่ผู้ฝึกตนส่วนมากอยู่ในระดับเดียวกันมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็กำลังเริ่มเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติเช่นกัน ผู้ฝึกตนด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณนั้นสามารถพบได้ทั่วไปเลยก็ว่าได้
และนั่นก็เพราะซูเฉินรักษาสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับอาณาจักรหลงซางว่าจะไม่มีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเที่ยวเดินเพ่นพ่านอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้นจำนวนของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ดี
และสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ก่อนที่วิชาการฝึกโดยไม่พึ่งพลังสายเลือดสู่ด่านกลั่นโลหิตจะถูกพัฒนาขึ้นนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหลายก็จำเป็นจะต้องครอบครองพลังสายเลือดเพื่อที่จะบรรลุพลังต่อไปได้ และเพราะสายเลือดผสมนั้นไม่บริสุทธิ์ด่านสู่พิสดารจึงกลายเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดของผู้ที่ครอบครองสายเลือดนั่นเอง
ทว่าในตอนนี้นั้น ด้วยวิชาการฝึกระดับต่ำทั้งหลายแล้ว จึงทำให้หลายคนเลือกที่จะบรรลุสู่ด่านทะลวงลมปราณก่อนที่จะรับพลังสายเลือดเข้ามา
ด้วยพื้นฐานที่ถูกยกระดับขึ้นเช่นนี้จึงทำให้ผู้ฝึกตนไต่ระดับสูงขึ้นไปอีกได้
ณ จุดนี้ ในทางทฤษฎีก็ยังเป็นไปได้สำหรับผู้ที่มีสายเลือดผสมที่จะไปบรรลุถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้เลยด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่มีเวลามากพอที่จะมีใครสามารถบรรลุเช่นนั้นได้จริง ๆ
หากผู้ฝึกบรรลุด่านสู่พิสดารโดยไม่มีสายเลือดแล้ว จุดสูงสุดของความสำเร็จของผู้นั้นก็คือด่านมหาราชัน ซึ่งสิ่งนี้จะไม่ใช่เพียงแค่ความฝันสำหรับผู้ที่ไม่มีพลังสายเลือดอีกต่อไป และระดับการฝึกทั้งหลายก็จะไม่ได้มีเพียงผู้มีสายเลือดเท่านั้นที่จะฝึกได้
นี่ยังเป็นสาเหตุที่หลายคนพยายามหาทางเข้าร่วมกับนิกายไร้ขอบเขตให้ได้อีกด้วย
โอกาสนี้ช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก การบรรลุด่านสู่พิสดารโดยไม่มีพลังสายเลือด จากนั้นจึงรับสายเลือดเข้ามา ซึ่งเท่ากับความเป็นไปได้ในการบรรลุสู่ด่านมหาราชัน
ด่านมหาราชันนั้นเป็นการฝึกระดับสูงสุดที่มนุษย์สามารถทำได้ในขณะนี้
การที่เจ้านิกายของพวกเขาพัฒนาวิชาในการบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้นั้นหมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะไปถึงยังด่านมหาราชันก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
และมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเข้าร่วมกับนิกายไร้ขอบเขตแล้วเท่านั้น
การล้างสมองตลอดสามปีนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หากไม่ใช่เพราะพวกเขาสามารถมีชีวิตได้เพียงครั้งเดียว ผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมนิกายทั้งหลายคงยอมควักหัวใจออกมาเพื่อขอโอกาสในการเข้าร่วมไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ยังเป็นสาเหตุที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายเกลียดเขาเข้าไส้
นิกายไร้ขอบเขตพบปัญหามากพอสมควรในช่วงหลายปีที่ซูเฉินไม่อยู่ แต่เพราะนิกายสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว และความแข็งแกร่งของเหล่าผู้ฝึกตนก็มีมิใช่น้อย จึงทำให้ผู้คนภายนอกไม่สามารถทำอะไรกับนิกายไร้ขอบเขตได้
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ความล้มเหลวของตระกูลจูก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการพยายามจะหยุดไม่ให้ข้อมูลถูกแพร่กระจายนั้นไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
การจะหยุดปัญหานี้ไม่ให้กระจายต่อไปได้ เห็นจะต้องสังหารผู้คิดค้นมันขึ้นให้ตายเสียเท่านั้น
แต่ซูเฉินไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
สุดท้ายความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีเพียงตระกูลสายเลือดชั้นสูงจำนวนไม่มากเท่านั้นที่จะมีพลังและอำนาจมากพอที่จะกวาดล้างพวกเขาได้
ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนห้าร้อยคนก็ถือเป็นปัญหาใหญ่มากอยู่แล้ว
พวกเขาฝึกมาด้วยกันโดยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพกำลังสวรรค์จึงทำให้คนกลุ่มนี้สามัคคีกันยิ่งนัก ในตอนนี้ที่พลังของทุกคนเพิ่มขึ้นแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานกับผู้ฝึกตนด่านมหาราชันได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงใด ๆ ขึ้นเลยนอกเหนือไปจากการที่หลายฝ่ายต้องการจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขา
ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากความพยายามของหลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง และคนอื่น ๆ นั่นเอง
“แต่แม้ว่าเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคัดเลือกผู้สมัครพวกนั้นแล้ว ก็ยังยากนักที่จะแน่ใจได้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะภักดีอย่างแท้จริง ยังมีความเป็นไปได้ที่บางคนอาจเป็นคนของตระกูลชั้นสูงที่ปลอมตัวและลอบเข้ามา”
กัวเหวินฉ่างที่มีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยกล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวล “เราจับคนทรยศที่พยายามจะเอาวิชาการฝึกที่ไร้ซึ่งพลังสายเลือดนี้กลับไปให้กับตระกูลของตัวเองแล้ว ข้าเคยมองเขาในแง่ดีพอสมควร และชายคนนั้นก็ยังเป็นหนึ่งในศิษย์กลุ่มแรกที่ข้ารับเข้ามาด้วย ข้าไม่เคยคิดสงสัยเลยว่าคนคนนี้จะขายเราเสียอย่างนั้น ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่เรารู้เรื่องนี้ทันเวลา……”
ซูเฉินพยักหน้า “งานของเราเริ่มจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นทุกที ไม่แปลกเลยที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก หากไม่ใช่เพราะข้อตกลงที่ข้าทำไว้กับอาณาจักรหลงซางก่อนหน้านี้ วิชาการฝึกแบบไร้พลังสายเลือดสู่ด่านสู่พิสดารนี้คงถูกเผยแพร่สู่สาธารณะไปนานแล้ว ข้าทิ้งมันไว้ที่นี่โดยไม่ได้นึกถึงนิกายไร้ขอบเขต หากวันหนึ่งวิชานี้รั่วไหลออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก”
หลินเฉ่าเซวียนกล่าว “แต่เพื่อเห็นแก่ความยั่งยืนของนิกายไร้ขอบเขต ข้ายอมให้วิชานี้ถูกแพร่อย่างช้าที่สุดจะดีกว่า”
ซูเฉินหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของเราก็คงไม่ใช่การผูกขาดวิชาการฝึก แต่ใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเป็นโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้น ท่านกัว หน้าที่ของท่านสำคัญยิ่งนัก ทำอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันไม่ให้วิชาหนีหลุดรอดออกไปได้ แต่ถ้าหากวันหนึ่งมันเกิดขึ้น… ก็อย่าได้ห่วงไปเลย ถึงตอนนั้นเราคงสบายไปแล้ว และก็คงถึงเวลาที่มวลมนุษยชาติจะได้รับประโยชน์จากมันเสียที ก็แค่… ปล่อยให้สถานการณ์มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นกัวเหวินฉ่างก็ถอนหายใจยาว
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้นเก่งกาจนักเรื่องการลักลอบเข้ามา และมันทำให้เขาต้องปวดหัวที่ต้องคอยระวัง คำพูดของซูเฉินจึงทำให้ชายชราสบายใจได้ในที่สุด
“และถึงวิชาการฝึกโดยไร้พลังสายเลือดจะสำคัญกับอนาคตของชาวมนุษย์ แต่เคล็ดลับวิชาการสู้รบต่าง ๆ ก็ยังต้องถูกเก็บซ่อนไว้ต่อไป ข้าคิดว่าศิษย์ทั้งหลายเองก็ควรทำหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน จะเป็นอย่างไรถ้าในอนาคตเราจะแยกพวกเขาออกเป็น ฝ่ายใน ฝ่ายนอก และศิษย์ผู้สืบทอด ใครก็ตามที่มีพื้นฐานมากพอก็สามารถเรียนรู้วิชาการฝึกได้ทั้งนั้น แต่เคล็ดลับวิชาอย่าง ‘ลักษณ์’ นั้นจะมีเพียงกลุ่มศิษย์ฝ่ายในที่จะได้เรียนรู้ และแน่นอนว่าวิชาที่แกร่งกล้าที่สุดก็จะมีเพียงศิษย์ผู้สืบทอดเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าถึง” ซูเฉินเสนอ
ทุกคนที่มารวมตัวกันต่างรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว
หน่วยเหล่านี้จะสร้างความตึงเครียดขึ้นระหว่างศิษย์ด้วยกันเอง และนั่นจะส่งผลให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันการแบ่งฝ่ายเช่นนี้จะช่วยป้องกันให้พวกที่อยากสร้างปัญหาไม่สามารถทำตามใจได้ เท่ากับเป็นการเพิ่มความปลอดภัยโดยรวมของนิกายไปในตัว
ซูเฉินมีหัวใจเพื่อมวลมนุษยชาติก็จริง แต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวมากกว่า เพราะซูเฉินไม่ได้เป็นพ่อพระที่พร้อมจะเสียสละทุกอย่างอย่างแท้จริง อันที่จริงแล้วคนที่เป็นพ่อพระเช่นนั้นไม่มีทางเลยที่จะประสบความสำเร็จได้มากมายถึงเพียงนี้ เพราะคงไม่มีใครคิดอยากจะออกติดตามคนที่ยอมเสียสละให้ผู้อื่นเป็นแน่
ทันใดนั้นกู่ชิงลั่วกล่าวขึ้น “ฟังดูเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ข้าว่ายังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง !”
“อะไรหรือ ?” ซูเฉินถาม
กู่ชิงลั่วอธิบายต่อไป “เจ้าไม่คิดว่าชื่อ ‘วิชาการฝึกโดยไร้ซึ่งพลังสายเลือด’ มันฟังดูไม่เสนาะหูบ้างเลยหรือ ?”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
คำพูดของกู่ชิงลั่วฟังดูมีเหตุผล…. การเรียกวิชานี้ว่าวิชาการฝึกโดยไร้ซึ่งพลังสายเลือดนั้นฟังดูออกจะไร้รสนิยมไปหน่อย
ฉือไคฮวงลูบเคราตัวเอง “ภรรยาของเจ้านิกายพูดถูก วิชาพวกนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างกระดูกสันหลังให้กับนิกายของเรา เพราะฉะนั้นเราควรมีชื่อเรียกที่ไพเราะกว่านี้สักหน่อย ต่อไปนี้เราจะทำอะไรแบบขอไปทีไม่ได้อีกแล้ว เจ้านิกาย ท่านควรคิดชื่อให้กับมันนะ”
“คิดชื่อหรือ” ซูเฉินหรี่ตา
เขามองออกไปไกลจากบนยอดเขา
ไม่ช้าชายหนุ่มก็กล่าวขึ้น “นิกายไร้ขอบเขตตั้งอยู่บนเขาหมื่นดาบ และผู้ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของยอดเขานั้นสร้างสิ่งที่เรียกว่าเป็น ‘อมตะ’ ซึ่งผู้ที่เป็นอมตะนั้นจะถือว่าอยู่เหนือกฎของธรรมชาติ เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานที่มีตัวตนอยู่ในจินตนาการของมนุษย์เท่านั้น แต่วิชาการฝึกโดยไม่ใช้พลังสายเลือดถูกสร้างขึ้นเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเราก็จะไปอยู่ยังจุดสูงสุดของยอดเขา หากวันหนึ่งข้างหน้าข้าสามารถคิดค้นวิชาในการบรรลุสู่ด่านมหาราชันโดยไม่มีพลังสายเลือดได้ หรือแม้กระทั่งการบรรลุพลังในระดับที่อาจสูงขึ้นไปกว่านั้น เราอาจบรรลุสู่ด่านที่เป็นนามธรรมของผู้เป็นอมตะก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คิดว่าเราควรเรียกวิชาการฝึกโดยไม่ใช่พลังสายเลือดพวกนี้ว่า….. ‘วิชาสู่อมตะ’ ก็แล้วกัน !”