ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 21 คนขุดแร่
บทที่ 21 คนขุดแร่
ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเดินเคียงข้างกันในสวนดอกไม้ของพระราชวังฉู่ โดยมีฉู่เจียงอวี๋คอยเดินตามอยู่ข้างหลังทั้งสองราวกับว่าเขาเป็นผู้ช่วยหรือคนรับใช้
“เจ้าคิดว่าจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่งั้นหรือ ?” กู่ชิงลั่วถามขึ้น
ซูเฉินถอนหายใจ “ตอนแรกข้าอยากจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก แต่ดูเหมือนว่าหากข้าอยู่ที่นี่นานเกินไป องค์รัชทายาทคงจะเหนื่อยจนตายเสียก่อน”
ฉู่เจียงอวี๋ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
กู่ชิงลั่วพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าว่าเจ้าก็ควรกลับไปได้แล้ว”
ซูเฉินมองไปยังกู่ชิงลั่วอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาไม่อยากไปจากที่นี่เร็วนักเลย
แต่ก็อย่างที่กล่าวไป หากเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้… ต่อให้อีกเพียงไม่กี่วัน ฉู่เจียงอวี๋คงจะต้องเสียสติเป็นแน่
ในตอนนี้นั้น ตระกูลฉู่ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าให้ซูเฉินออกไปจากภูผาสูญโดยเร็วที่สุด เรื่องฉาวโฉ่นั้นจะได้เงียบไปสักที ที่จริงแล้วหากเขาไปตายที่อื่นเสียก็คงหมดเรื่อง
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้ใส่ฉู่เจียงอวี๋นัก แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องรีบไปจากที่นี่
“เมื่อออกไปจากที่นี่แล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น เจ้าอย่าลืมว่าเมื่อพวกเขาไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ทุกชั้นเชิงที่มี” กู่ชิงลั่วกล่าวเตือนซูเฉิน
“ข้าเข้าใจ นั่นเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ยิ่งข้าอยู่นานเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวเท่านั้น” ซูเฉินพูดขณะกุมมือของกู่ชิงลั่วเอาไว้
ฉู่เจียงอวี๋รู้สึกได้ว่าใบหูของตนนั้นร้อนฉ่า
ข้าก็อยู่ตรงนี้นะ ! เจ้าไม่เชื่อใจพวกเราขนาดนี้เลยหรือ ?!!
ถึงแม้ว่าพวกเราจะส่งคนออกไปเตรียมฆ่าซูเฉินแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ควรจะไร้ความเชื่อใจหรือมาพูดกันแบบนี้ !
ไหนกันล่ะ ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเราสองฝ่าย ?
ฉู่เจียงอวี๋ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
สองคนนั้นยังคงกระซิบกระซาบคำหวานเลี่ยนกันต่อไป
พวกเขาพึ่งจะได้อยู่ด้วยกันไม่นานก็จะต้องแยกจากกันอีกแล้ว ทำให้คนทั้งคู่ไม่เต็มใจนัก พวกเขาจึงเว้นระยะห่างและทำเหมือนกับว่าฉู่เจียงอวี๋นั้นเป็นธาตุอากาศ
ฉู่เจียงอวี๋รู้สึกราวกับว่าถูกกรอกอาหารสุนัขใส่ปาก เขาแอบรู้สึกโกรธอยู่ในใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการฝืนใจไปได้แล้ว ซูเฉินก็กำลังจะจากไปในที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะรีบกลับมา ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีใครคอยตามรังควานเราอีก และข้าก็จะดูแลเจ้าไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกเล ย!” ซูเฉินพูดกับกู่ชิงลั่วก่อนจะออกเดินทาง
ระหว่างบีบนวดหน้าของซูเฉินด้วยความรักใคร่ กู่ชิงลั่วก็หัวเราะราวกับคนเสียสติ
เป็นเวลานั้นเอง ที่นางพลันรู้สึกได้ถึงความศรัทธาอันน่าทึ่ง
นั่นก็เพราะซูเฉินพูดมันออกมา
ไม่ว่าซูเฉินจะพูดอะไร เขาก็จะทำได้อย่างแน่นอน !
ในเวลาต่อมา เรือเคลื่อนเมฆาก็ได้พาซูเฉินพุ่งทะยานผ่านอากาศไปพร้อมกับหัวใจของกู่ชิงลั่ว
ซูเฉินที่นั่งอยู่บนเรือเหาะตะวันกรุ่น จ้องมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างจนกระทั่งเขามองไม่เห็นวี่แววของกู่ชิงลั่วอีกต่อไป แล้วเขาก็ออกคำสั่ง “ออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
อวิ๋นเป้าชะงักไป “พวกเราไม่ได้จะกลับไปที่เขาหมื่นดาบกันหรอกหรือ ?”
“พวกคนจากตระกูลฉู่คงรอเราอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เราไปจากพื้นที่ของตระกูลฉู่และยอมให้ข่าวเงียบไป พวกที่ไล่ตามเรามาก็จะปรากฏตัวทันที พวกเราจะผ่านไปทางอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย วนรอบอาณาจักรหลงซาง และใช้เส้นทางนั้นในการกลับไปยังเขาหมื่นดาบ”
กังเหยียนถามขึ้น “นายท่าน ตระกูลฉู่จะพยายามโจมตีเขาหมื่นดาบหรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบกลับไป “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ เขาหมื่นดาบจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” กังเหยียนหันเรือเหาะตะวันกรุ่นไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือตามคำสั่งของซูเฉินทันที
หลังจากเหาะอยู่กลางท้องฟ้ามาไม่กี่วัน เรือเหาะตะวันกรุ่นก็มาถึงยังชายแดนอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย
โดยปกติแล้วชายแดนระหว่างอาณาจักรมนุษย์ด้วยกันจะมีการป้องกันผู้บุกรุกที่มีกำลังอ่อนกว่าซึ่งเป็นเรื่องง่าย ในขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไว้ไม่ได้… นอกจากนั้นทั้งเจ็ดอาณาจักรก็ยังถือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวในตอนนี้และยังคงร่วมมือกัน ดังนั้นมันจึงไม่ได้เข้มงวดเท่าที่ควร
เรือเหาะตะวันกรุ่นเคลื่อนผ่านชายแดนไปอย่างง่ายดาย ทันทีที่ผ่านไปได้แล้ว ซูเฉินก็ได้เข้าไปยังแดนฝันและกำจัดข่าวนั่นเสีย
หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาก็จะไม่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอีกแล้ว
“ต่อจากที่นี่เราจะออกเดินเรือไปทางทิศตะวันออก ต่อจากเขาพันดาบไปก็จะเป็นสันเขานอน และหลังจากผ่านแม่น้ำทรายพิสุทธิ์ เขานิลกาฬ และปณิธานสระนทีสวรรค์แล้วเราก็จะเข้าสู่อาณาจักรหลงซาน” อวิ๋นเป้าพูดพลางดูเส้นทางตามแผนที่
“สันเขานอนหรือ” ชื่อแสนคุ้นหูสะท้อนไปมาในโสทประสาทของซูเฉินขณะที่เขาจมดิ่งลงสู่ห่วงความคิด
นั่นคือที่ตั้งของตระกูลจูไม่ใช่หรือ ?
ตระกูลจูแห่งสันเขานอน !
จูเซียนเหยา !
เพียงแค่นึกถึงจูเซียนเหยา ซูเฉินก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน
อันที่จริงเขาไม่ควรจะไปหาหญิงสาวคนอื่นหลังลาจากกับกู่ชิงลั่ว แต่ท่วงท่าที่มีเสน่ห์ รูปร่างผอมบาง และรังสีความอ่อนโยนที่แผ่ซ่านของจูเซียนเหยานั้นยากยิ่งนักที่จะลืมได้ลง
คุณสมบัติเหล่านี้ประทับอยู่ในดวงใจของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะเมินเฉย
ตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ? ซูเฉินอดสงสัยไม่ได้
กังเหยียนคือคนที่เข้าใจซูเฉินดีที่สุด เมื่อเขาเห็นผู้เป็นนายกลายเป็นเช่นนี้และนึกถึงสันเขานอนที่พวกเขากำลังพูดถึง เขาก็รู้สาเหตุของใจที่ว้าวุ่นของซูเฉินทันที ดังนั้นจึงพูดแนะนำ “ไปเถอะ… ถ้าอยากจะไป”
“มันจะเหมาะสมหรือ ?” ซูเฉินถาม
“เหมาะสมสิ !” กังเหยียนพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“มันเหมาะสมอย่างไรกัน ?” ซูเฉินถามอีก
กังเหยียนยิ้มออกมา “เพราะถ้าข้าบอกว่าไม่เหมาะสม ท่านคงจะทำร้ายข้าน่ะสิ”
ซูเฉินพูดไม่ออก
แล้วเขาก็เริ่มหัวเราะร่วน
ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่กังเหยียนต้องการจะสื่อ เพราะที่เขาถามคำถามกับกังเหยียนไป อันที่จริงแล้วตัวเขาเองก็มีคำตอบอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว !
สาเหตุเดียวที่เขาถามกังเหยียน ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เพราะต้องการการสนับสนุนเท่านั้นเอง
ฟังดูประหลาดนักที่กังเหยียนสนับสนุนในประโยคแรก และเปิดเผมความในใจของชายหนุ่มที่ประโยคถัดไป
การที่เขาพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองและถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งนั้นเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนนัก
แต่ก็เป็นอย่างที่กังเหยียนกล่าว เขาได้ตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว ที่เขาต้องการก็เพียงแค่ข้ออ้างที่พอรับได้
“ดูเหมือนข้าจะเป็นคนที่เชื่อใจไม่ได้เอาซะเลย” ซูเฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง
“แม้แต่วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกล่อลวงได้ด้วยสาวสวย เช่นเดียวกับที่อัจฉริยะมากความสามารถหลายคนมักมีชีวิตรักที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน” อวิ๋นเป้าเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
คิ้วของซูเฉินยกขึ้นสูงทันที “ใครจะคิดว่าเจ้าจะพูดอะไรสวย ๆ งาม ๆ แบบนี้เป็นด้วย ?”
อวิ๋นเป้าขำคิกคัก “ช่วงนี้ข้าอ่านหนังสือบ่อยขึ้นน่ะ”
“แต่ดูเหมือนว่าจะอ่านผิดแนวนะ” กังเหยียนแทรกขึ้น
อวิ๋นเป้าหันไปมองค้อน “อย่างกับว่าเจ้าเป็นนายข้างั้นแหละ !”
กังเหยียนหัวเราะและไม่พูดอะไรต่อ
ซูเฉินเองก็หัวเราะด้วยเช่นกัน “ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นงั้นไปสำรวจรอบสันเขานอนและไปเจอเพื่อนเก่ากันเถอะ”
อวิ๋นเป้าพูดอย่างมีเลศนัย “ข้าว่าคำว่า ‘เจอ’ ของข้ากับเจ้าน่ะห่างไกลกันโขเลยนะ”
ปั่ก !
ซูเฉินฟาดเข้าอย่างจังที่ด้านหลังหัวของเขา
สันเขานอนนั้นอยู่ที่ใจกลางอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย ความโดดเด่นของมันทำให้ดูเหมือนกำแพงที่แบ่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าสันเขานอน
ในความเป็นจริงแล้ว สันเขานอนนั้นถือเป็นพื้นที่ในเมืองเจี้ยนแห่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย โดยมีเมืองหลวงเป็นเมืองนภาลัยราบ
ตระกูลกู่นั้นนับเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนภาลัยราบเลยทีเดียว
เมืองนภาลัยราบตั้งอยู่บริเวณกลางสันเขานอนและถูกล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง สันเขานอนนั้นมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นหิน ทำให้พื้นผิวดินในพื้นที่บางกว่าปกติและหากลงไปลึกกว่าชั้นดินก็จะเป็นหินภูเขาที่ทำให้พืชพรรณสำคัญต่าง ๆ เติบโตไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาหินนี้ก็มีแร่ชั้นดีที่สุดในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย แร่ธาตุสิบสามอย่างจำนวนมากก็ถูกพบที่นี่ ซึ่งนับรวมไปถึงแร่หายากอย่างทองเมฆดาราและหินแสงจันทร์ด้วยเช่นกัน
ตระกูลจูเป็นเจ้าของเหมืองหินแสงจันทร์นั่นเอง
เรือเหาะตะวันกรุ่นค่อย ๆ ลดระดับและลงจอดยังผืนดินนอกอาณาเขตเมืองนภาลัยราบ ซูเฉิน อวิ๋นเป้า กังเหยียน และคนอื่น ๆ ต่างก็ลงจากเรือเหาะ เงามรณะนั้นยังคงอยู่ในระดับขั้นอสูรกาย มันจึงปกปิดตัวตนด้วยพลังงานสูญและซ่อนตัวอยู่ในเงาของซูเฉินเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย
ขณะที่กำลังเดินไปตามถนนหนทาง พวกเขาก็ได้เดินผ่านคนงานขุดแร่จำนวนมากที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างหักโหม
การขุดเหมืองแร่นั้นเป็นอาชีพหลักของที่แห่งนี้ คนขุดแร่จึงถูกพบเห็นได้ทั่วทุกมุมเมือง
พวกซูเฉินเดินผ่านทางเข้าเมืองเล็ก ๆ ที่มีนักขุดแร่กลุ่มใหญ่กำลังดื่มไวน์ เล่นพนัน และตะโกนถ้อยคำหยาบคายเสียงดังกันอยู่ที่นั่น
“ถามพวกเขาที ว่าพวกเราจะไปหาตระกูลจูได้อย่างไร” ซูเฉินพูดขึ้น
ข้ารับใช้ดาบนามหลินเซียวเดินเข้ามาหาพวกเขา “สวัสดี ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าพวกเราจะเดินทางไปยังตระกูลจูแห่งสันเขานอนได้อย่างไรบ้าง”
หนึ่งในชายร่างกำยำมองมายังหลินเซียว “คนจากนอกเมืองงั้นหรือ ?”
หลินเซียวพยักหน้า “ใช่แล้ว มีปัญหาไรงั้นหรือ ?”
ชายร่างใหญ่ระเบิดหัวเราะก่อนจะหันหลังและตะโกน “มีคนนอกมาถามทางไปตระกูลจู !”
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น พวกที่กำลังดื่ม เล่นพนัน และสบถด่าอยู่เหล่านั้นพลันหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเดินเข้ามาทันที พวกเขาก้มลงมองพวกของหลินเซียวและซูเฉิน
หลินเซียวก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยขณะที่เอามือไปจับดาบของเขา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ?”
“พวกเจ้ามาที่ตระกูลจูทำไม ?” เสียงอ้อยอิ่งที่แฝงไปด้วยความเกียจคร้านดังขึ้น
กลุ่มคนถูกแหวกออก ชายที่ร่างเปลือยอยู่ครึ่งหนึ่งเดินตรงมาด้านหน้า เขามีรอยสักรูปอสูรที่มีหน้าเป็นเสือดุร้ายอยู่กลางหน้าอกและแบกค้อนอันยักษ์ไว้บนหลัง
ค้อนนั้นต้องหนักมากอย่างแน่นอน เมื่อไรก็ตามที่เท้าของชายคนนั้นก้าวเหยียบเท้าลงบนพื้น แผ่นดินก็ถึงกับสั่นไหวเบา ๆ
หลินเซียวตอบกลับไป “นั่นไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า”
“เจ้านั่นบอกว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเราว่ะ !” ชายร่างกำยำพูดเสียงดังกังวาลขณะหันไปข้างหลัง ทำให้คนขุดแร่ทุกคนต่างก็เริ่มหัวเราะออกมา
ชายร่างใหญ่กล่าว “เหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่ศัตรูของตระกูลกู่ ใช่หรือไม่ ?”
หลินเซียวตอบ “ใช่”
ชายร่างใหญ่ดึงค้อนยักษ์มาจากหลังของเขา “ถ้าพวกเจ้าไม่ใช่ศัตรูของตระกูลจู… งั้นก็ถือเป็นศัตรูของพวกเรา !”
ฟึ่บ !
ค้อนอันใหญ่ยักษ์นั่นทุกฟาดลงมายังหลินเซียว
การโจมตีนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง มันกะทันหันจนคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางหลบได้แน่นอน ชายตัวใหญ่คนนี้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดและเขายังเลือกที่จะโจมตีอย่างกะทันหันเสียด้วย
ค้อนนั้นดูราวกับว่าจะปะทะเข้าที่ใบหน้าของหลินเซียวและบดขยี้มัน แต่ในวินาทีนั้นเอง หลินเซียวพลันวางมือของเขาลงบนค้อนยักษ์และเคลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของมัน เขายืมแรงของค้อนอันนั้นเพื่อลอยขึ้นไปในอากาศราวกับกิ่งก้านของต้นหลิวที่เคลื่อนไหวไปตามแรงลม ทั้งร่างของเขาแทบจะอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก
แม้ว่าค้อนยักษ์นั้นจะถูกฟาดลงมาอย่างดุร้าย แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลเลยกับเป้าหมายคนนี้ที่ลบล้างพลังการโจมตีของมันไปอย่างง่ายดาย
ในพริบตาต่อมาหลินเซียวก็ลอยกลับลงมายังพื้นดิน
เขาจ้องชายร่างกำยำด้วยความโมโห “ร้ายกาจนักนะ !”
ชายคนนั้นขบขัน “เจ้าเป็นคนมีฝีมือสินะ พี่น้องทั้งหลาย… โจมตีมันเลย !”
ขณะที่ป่าวประกาศดังลั่น คนขุดแร่จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็โบกเครื่องมือของพวกเขาขึ้นในอากาศขณะที่พุ่งตรงมายังกลุ่มของหลินเซียวและซูเฉินที่อยู่ด้านหลัง
การขุดแร่นั้นเป็นงานที่ใช้แรงกายสูง ผู้ใดที่สามารถทำงานนี้ได้ย่อมผ่านการฝึกฝนมาแล้วทั้งสิ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยก็คงเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นแน่
เมื่อถูกผู้ฝึกตนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ คนส่วนมากคงจะแตกตื่นจนหนีไป แต่โชคไม่ดีนักที่พวกเขาเลือกคู่ต่อสู้ผิดคน ด้วยไม่มีทางเลยที่สถานการณ์นี้จะจบลงได้ด้วยดี !!
12 ข้ารับใช้ดาบที่ซูเฉินพามาด้วยตลอดทางนั้นล้วนอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณและยังไม่สามารถไปต่อได้ ซึ่งทั้งสิบสองคนต่างก็ใกล้จะถึงจุดที่จะทะลวงด่านพลัง
…ที่จริงแล้วสาเหตุหนึ่งที่ซูเฉินพาพวกเขามา ก็เพราะต้องการที่จะช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถพัฒนาระดับพลังต่อได้และหลุดจากสภาวะคอขวดในตอนนี้นั่นเอง รูปแบบการทะลวงด่านของฉือไคฮวงนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ซูเฉินก็สามารถสร้างโครงสร้างต้นแบบอย่างง่ายขึ้นมาได้แล้ว และด้วยการใช้ตัวต้นแบบนี้เป็นพื้นฐาน หากเขาหาหนทางอื่นในการเพิ่มแรงกดดันภายนอกได้ มันก็จะเท่ากับว่าชายหนุ่มสามารถช่วยคนเหล่านี้ให้ก้าวข้ามไปสู่ด่านพลังที่สูงขึ้นได้ !
อันที่จริง เหตุที่ซูเฉินต้องการช่วยให้พวกเขาฝึกสำเร็จ มันก็เพื่อที่เขาเองก็จะได้วิเคราะห์และเข้าใจกระบวนการฝึกฝนให้สำเร็จมากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเอง
ผู้เชี่ยวชาญระดับด่านทะลวงลมปราณขั้นสูงเพียงคนเดียวก็สามารถล้มผู้ฝึกตนทั้งกลุ่มได้อย่างง่ายดายแล้ว
สิ่งที่หลินเซียวต้องทำมีแค่ปล่อยพลังต้นกำเนิดของเขาออกมาเท่านั้น !
คลื่นพลังอันแข็งแกร่งแผ่กระจายไปยังเหล่าคนขุดแร่อย่างทั่วถึง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าขาของตนนั้นไร้เรี่ยวแรงราวกับลูกกวางที่กำลังเผชิญหน้ากับเสือที่ดุร้าย… ก่อนที่พวกเขาจะร่วงลงไปกับพื้นภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น