ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 24 เดินทางผ่าน (3)
บทที่ 24 เดินทางผ่าน (3)
ในตอนแรก หรงจือซิ่งยังคงเดือดดาลอยู่ อย่างไรแล้วการถูกท้าทายโดยผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณนั้นก็น่าอับอายยิ่งนัก
แต่เมื่อได้ประมือกัน ความคิดของหรงจือซิ่งก็พลันเปลี่ยนแปลงไป
หากเปรียบกังเหยียนเป็นภูเขา ยักษ์ หรือรูปปั้นเหล็ก อวิ๋นเป้าก็คงจะเป็นปลา ไก่ หรือลิง
ลิงที่ถูกเคลือบไปด้วยน้ำมัน
จับตัวยากและคว้าไว้ไม่อยู่
เมื่อเขาปล่อยดัชนีพุ่งโจมตีไปยังอวิ๋นเป้า อีกฝ่ายก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากมาย เพียงแค่เอี้ยวตัวไปด้านข้างก่อนพุ่งสวนดัชนีมังกรคู่ของหรงจือซิ่งไปและเข้าประชิดตัวหรงจือซิ่งด้วยความไวแสงขณะที่ในมือถือมีดไว้เล่มหนึ่ง
หรงจือซิ่ง สังเกตเห็นมีดเล่มนั้น
เครื่องมือต้นกำเนิดสำหรับลอบสังหารระดับ 4 กริชเร้นลับ มันมีความสามารถในการเจาะทะลวงเกราะและสิ่งกีดขวางทุกรูปแบบ
ตระกูลหรงนั้นเป็นตระกูลแห่งนักลอบสังหาร พวกเขาจึงเชี่ยวชาญการใช้อาวุธเช่นนี้เป็นอย่างมาก
แต่ในขณะนี้คู่ต่อสู้ของเขากลับใช้กริชชนิดนี้ในการสู้กับตนเอง นอกจากนั้นกริชเล่มนี้ยังเป็นสีเขียวเรืองแสง เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่ากริชนั้นได้ถูกเคลือบด้วยพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนขั้นรุนแรง
จิตใจของชายหนุ่มคนนี้นั้นเหมือนกันกับมือของเขา พวกมันเป็นสีดำ
แม้กระทั่งหรงจือซิ่งยังไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับกริชเล่มนี้ตรง ๆ ด้วยซ้ำ
ถ้าหากเขาถูกเฉือนโดยกริชเล่มนี้แม้แต่ครั้งเดียวละก็ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าชะตากรรมของเขาจะเป็นอย่างไร
ดังนั้นแล้วเขาจึงทำได้เพียงหลบมันต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ร่างของเขาส่งประกายแสงขณะที่หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในอีกตำแหน่งหนึ่ง
ทักษะต้นกำเนิดสายเลือดอสรพิษทมิฬ เงากระโจน !
ทักษะนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถเคลื่อนกายไปที่ใดก็ได้ที่มีเงา หลังจากที่หรงจือซิ่งสลักมันในแท่นบงกชของเขาแล้ว แม้กระทั่งเวลาที่ต้องรอก่อนจะใช้มันได้อีกครั้งก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
ถึงกระนั้น ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนกายไปยังอีกจุดหนึ่ง อวิ๋นเป้าพลันขว้างลูกดอกตรงไปยังหน้าของหรงจือซิ่ง
ปลายลูกดอกนั้นเคลือบไปด้วยพิษเช่นกัน
มันทำให้หรงจือซิ่งรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะสามารถใช้ ‘เงากระโจน’ แทบจะต่อกันทันที แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มันติดกันในช่วงจังหวะหายใจเดียวได้เช่นนี้ เขาพึ่งจะใช้มันไปครั้งหนึ่งและไม่สามารถใช้มันได้อีกครั้งเดี๋ยวนี้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอี้ยวหัวหลบลูกดอกไปทางด้านข้างเท่านั้น แต่ลูกดอกก็ยังคงกรีดเฉือนผ่านใบหน้าไปอย่างหวุดหวิดและทิ้งบาดแผลตื้น ๆ เอาไว้
หรงจือซิ่งรู้สึกเสียขวัญอย่างหนัก เขารีบเปลี่ยนการไหลเวียนพลังต้นกำเนิดในร่างกายไปยังบาดแผลเพื่อหยุดไม่ให้พิษซึมเข้าไปมากกว่านี้ แต่แล้วเขาก็ต้องค้นพบว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีพิษอยู่ในบาดแผลของเขาแต่อย่างใด !
ไม่มีพิษงั้นหรือ ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!
ชายคนนั้นตั้งใจทาสีที่ปลายอาวุธของตนเพื่อหลอกว่ามันถูกเคลือบด้วยพิษไว้งั้นหรือ ?
ไอ้เสรเลวจอมเจ้าเล่ห์นั่น บัดซบ !
หรงจือซิ่งสบถด่าอยู่ในใจ ในขณะที่อวิ๋นเป้าทะยานมาข้างหน้าอีกครั้งและฟาดฟันใบมีดเข้าที่หรงจือซิ่ง
การเคลื่อนไหวของอวิ๋นเป้านั้นทั้งปราดเปรียวและดุร้าย
หรงจือซิ่งได้แต่ใช้เงากระโจนอีกครั้ง และในขณะเดียวกันก็สร้างเกราะป้องกันขึ้นด้วย ทว่าการปะทะนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป จนเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะสร้างเกราะป้องกันตัวเองเสียด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่าทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงลูกดอกกระเด็นออกจากเกราะป้องกันรอบตัวเขา
ไอ้เวรนี่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน !
การตอบสนองดีอะไรเยี่ยงนี้ !
หรงจือซิ่งคำรามอยู่ในลำคอ เขายกฝ่ามือขึ้นและผลักมันออกไปเต็มแรงทำให้เกิดคลื่นพลังต้นกำเนิดพลุ่งพล่านออกมา
เขารู้แล้วว่าเจ้าคนเหลือขอคนนี้ว่องไวอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าอวิ๋นเป้าจะไม่มีทักษะต้นกำเนิดในการเคลื่อนย้ายกายแต่ความเร็วของเขาก็ทดแทนมันได้เป็นอย่างดี อวิ๋นเป้าสามารถคาดเดาได้ว่าตนจะเคลื่อนกายไปยังที่ใด หรงจือซิ่งจึงรู้ดีว่าการจะแข่งกับอวิ๋นเป้าในเรื่องของความรวดเร็วถือเป็นการสูญเปล่า
แต่หากพวกเขาจะประชันหน้ากันจริง ๆ หรงจือซิ่งก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด อย่างไรแล้วเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ผู้คนจะคิดอย่างไรหากเขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันในการจะจัดการกับเด็กน้อยที่อยู่เพียงระดับด่านทะลวงลมปราณเท่านั้น
ดังนั้นแล้วคงจะดีกว่าหากตนรีบจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่มีเพื่อเผด็จศึกคู่ต่อสู้
โดยปกติแล้ววิธีการที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดของเขาออกมาอย่างเต็มกำลัง !
คลื่นพลังต้นกำเนิดที่รุนแรงราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกรากพวยพุ่งไปยังอวิ๋นเป้า
พลังต้นกำเนิดนี้ทั้งป่าเถื่อนและดุดัน มันส่งผลต่อทุกสิ่งโดยรอบ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับสุเมรุสูญของซูเฉินแต่มันก็สามารถก่อลมพายุโหมกระหน่ำขึ้นได้ ภายใต้กระแสพลังต้นกำเนิดนั้น ความว่องไวของอวิ๋นเป้าได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง
หรงจือซิ่งเผยยิ้มชั่วร้าย “ลิงที่ปราดเปรียวก็ยังเป็นลิงอยู่วันยังค่ำ !”
ขณะที่พูด เขาก็ได้เข้าโจมตีอวิ๋นเป้า
อวิ๋นเป้าตอบโต้ด้วยการฟันมีดในมือออกไปราวกับการเคลื่อนไหวของสัตว์ป่าที่กำลังต่อต้าน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน… ที่หรงจือซิ่งซึ่งปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาจะรู้สึกหวาดกลัวต่อการโจมตีธรรมดาด้วยมีด ? มือทั้งสองของเขากวัดแกว่งไปยังอวิ๋นเป้าราวกับกรงเล็บเหล็ก ด้วยการปะทะเพียงหนึ่งครั้ง มันก็ได้ฉีกทำลายเกราะป้องกันของหรงจือซิ่งและเชือดเข้าที่มือของอีกฝ่าย
หรงจือซิ่งไม่สนใจและยังคงกวัดแกว่งกรงเล็บอย่างต่อเนื่อง นิ้วมือของเขาคว้าเอาข้อมือของอวิ๋นเป้าและฝังคมลงไปในเนื้อ
ในตอนที่เขากำลังจะปล่อยระเบิดพลังเพื่อทำลายแขนของอวิ๋นเป้า ท่าทางของหรงจือซิ่งก็พลันเปลี่ยนไปในพริบตาและถอยห่างออกไปทันที
มือขวาของเขาเริ่มบวมเป่งและกลายเป็นสีม่วงอมดำน่าเกลียดน่ากลัว
“มือข้าโดนพิษหรือ ?” หรงจือซิ่งจ้องมองไปยังอวิ๋นเป้าด้วยหน้าถมึงทึง
งั้นพิษบนลูกดอกนั่นก็เป็นของปลอม แต่พิษบนกริชนั่นเป็นของจริงสินะ
หรงจือซิ่งตัดสินใจผิดพลาดไป เขาเข้าใจว่าในเมื่อพิษบนลูกดอกเป็นของปลอม งั้นแล้วพิษบนมีดก็คงจะปลอมไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจที่จะทุ่มสุดตัวไปกับอวิ๋นเป้าตั้งแต่แรกและเตรียมพร้อมที่จะรับความเสียหายเล็กน้อยเพื่อจัดการกับอวิ๋นเป้าโดยเร็ว แต่มันกลับกลายเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ตนเองติดกับของอวิ๋นเป้าเข้าเสียแล้ว
มันคงไม่เป็นอะไรหากเขาได้รับพิษมาเพียงเล็กน้อย พิษส่วนมากนั้นสามารถถูกกำจัดหรือทำลายได้โดยพลังต้นกำเนิดเมื่อเวลาผ่านไปและไม่ได้อันตรายมากนัก แต่หรงจือซิ่งพึ่งจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกไปเพื่อโจมตีและไม่ได้หยุดการไหลเวียนของพิษร้ายไว้ กว่าเขาจะรู้ตัวว่าถูกพิษเข้าก็สายเกินไปเสียแล้ว พิษได้แล่นไปทั่วทั้งลำแขนและพลังต้นกำเนิดก็ถูกตัดขาดออกจากข้อมือไปแล้ว !
อวิ๋นเป้าใช้พิษที่มีฤทธิ์อัมพาตขั้นร้ายแรง ผู้ที่โดนพิษชนิดนี้จะไม่ถึงตายแต่ก็ถูกกำจัดออกไปได้ยากและทำให้บริเวณที่โดนพิษเป็นอัมพาตไปชั่วคราว
แขนของหรงจือซิ่งได้พิการชั่วคราวเสียแล้ว
การที่ไม่สามารถใช้มือได้นั้นมีผลอย่างยิ่งแม้กระทั่งกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารก็ตาม ไม่เพียงเท่านั้น คู่ต่อสู้ของเขาคืออวิ๋นเป้า ผู้โด่งดังในเรื่องของกลยุทธ์ที่แพรวพราวและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด !
การโจมตีของเขานั้นมีความคล้ายคลึงกับกังเหยียนอยู่ ทั้งสองต่างใช้การโจมตีระยะใกล้และไม่ได้ใช้ทักษะต้นกำเนิดพิเศษแต่ใช้การระเบิดพลังในร่างกายแทน อย่างไรก็ตาม กังเหยียนนั้นมีการป้องกันเหนือมนุษย์และความสามารถในการรุกเข้าโจมตีสูง ส่วนอวิ๋นเป้านั้นว่องไวผิดมนุษย์มนา คนหนึ่งใช้ความแข็งแกร่งส่วนอีกคนหนึ่งใช้ความปราดเปรียว
อวิ๋นเป้าไม่ได้ครอบครองพลังกายสุดแกร่งเหมือนกับกังเหยียน แต่ความสามารถในการจับจังหวะและประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขานั้นสูงกว่ากังเหยียนมาก
ทุกการโจมตีที่เขาปล่อยออกไปนั้นถูกเล็งอย่างแม่นยำ ดุร้าย และน่าหวาดกลัว
แม้ว่าหรงจือซิ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ทว่าเขาก็ไม่อาจประมาทอีกฝ่ายได้เลย !
“เวรเอ๊ย !” เจตสังหารเข้าทิ่มแทงจิตใจของเขา นอกจากจะถูกกำราบโดยคนที่ระดับพลังกว่าถึงหนึ่งขั้นเต็มแล้ว แขนของเขายังใช้การไม่ได้อีก ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าเสียจริง ! “เจ้าอยากตายหรือไง !”
ขณะที่พูด ร่างกายของหรงจือซิ่งก็พลันเปล่งสีดำมืดออกมา
สีดำนี้ไม่ได้สว่างเจิดจรัสมากนักแต่มันมีสีที่เข้มข้นทีเดียว แสงใดก็ตามที่ผ่านมันไปดูเหมือนจะถูกกลืนกินหายไปจนหมดสิ้น
นี่คือพลังของสายเลือดอสรพิษทมิฬ
สายเลือดอสรพิษทมิฬของหรงจือซิ่งได้ตื่นขึ้นมาถึง 5 ครั้งแล้ว และสายเลือดของเขาก็เข้มข้นถึง 25 ส่วนจาก 100 ส่วน อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะสามารถสร้างร่างปีศาจซึ่งจะทำให้ภาพจำลองของอสรพิษทมิฬหนาแน่นขึ้น ราวกับว่ามีอสรพิษทมิฬกำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับทุกคนที่เห็นอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
ขณะที่ภาพลวงตาที่มืดมิดนั่นปรากฏขึ้น พลังต้นกำเนิดโดยรอบบริเวณนั้นก็เริ่มรวมตัวกัน จุดแสงสีดำค่อย ๆ ถูกรวบรวมไปอยู่ที่ปลายนิ้วมือของหรงจือซิ่งอย่างต่อเนื่อง
แสงสีดำทะมึนถูกหรงจือซิ่งปล่อยออกมา กลายเป็นลูกศรสีดำที่มีรูปร่างราวกับอสรพิษพุ่งออกจากนิ้วของหรงจือซิ่งตรงไปยังอวิ๋นเป้า
ศรอสรพิษทมิฬเป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของอสรพิษทมิฬตระกูลหรง มันมีพลังกัดกร่อนที่รุนแรงอย่างเหลือเชื่อ
จักรพรรดิอสูรอสรพิษทมิฬได้ใช้ทักษะนี้ในการบุกทำลายทั่วเจ็ดอาณาจักรจนกระทั่งได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานที่แสนโด่งดัง
ศรอสรพิษทมิฬส่งเสียงหวีดหวิวผ่านอากาศ
อวิ๋นเป้าหลบหลีกมันอย่างรวดเร็ว หากแต่ศรอสรพิษกลับเปลี่ยนทิศทางและไล่ตามอวิ๋นเป้าราวกับอสรพิษที่มีชีวิต …ศรนั้นมีพลังในการติดตามเป้าหมายของมันได้ด้วยตัวเอง !
อวิ๋นเป้ายังคงหลบหนีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพบว่าตนไม่สามารถไปไหนได้อีกแล้ว !!! ศรอสรพิษนั่นยังคงพุ่งเข้าหาเขาอย่างไม่ลดละ และในตอนที่มันกำลังจะเข้าถึงร่างของอวิ๋นเป้านั้นเอง… ก็พลันมีร่างจำลองของอวิ๋นเป้าแยกออกมาจากตัวเขา
ในการผจญภัยที่ผ่านมา อวิ๋นเป้าได้เผชิญกับคู่ต่อสู้มากมายและมีโชคช่วยเสมอ ภาพลวงตานั้นคือสิ่งที่เขาได้มาจากการต่อสู้หลายพันครั้งและดูสมจริงยิ่งนัก ทว่าหากมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงคล้ายคลึงกัน ศรอสรพิษทมิฬคงไม่ไล่ตามมันและยังคงจดจ่ออยู่กับร่างจริงเป็นแน่ แต่ภาพลวงตาที่อวิ๋นเป้าสร้างขึ้นนั้นมีพลังต้นกำเนิดอยู่ภายในด้วย ทำให้มันสามารถหลอกล่อศรอสรพิษทมิฬได้สำเร็จ
ศรอสรพิษปะทะเข้ากับร่างลวงตานั้นจนมันสลายหายไป อวิ๋นเป้าไม่มีกระทั่งเวลาให้หยุดหายใจด้วยซ้ำก่อนที่ศรอสรพิษนั้นจะไล่ตามเขาอีกครั้ง
อวิ๋นเป้าตื่นตระหนก เขาพยายามหลบหลีกต่อไปโดยทิ้งภาพลวงตาไว้มากและมากขึ้น อวิ๋นเป้าสร้างมันขึ้นมาถึง 9 ร่างในชั่วลมหายใจ ทว่าศรอสรพิษทมิฬก็สามารถทำลายพวกมันทั้งหมดภายในจังหวะลมหายใจเดียวเช่นกัน
โชคยังดีที่เมื่อศรอสรพิษได้ทำลายร่างลวงตาทั้งเก้า มันก็หมดสิ้นซึ่งพลังงานและทำลายตัวเองลง ทำให้อวิ๋นเป้าถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
และแม้ว่าเขาจะสามารถตั้งรับการโจมตีนั้นได้ แต่เขาก็ต้องใช้ร่างลวงถึง 9 ร่างในการรับมือการโจมตีของอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว ความแก่กล้าของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนั้นได้ถูกแสดงให้เห็นในการประมือครั้งนี้แล้ว !
แต่อวิ๋นเป้ากลับไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ที่จริงแล้วมันทำให้เขายิ่งมีใจจะต่อสู้มากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
ยิ่งเขารู้สึกกดดันมากเท่าไรเขาก็จะยิ่งฮึกเหิม ยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากเท่าไรเขาก็จะยิ่งอยากเอาชนะ มันทำให้เขาต้องการที่จะต่อสู้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
และเพราะว่าคู่ต่อสู้นั้นทรงพลังถึงเพียงนี้ ความต้องการที่จะต่อสู้ของเขาจึงพลุ่งพล่าน เขาชำเลืองมองไปยังหรงจือซิ่งและพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งในพลัน !
หรงจือซิ่งโจมตีตอบโต้ด้วยฝ่ามือ คลื่นพลังต้นกำเนิดไร้ขีดจำกัดพวยพุ่งออกมา มันฉีกมวลอากาศออกและลดความเร็วของอวิ๋นเป้าลง ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยศรอสรพิษทมิฬออกมาอีกครั้งและตามมาด้วยดัชนีแยกภูผา แม้ตอนนี้จะมีมือเพียงข้างเดียวแต่ก็ยังสามารถโจมตีออกมาได้พร้อมกันถึง 3 ครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาลื่นไหลดั่งสายน้ำ ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากพิษเลย เขาไม่ได้พยายามใช้เงากระโจนด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเจนว่าหรงจือซิ่งวางแผนที่จะตัดกำลังอวิ๋นเป้าด้วยพลังที่มี
อวิ๋นเป้าปล่อยร่างแยกของเขาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อต่อกรกับการโจมตีเหล่านั้น วิชาดาบอัสนีบาตที่แสนเรียบง่ายนั้นทรงพลังเป็นอย่างมากในมือของอวิ๋นเป้า แนวพลังต้นกำเนิดแผ่กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ท่ามกลางกระแสพลังต้นกำเนิดที่เชี่ยวกราก จนแม้กระทั่งผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ก็ถูกกวาดไปด้วย ! การต่อสู้ในระดับสู่พิสดารไม่ควรจะเกิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองตั้งแต่แรก และทั้งสองฝ่ายก็เอาจริงเอาจังกันเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่เฝ้ามองอยู่จำต้องรับผลไปด้วย
จนถึงตอนนี้หรงจือซิ่งก็ยังไม่สามารถทำอะไรอวิ๋นเป้าได้
แม้ว่าคนคนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับกังเหยียน แต่เขาก็มีแรงใจไม่ขาดสาย แม้ว่าอวิ๋นเป้าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ผลัดกันโจมตีกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ทำให้หรงจือซิ่งได้รู้ว่าตนไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบในการจะคว้าชัยชนะครานี้ได้ ด้วยเจ้าคนผู้นี้กลับมีแต่จะใจกล้ามากขึ้นและมากขึ้น จนทุกการโจมตีกลายเป็นรุนแรงถึงชีวิตของทั้งคู่เช่นกัน หรงจือซิ่งจึงได้แต่เตรียมการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์พลิกผันและกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน
วิชาเงากระโจนถูกนำออกมาใช้งานอีกครั้ง แม้ว่าอวิ๋นเป้าจะสามารถคาดเดาตำแหน่งของเขาได้ แต่มันก็คงจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
การต่อสู้นี้ดุเดือดยิ่งนัก แต่ฝ่ายกังเหยียนก็ยังต้องจัดการอีกไม่มากก็น้อยเพื่อหาผู้ชนะ เขาสามารถกำจัดคู่ต่อสู้อีกสองคนได้อย่างง่ายดาย จนเหลือเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่สามารถจำแลงร่างปีศาจเท่านั้นที่กำลังต่อกรกับตน
ศึกนี้ยังอีกยาวไกล ส่วนผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ก็ได้แต่ตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า