ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 26.1 สสารมืด (ต้น)
บทที่ 26.1 สสารมืด (ต้น)
ทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏกาย เขาพลันปล่อยรังสีพลังทรงอานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือดีที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหรงจือซิ่งเลย
เมื่อซูเฉินเห็นดังนั้น ชายหนุ่มก็พูดขึ้น “พวกเจ้าข้ามไปก่อนเลย !”
ทุกคนพุ่งตัวข้ามเส้นแบ่งนั้นไปติด ๆ กัน
เส้นนั่นเป็นราวกับกำแพงน้ำที่แบ่งกั้นไว้ระหว่างสองฝ่าย
ในขณะเดียวกัน พลังงานต้นกำเนิดในร่างกายของซูเฉินกำลังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเขาพุ่งกำปั้นไปยังมือขนาดมโหฬารนั่น
เพราะว่าชายหนุ่มไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคู่ต่อสู้เลย เขาจึงไม่ยั้งมือ หมัดนี้เปี่ยมไปด้วยพลังทั้งหมดของซูเฉินและมันถูกผนวกเข้ากับกำปั้นที่โจมตีออกไป เสียงกระทบกันของโลหะดังขึ้นหลังจากเกิดการปะทะราวกับเสียงระฆังยักษ์
ซูเฉินรู้สึกราวกับตะบันใส่เข้ากับผิวน้ำ แม้ว่าพลังที่บรรจุอยู่ในหมัดมากพอที่จะส่งคลื่นพลังไปทุกหนแห่ง แต่เขาก็ไม่สามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้ กลับกัน มันรู้สึกราวกับว่าการโจมตีของตนถูกดูดซับเข้าไปและกำจัดมันไปเสีย
ณ จุดนี้ซูเฉินได้รับมอบพลังมาจากอารามพลังต้นกำเนิด พลังกายของเขาจึงเหนือกว่าเผ่าคนเถื่อนทั่วไปอยู่มาก เพียงแค่หมัดเดียวของเขาก็แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ภูเขาสั่นคลอนได้ แต่คู่ต่อสู้คนนี้ก็ยังสามารถรับมือกับการโจมตีของตนได้อย่างไม่ระแคะระคาย ทำให้รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นทรงพลังขนาดไหน !
ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่โจมตีมายังพวกของซูเฉินเองก็ถอยทัพไป เขาได้แต่ตกตะลึงเช่นเดียวกันเมื่อมองไปยังซูเฉิน
การโจมตีเมื่อครู่กลายเป็นสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่มัน… !
เขาจ้องมองมายังซูเฉิน “ด่านสู่พิสดารหรือ ? รึสามแท่นบงกชกัน ?!”
หากซูเฉินต้องการ เขาก็สามารถไปถึงเจ็ดแท่นบงกชได้ภายในระยะเวลาปีเดียวเท่านั้น อย่างไรแล้วชายหนุ่มก็สามารถดูดซึมเอาพลังต้นกำเนิดได้โดยตรง ความสามารถในการ ‘สั่งสมประสบการณ์’ ของเขาจึงไร้ซึ่งขอบเขต แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ชายหนุ่มก็ยังคงอยู่ห่างจากการเลื่อนระดับไปสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณอีกมาก ซึ่งซูเฉินก็ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด
พลังในการรับรู้ของฝ่ายตรงข้ามนั้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้เขาสามารถรู้ได้ถึงจำนวนแท่นบงกชที่ซูเฉินครอบครองอยู่โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนออกมาด้วยซ้ำ
“7 แท่นบงกชงั้นหรือ ?” ซูเฉินตอบกลับไป
ซูเฉินสังเกตเห็นว่าพลังต้นกำเนิดของอีกฝ่ายนั้นกำลังผันผวนด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของเขา
กลายเป็นว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าไปไม่ได้อยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่แท้จริงแล้วอยู่ในด่านสู่พิสดาร… หากแต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย แม้แต่เงามรณะผู้กลายเป็นเจ้าอสูรเมื่อ 1 ปีก่อนยังไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลยด้วยซ้ำ
ส่วนอีกคนที่พึ่งจะมาร่วมวงก็ต้องตะลึงกับสติปัญญาของซูเฉิน “ใช่แล้ว แม้ว่าข้าจะรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจที่จะโจมตีใครสักคนที่อ่อนแอกว่า แต่ข้า หรงซิว…”
ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ ซูเฉินก็หัวเราะออกมา “เจ้าค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอคนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้ข้าได้จริง ๆ มา… มาเริ่มกันเลย !”
ขณะที่พูด เขาก็กระโจนขึ้นไปในอากาศ พลังต้นกำเนิดพลุ่งพล่านออกมาจากร่างของชายหนุ่มขณะที่กำปั้นนั้นพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม
หรงซิวไม่ได้คิดว่าซูเฉินจะโจมตีขึ้นทันควันเช่นนี้ เมื่อได้สติกลับมาเขาก็พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ช่างเป็นคนหนุ่มเหลือขอป่าเถื่อนอะไรขนาดนี้ !”
ขณะที่สบถ ร่างของเขาก็แกว่งไปมาเล็กน้อย ควันสีดำมืดเริ่มพวยพุ่งออกมาจากร่างกายและเปลี่ยนเป็นสายเชือกที่พยายามจะบีบรัดซูเฉินไว้
ทว่าซูเฉินกลับดูไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงปลดปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่า โดยในทุก ๆ หมัดนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่ธรรมดากระทั่งสามารถมองเห็นคลื่นกระแทกในอากาศแผ่กระจายออกมาจากกำปั้นของเขา
รูปแบบการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้ป่าเถื่อนและไร้การควบคุม ชายหนุ่มเชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าและการใช้ทักษะต้นกำเนิดหลากหลายแขนง เพียงแต่เขาไม่ได้สู้มานานนับปีหลังกลับมาจากเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน ชายหนุ่มจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และในเมื่อตอนนี้เขาสามารถที่จะเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งได้แล้ว ก็คงจะสมเหตุสมผลถ้าหากเขาต้องการสู้จนกว่าจะพอใจ พลังจิตของเขาเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในอากาศโดยไหลเวียนผ่านร่างกายและกลายเป็นกระแสพลังเชี่ยวกรากที่ซัดพาคู่ต่อสู้ไป
แม้กระทั่งหรงซิวยังรู้สึกได้ถึงความกดดันจากห่าฝนกำปั้นนี้ ด้วยสายเชือกสีดำเองก็ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยซูเฉิน แน่นอนว่าความสามารถในการกัดกร่อนของสสารต้นกำเนิดความมืดนั้นไร้ประโยชน์เมื่อต้องประชันกับซูเฉิน
หรงซิวส่งเสียงด้วยความรำคาญเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของตนนั้นรุนแรงและบ้าคลั่งเพียงใด หมอกสีดำพลันก่อตัวขึ้นอีกครั้งและกำลังจะเขมือบซูเฉินเข้าไป ซึ่งไม่ว่าแสงใดก็ไม่สามารถผ่านคลื่นหมอกหนานี้ไปได้ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าเป้าหมายนั้นอยู่ที่ตำแหน่งใด ร่างของหรงซิวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
วิชาซ่อนเงา !
อย่างไรแล้ววิชาซ่อนเงาของตระกูลหรงก็ถือเป็นผลอย่างมาก มันไม่เพียงทำให้ผู้ใช้สามารถแฝงซ่อนกายได้เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความมืดขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะมีศัตรูกี่คนที่ถูกหมอกสีดำทะมึนนี้กลืนกินไป ทั้งหมดจะไร้ซึ่งการมองเห็นและต้องรับมือกับคุณสมบัติการกัดกร่อนขั้นรุนแรงของหมอกด้วยเช่นกัน
โชคไม่ดีนักที่การกัดกร่อนนั้นไม่สามารถทำอะไรซูเฉินได้ เขาครอบครองพลังในการควบคุมสสารต้นกำเนิดความมืด และการมองไม่เห็นก็ไม่มีผลอะไรกับซูเฉินเช่นกัน
ความสามารถในการสำรวจของเนตรมองโลกจุลภาคนั้นเพิ่มขีดจำกัดขึ้นไปอีกหลังการใช้งานบ่อยครั้งของซูเฉิน แม้แต่ภาพลวงตาก็ไม่สามารถตบตาซูเฉินได้ ดังนั้นแค่หมอกทึบนี้จึงไม่เดือดร้อนเลยสักนิด
ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ซูเฉินก็สามารถระบุตำแหน่งของหรงซิวได้แล้ว
ชายคนนี้ได้ขยับไปด้านข้างและกำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
ในสถานการณ์ปกตินั้นซูเฉินจะทำเป็นไม่เห็นไปและรอให้ศัตรูเข้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนจะปล่อยการโจมตีที่ดุร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ! ทว่าคราวนี้เขาแค่ต้องการการต่อสู้ดี ๆ เท่านั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งหมัดไปยังหรงซิวอีกครั้งในพริบตาเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความคิดที่ลอบโจมตีหรงซิวเลยแม้ว่าโอกาสที่จะทำนั้นมีอยู่ก็ตามที
หรงซิวหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขายกมือขึ้นในอากาศและทำสัญลักษณ์ขึ้นทำให้หมอกบางส่วนหมุนวนและรวมตัวกันเป็นโล่แห่งความมืดมิดขึ้นป้องกัน !