ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 28.2 ความคิดที่เปี่ยมด้วยเสน่หา (ปลาย)
บทที่ 28.2 ความคิดที่เปี่ยมด้วยเสน่หา (ปลาย)
“เจ้ากลัวว่าหากเกิดศึกใหญ่เช่นนี้ขึ้น จะกลายเป็นว่าตระกูลของเจ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ งั้นหรือ ?” ซูเฉินถาม
“แน่นอน แม้ว่าตระกูลจูและตระกูลหรงจะปะทะต่อสู้กันมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าก็ยังไม่เคยเป็นศึกใหญ่ถึงเพียงนี้ นั่นจึงทำให้ผู้คนต่างก็วิตกกังวลในเรื่องนี้”
“ตระกูลหรงคงไม่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลหรอก” ซูเฉินเอ่ยขึ้นเบา ๆ
จูเซียนเหยาชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงยังไง ?”
“จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเป็นแน่ เช่นหากพวกเขาไม่สู้ตอนนี้ พวกเขาอาจไม่มีโอกาสอีกแล้วในอนาคต…… หรืออาจเป็นเหตุผลอื่น”
จูเซียนเหยาเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร “เจ้าหมายถึงข่าวเกี่ยวกับสายเลือดของพวกเราที่กำลังแข็งแกร่งขึ้นหลุดออกไปอย่างนั้นหรือ ?”
“ข้าแค่พูดถึงมันเล่น ๆ เท่านั้นเอง อย่างไรแล้วข้าก็พึ่งจะมาถึงที่นี่ไม่นาน”
จูเซียนเหยาพยักหน้า “ข้าก็คำนึงถึงเรื่องนั้นเช่นกัน แต่มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่อง และคนเหล่านั้นก็ล้วนไว้วางใจได้ทั้งสิ้น”
“จูเซียนหลิงรู้เรื่องนี้หรือไม่ ?”
จูเซียนเหยาหยุดนิ่งอยู่สักพักก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมา “เจ้าพยายามจะผูกมันเข้าด้วยกันหรือ แย่หน่อยนะที่ต้องผิดหวัง อย่างแรก จูเซียนหลิงไม่รู้เรื่องนี้เพราะข้าไม่เคยให้มันกับนางตอนที่ข้ากลับมา แม้ว่าข้าจะไม่สามารถคิดบัญชีที่นางพยายามลอบฆ่าข้า ทว่าข้าก็ไม่ได้อ่อนข้อขนาดที่จะมอบสิ่งที่ข้าทุลักทุเลไปหามาให้กับนางง่ายนักหรอก อย่างที่สอง สิ่งที่จูเซียนหลิงต้องการคือตำแหน่งของข้า การทรยศตระกูลของตัวเองไม่อาจพานางไปถึงเป้าหมายได้หรอก”
“เพียงเพราะเจ้าไม่ได้บอกนาง… มันไม่ได้แปลว่านางจะไม่รู้เสียหน่อย ที่จริงแล้วการที่เจ้าปฏิเสธไม่ให้มันกับนางมีแต่จะไปยั่วยุนางมากขึ้น เจ้าไม่รู้สึกว่านี่จะทำให้นางมีเหตุผลให้ทรยศตระกูลมากขึ้นไปอีกหรือ ?”
จูเซียนเหยาตกตะลึง
ซูเฉินกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่สามารถพูดได้หรอกว่านางเกี่ยวข้อง เพียงแต่มันเป็นความเป็นไปได้ และเหตุผลที่จะตัดความเป็นไปได้นี้ออกของเจ้ามันก็ไม่มีน้ำหนักที่มากพอ”
จูเซียนเหยากล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดเลยละ”
ซูเฉินก้มหัวลงครุ่นคิดอีกครั้ง “แต่ถึงแม้ว่าข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือดตระกูลจูจะแพร่กระจายออกไป มันก็คงจะไม่เพียงพอให้ตระกูลหรงบุกโจมตีมั่วซั่วเช่นนี้ เพราะว่ามีสายเลือดจักรพรรดิอสูรอยู่พวกเขาจึงสามารถย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองที่เล็กกว่านี้และพัฒนาต่อไปหากพวกเขาสูญเสียความควบคุมก็ย่อมเป็นอีกเรื่อง แม้ว่าการย้ายออกจากพื้นที่ดั้งเดิมอาจสร้างความรู้สึกเจ็บปวดในจิตใจ แต่ก็คงจะดีกว่าการถูกขับไล่ออกจากปัญหาทั้งหมดนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงจะมีเหตุผลอีกมากมาย”
“มันคืออะไรกัน ?”
“พวกเราจะได้รู้ก็ต่อเมื่อทำการสืบสวนเรื่องนี้” ซูเฉินตอบ
หลังจากครุ่นคิดเดี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “แต่มันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ข้าอยู่ที่นี่แล้ว และข้าก็ไม่สามารถยืนอยู่เฉย ๆ และมองดูผู้คนรังแกผู้หญิงของข้าได้หรอก”
เมื่อนางได้ยินดังนั้น จูเซียนเหยาก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขณะที่ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
นางขบกัดริมฝีปากอย่างแผ่วเบา “งั้นเจ้าก็รู้……”
ซูเฉินพูดอย่างมีนัยยะ “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ?”
ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงยังที่พักแรมที่จัดเตรียมไว้ให้กับซูเฉิน
ซูเฉินพาจูเซียนหยางเข้าไปข้างในแล้วหันกลับมาและพูด “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
กังเหยียนและคนอื่น ๆ ทยอยออกไปอย่างแนบเนียน
ซูเฉินยืดแขนทั้งสองข้างออกมาและดึงจูเซียนเหยาเข้าไปในอ้อมกอด
จูเซียนเหยาจ้องมองซูเฉิน ใบหน้าแดงก่ำของนางกำลังบอกทุกอย่างที่ชายหนุ่มต้องการจะรู้
ซูเฉินเผยอปากขึ้น แต่จูเซียนเหยากลับวางมือลงบนหน้าอกของเขาและพูด “รอเดี๋ยวนะ”
แล้วซูเฉินจะรอได้อย่างไรกัน ?! เขากอดรัดร่างของจูเซียนหยางไว้อย่างแน่นหนาและเริ่มจูบนางอย่างดูดดื่ม !
จูเซียนเหยาถูกรุกเข้าจูบอย่างดุร้ายจนนางต้องหอบเอาอากาศเข้าไป นางพยายามบีบตัวออก “อย่า…… อย่ารีบนักเลย ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”
“ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว คงจะดีกว่านะถ้ามีรสชาติบ้าง” ซูเฉินยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ไปยังจูเซียนเหยาขณะที่อุ้มนางขึ้นและวางร่างของหญิงสาวลงบนเตียง
จูเซียนเหยารู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายถูกดูดออกไปจนหมด นางทำได้เพียงเฝ้ามองซูเฉินพาร่างตนเองไปที่เตียงนอนและเริ่มเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น
ทันใดนั้นเอง คลื่นความเศร้าโศกก็พลันแทรกเข้ามาในจิตใจและนางก็เริ่มร้องไห้
ซูเฉินนั้นไม่ทันตั้งตัวกับน้ำตาของนาง และได้แต่หยุดการกระทำของเขาลงเท่านั้น “เป็นอะไรไปกัน ?”
จูเซียนเหยายังคงสะอื้นไห้
เมื่อซูเฉินเห็นนางเช่นนี้ ไฟแห่งราคะในใจของเขาก็พลันมอดดับไป ซึ่งก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “ข้าใจร้อนเกินไป และไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของเจ้าเลย… ข้าขอโทษ”
ขณะที่พูดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจะออกห่างมาอย่างเงียบเชียบ
แต่จูเซียนเหยากลับดึงเขาเข้าไปหาและเอนตัวพิงหน้าอกของชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ ข้าแค่ยังไม่ค่อยเต็มใจนิดหน่อย”
ใช่ ไม่เต็มใจนิดหน่อย
นางไม่เต็มใจที่จะถูกสยบเช่นนี้ ไม่เต็มใจที่จะรับความรู้สึกที่เขามีให้กับกู่ชิงลั่ว ไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าคนรักที่นางเฝ้าคำนึงถึงมานานแสนนานจะสิ้นคิดได้ถึงเพียงนี้
นางไม่เต็มใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก ทำให้นางแสดงท่าทีต่อต้านมันออกไป
ไม่ใช่เพราะนางไม่ได้รักซูเฉิน แต่เพราะนางรักเขามากเกินไป นางพร้อมที่จะทำสิ่งไม่ดีเพื่อเขา แต่นางก็ไม่เต็มใจที่จะทำเรื่องเช่นนี้ นี่คือเหตุผลที่นางรู้สึกโศกเศร้าถึงเพียงนี้
ความสับสนในใจเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งทีอธิบายออกมาได้ยาก แต่ซูเฉินก็สามารถเข้าใจได้ว่านางรู้สึกอย่างไร
เขาลูบเส้นผมของจูเซียนเหยาอย่างเบามือ “ข้าขอโทษ ข้าหลายใจมากเกินไป”
จูเซียนเหยาส่ายหน้า “ไม่แปลกหรอกที่ชายผู้มีความสามารถจะมีภรรยาและนางสนมหลายคน เจ้าไม่ใช่คนหลายใจหรอก ข้าแค่มีทิฐิสูงเกินกว่าจะยอมรับมันเท่านั้นเอง”
ไม่แน่ว่าคนในรุ่นต่อ ๆ ไปอาจรู้สึกว่าจูเซียนเหยานั้นให้คุณค่ากับตัวเองน้อยเกินไป แต่ในโลกนี้ การให้คุณค่าเช่นนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว
สำหรับจูเซียนเหยา นี่คือความรู้สึกของนางที่กำลังยอมแพ้ให้กับหลักเหตุผล หลังจากที่ทะเลาะกับศักดิ์ศรีของตัวเองมาเนิ่นนาน นางก็สามารถเอาชนะมันและตัดสินใจเลือกทางที่นางคิดว่าถูกต้องที่สุด
หลังจากที่คิดมาถึงตรงนี้ จูเซียนเหยาก็ตัดสินใจและเริ่มถอดเสื้อผ้าของซูเฉินออกอย่างเบามือ ก่อนจะเริ่มผ่อนคลายร่างกาย…….