ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 31 ใส่ความ
บทที่ 31 ใส่ความ
เมื่อซูเฉินมาถึง เขาก็เห็นจูเซียนหลิงกำลังคุกเข่าลงกับพื้นและถูกสอบปากคำจากตระกูลจู
นางไม่อาจไม่คุกเข่าได้ เพราะการทรยศตระกูลนั้นถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก
อย่างไรก็ตามสำหรับชายหนุ่มแล้ว ฉากเบื้องหน้าของเขาในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตามากกว่า มันเหมือนกับเนื้อหาจากคำทำนายของแท่นบูชาไม่มีผิด
หรือเพราะค่าชดเชยต่ำผลลัพธ์จึงไม่เปลี่ยนแปลง ?
ซูเฉินเคยคิดจะหยุดเมื่อจูเซียนเหยามุ่งหน้าไปยังโถงใหญ่ เพราะเขายังคงคลางแคลงใจอยู่
ทว่าคำถามเกี่ยวกับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้การทำนายก็ผุดขึ้นในหัวใจของเขาเสียก่อน
เขาค่อย ๆ คาดการณ์สถานการณ์นี้ไปอย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นซูเฉินจึงไม่พยายามที่จะหยุดจูเซียนเหยา เพื่อให้ทุกอย่างในอนาคตดำเนินไปตามทิศทางที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดได้ทำนายไว้
คำทำนายที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหตุผลว่าทำไมค่าชดเชยถึงได้ลงอย่างมาก
แล้วถ้าหากตอนนั้นเขาพยายามจะหยุดนางล่ะ ?
ถ้าเขาหยุดจูเซียนเหยาคำทำนายก็จะเปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในตอนนี้คือคำทำนายนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ค่าชดเชยที่ถูกเรียกเก็บไปเองก็เป็นราคาต่ำ ดังนั้นหากเขาพยายามฝืนเปลี่ยนผลลัพธ์ มันก็จะขัดแย้งกับค่าชดเชยที่เขาเสียสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งคำทำนายนี้
ค่าชดเชยที่ถูกกำหนดขึ้นจากสมมติฐานที่ว่าจะอนาคตนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วหากเขาพยายามเปลี่ยนคำทำนายโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกัน ?
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอาจรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาจะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ ? มันจึงได้คิดค่าตอบแทนต่ำ ?
หรือมันแอบมีอิทธิพลบางอย่างต่อตัวเขา ?
มันถูกตัวตนที่สูงกว่าคอยลิขิตอยู่งั้นหรือ ? หรือจะมีพลังแห่งเวลาเข้ามายุ่งกับสถานการณ์กัน ?
ซูเฉินเองก็ไม่รู้ ท้ายที่สุดนอกจากการทดลองเกี่ยวกับไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอย่างพิถีพิถันในแบบต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ของเขาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับแง่มุมนี้ของไม้เท้า
การพิจารณาคดีของจูเซียนหลิงภายในโถงใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อจูเซียนเหยาอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว จูอวิ๋นเยี่ยนกับคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง
“เหยาเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง ?” จูอวิ๋นเยี่ยนถามขึ้น
จูเซียนเหยาตอบ “ท่านแม่ ทุกสิ่งที่เสี่ยวเหยากล่าวไปนั้นล้วนเป็นความจริง”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงจะบอกได้ใช่หรือไม่ว่าซูเฉินใช้วิชาลับอะไร ?”
“นี่… ” จูเซียนเหยาหันมองไปทางซูเฉิน หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา นางก็จะไม่เปิดเผยข้อมูลนั้น
“มันเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับเม็ดทรายกาลเวลา” ซูเฉินกล่าวพลางหยิบเอาทรายออกมา
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นสำคัญอย่างมาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะเปิดเผยการมีอยู่ของมัน ไม่อย่างนั้นคนที่ถูกสอบสวนคงจะไม่ใช่จูเซียนหลิงอีกต่อไป แต่เป็นตัวเขาเอง
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าเม็ดทรายกาลเวลาจะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่เพราะความจริงที่ว่าพวกมันเป็นวัสดุสิ้นเปลืองทำให้คุณค่าของมันนั้นต่ำกว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอยู่มาก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นตัวช่วยปกปิดตัวตนของไม้เท้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
วิถีแห่งเวลานั้นทั้งลึกลับและลึกซึ้ง ไม่มีใครรู้ว่าเม็ดทรายกาลเวลาสามารถใช้ทำเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ แต่ในเมื่อซูเฉินบอกว่าเขาทำได้ พวกเขาจึงยอมรับ
จูเซียนหลิงฮึดฮัด “งั้นเจ้าก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย ? แค่เห็นคำทำนายที่คลุมเครือเจ้าก็เชื่อแล้วว่าข้าทรยศต่อตระกูลเลยใส่ความข้า ?”
จูเซียนเหยาพูดอย่างโกรธเคือง “หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ? ก็ตอนนั้น…”
“เซียนเหยา !” ซูเฉินขัดจังหวะนาง
ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าจูเซียนเหยาต้องการจะเอาคืนที่จูเซียนหลิงพยายามจะสังหารนาง แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะพูดถึงเรื่องนั้น หากนางกล่าวถึงมันในสถานการณ์เช่นนี้ มันจะดูกลับกลายเป็นว่าจูเซียนเหยาพยายามจะแก้แค้นจูเซียนหลิงไปทันที ถึงแม้ว่าความผิดในการพยายามลอบสังหารพี่สาวของคุณหนูรองจะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ แต่ความผิดที่ทรยศต่อตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
จูเซียนเหยาก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงรีบหุบปากตามคำเตือนของซูเฉินอย่างทันควัน ทว่าก็ยังอดจะจ้องมองคู่กรณีเขม็งด้วยความโกรธอยู่ดี
จูเซียนหลิงกล่าวแย้ง “ท่านแม่ ท่านจะยอมให้คนนอกมารังแกลูกสาวท่านเช่นนี้จริง ๆ หรือ ?”
คิ้วของจูอวิ๋นเยี่ยนขมวดแน่น “ซูเฉิน ในเมื่อเจ้าคิดว่าจูเซียนหลิงทรยศตระกูล เจ้าคงมีหลักฐานจะแสดงหรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดออกมา “ข้าไม่เคยบอกว่าคุณหนูรองทรยศตระกูลจู”
อะไรนะ ?
ทุกคนหันมาจ้องมองทางซูเฉิน
ซูเฉินกล่าวต่อ “ข้าเพียงแค่เห็นจากการทำนายว่าคุณหนูรองจะถูกพวกท่านสอบปากคำก็เท่านั้น”
“แล้วมันต่างกันหรือ ?”
“แน่นอนว่าต่าง คำทำนายไม่ได้รู้เรื่องทุกอย่างและไม่อาจใช้เป็นเครื่องถาม-ตอบได้ ทั้งหมดที่มันทำได้คือการเปิดเผยเศษเสี้ยวหนึ่งจากสถานการณ์นับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นในแม่น้ำแห่งกาลเวลาในอนาคตให้ข้าได้รับรู้ ส่วนเรื่องที่ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ หรือสิ่งที่มันแสดงให้เห็นจะสำคัญเพียงไหน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คำทำนายจะตอบได้”
หลังจากได้ฟังเขาพูดต่อ ทุกคนก็เข้าใจว่าซูเฉินกำลังหมายถึงอะไร
อนาคตที่คำทำนายได้ให้ไว้คือภาพเหตุการณ์ที่จูเซียนหลิงกำลังถูกสอบปากคำ แต่ผลของการสอบปากคำครั้งนี้เป็นอย่างไรนั้นไม่ได้มีระบุเอาไว้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่จูเซียนหลิงจะกระทำผิด หรือผลการสอบสวนครั้งนี้อาจจะพบว่านางไม่ได้มีความผิดก็ตาม แต่คำทำนายก็ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องทั้งหมดนั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เป็นเป็นความจริง
การสรุปว่าจูเซียนหลิงทรยศตระกูลเพียงเพราะคำทำนายเห็นว่านางได้ถูกสอบปากคำนั้น อาจจะเป็นการอนุมานที่ผิดก็เป็นได้
จูเซียนเหยาเองก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ฟังไม่แพ้กัน “ซูเฉิน เจ้า…”
“เซียนเหยา ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ข้าต้องบอกความจริง” ซูเฉินกล่าวต่อ “ข้ามาที่นี้เพื่อแต่งงานกับเจ้า ไม่ได้มาเพื่อใส่ร้ายใคร ไม่ว่าคุณหนูรองจะทรยศตระกูลหรือไม่ ตัวข้าก็ไม่อาจยืนยันได้เพราะคำทำนายไม่ได้บอกเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงต้องชี้แจงให้กระจ่าง”
เมื่อได้ยินเช่นนั่นจูเซียนเหยารู้สึกหัวใจของนางกำลังสั่น แม้ว่านางจะโกรธที่ซูเฉินไม่ช่วยตน แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผล ความคับข้องใจนี้ไม่มีที่ให้ระบาย ดังนั้นจูเซียนเหยาจึงทำได้เพียงจ้องมองจูเซียนหลิงอย่างหงุดหงิด ในความคิดของนางอีกฝ่ายต้องทรยศตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่
อีกด้านจูเซียนหลิงกลับหัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน “โอ้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคุณชายซูจะเป็นคนชอบธรรมเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นท่านเองก็เห็นด้วยว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ทั้งหมดที่ข้าพูดคือคำทำนายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะตัดสินว่าท่านผิดหรือไม่ ข้าไม่ได้กล่าวว่าท่านไม่ได้น่าสงสัยแต่อย่างใด”
สีหน้าของคุณหนูรองเปลี่ยนไปในทันใด “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
ซูเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส “เซียนเหยาเร่งรีบมาบอกท่านเกินไป นางจึงพลาดครึ่งหลังของการทำนาย”
“อะไรนะ ?” จูเซียนเหยาตกตะลึง
ซูเฉินหันไปพูดกับจูเซียนหลิง “บนร่างของท่านสมควรจะมียันต์แจ้งเหตุด่วนอยู่ เมื่อมันถูกเผาข้อความของเจ้าก็จะถูกส่งตรงไปถึงตระกูลหรงในทันที เจ้าคงจะใช้วิธีนี้ส่งข่าวไปยังตระกูลหรง เมื่อตอนที่ข้าไปอยู่ที่เขาซ่อนสวรรค์ใช่หรือไม่ ?”
จูเซียนหลิงผุดลุกขึ้นทันที “ท่านกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรกัน ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนชี้นิ้วไปทางคุณหนูรอง บังคับให้นางต้องคุกเข่าอีกครั้ง
จากนั้นจูอวิ๋นเยี่ยนก็สะบัดแขนของนางเรียกเอาแหวนต้นกำเนิดของจูเซียนหลิงมาไว้ในมือ ก่อนจะเหลือบมองเข้าไปข้างในและไม่พบอะไรเลย นางจึงลงมือใช้พลังค้นตัวคุณหนูรองด้วยตัวเอง พริบตาต่อมาก็มียันต์ลอยออกมาจากตัวอีกฝ่ายและตกลงในมือของจูอวิ๋นเยี่ยน มันคือยันต์แจ้งเหตุด่วนจริง ๆ
จูอวิ๋นเยี่ยนส่งจิตสัมผัสลงไปในยันต์เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “มันคือหนึ่งในยันต์แจ้งเหตุด่วนของตระกูลหรง ! เซียนหลิงเจ้ากล้ามาก !”
ร่างของนางสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ
จูเซียนหลิงตกตะลึง “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำ”
“ยังจะกล้าเล่นลิ้น !” จูอวิ๋นเยี่ยนยกมือขึ้น มือที่มองไม่เห็นคว้าจับคอคุณหนูรองเอาไว้และยกนางขึ้นไปกลางอากาศ
ถึงกระนั้นจูเซียนหลิงก็ยังคงตะโกนร้องด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า… ไม่ได้จริง ๆ … นี่… เป็น… พวกมัน… พยายาม… ใส่ร้าย… ข้า… ”
“หุบปาก ! ตั้งแต่ที่เซียนเหยาและซูเฉินมาถึงที่นี่ พวกเขาไม่เคยแตะต้องเจ้าเลยด้วยซ้ำแล้วจะใส่ร้ายเจ้าได้อย่างไร ? ต่อหน้าข้าพวกเขาจสามารถเล่นกลอุบายได้เชียวงั้นรึ ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่อาจเอาชนะความอิจฉาริษยาพี่สาวในใจของเจ้าได้ จนถึงกลับทรยศต่อตระกูล ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากจริง ๆ!”
มือของจูอวิ๋นเยี่ยนกำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาดวงตาของจูเซียนหลิงกรอกกลับ
ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะบีบให้คุณหนูรองขาดใจตายไปเสีย
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ซูเฉินก็พูดขัดขึ้น “ได้โปรดรอสักครู่”
จูอวิ๋นเยี่ยนคลายมือออกปล่อยทิ้งให้จูเซียนหลิงร่วงไปกองอยู่กับพื้น
นางหันไปมองซูเฉิน “มีอะไรอีก ?”
“ข้าขอดูยันต์นั้นได้หรือไม่” ซูเฉินถามขณะก้าวเท้าออกมา
จูอวิ๋นเยี่ยนโบกมือโยนยันต์ไปทางชายหนุ่ม เขาหยิบมันขึ้นมาและมองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นดมกลิ่นและจ้องไปที่จูเซียนหลิงอย่างครุ่นคิด
จูเซียนเหยารู้สึกสับสนกับการกระทำของเขา นางจึงถามเขาอย่างเงียบ ๆ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ?”
ซูเฉินถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าสิ่งที่ข้าจะพูดออกไปจะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่ชอบใจ”
จูเซียนเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้า… ”
ซูเฉินกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคุณหนูรองถูกใส่ร้ายจริง ๆ”
ทุกคนในโถงตกตะลึงพร้อมกันอีกครั้ง
จูอวิ๋นเยี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
ซูเฉินชี้ไปที่ยันต์และกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้รู้จักคุณหนูรองมากนัก แต่ข้าก็พอจะเคยได้กลิ่นหอมของแป้งที่นางใช้ มันเป็นกลิ่นที่เข้มข้นและค่อนข้างหอมมาก ทว่ายันต์ในมือของข้ากลับไม่มีกลิ่นดังกล่าวติดอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าคุณหนูรองไม่ได้พกมันติดตัวของนางขนาดนั้น”
หลังได้ยินดังนั้นทุกคนก็มองหน้ากัน
จูเซียนเหยาไม่พอใจกับคำตอบนั้นเสียเท่าไหร่ “บางทีนางอาจจะเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้า ?”
ซูเฉินถอนหายใจ “นั่นแหละปัญหา เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ? นางมีแหวนต้นกำเนิดแต่แทนที่จะเก็บของไว้ในนั้น นางกลับพกมันไว้กับตัวเพราะเหตุใดกัน ?”
จูเซียนเหยาชะงักไป นางไม่สามารถหาคำตอบได้
นางมีแหวนต้นกำเนิดอยู่แต่กลับเก็บมันไว้กับตัว นางไม่กลัวว่ามันจะร่วงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเลยหรืออย่างไร ?
สมาชิกของตระกูลจูหันมองหน้ากันอีกครั้ง
จูอวิ๋นเยี่ยนกล่าว “คุณชายซูหมายความว่า…”
“มีความเป็นไปได้ว่าจะมีคนแอบใส่ยันต์นี้ไว้ที่ตัวของคุณหนูรอง มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมยันต์ถึงไม่อยู่ในแหวนต้นกำเนิด และเหตุใดยันต์นี้จึงไม่มีกลิ่นเครื่องหอมที่นางใช้” ซูเฉินกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้จูอวิ๋นเยี่ยนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เห็นได้ชัดว่านางไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าลูกสาวของตนได้ทรยศตระกูลตัวเอง
“ใครกันที่กล้าใส่ร้ายลูกสาวข้า ?” การแสดงออกของจูอวิ๋นเยี่ยนเต็มไปด้วยความโกรธอีกครั้ง
“เรื่องนั้นเราคงต้องถามจากคุณหนูรองแล้ว ก่อนที่ท่านจะมายังที่แห่งนี้ ท่านได้ติดต่อกับใครบ้างหรือไม่ ? ที่ข้าหมายความถึงคือการพบปะแบบสัมผัสโดนตัวกัน” ซูเฉินถาม
จูเซียนหลิงเองก็ตกตะลึงกับการพลิกกลับของสถานการณ์นี้อย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวอย่างจริงจังและกล่าวว่า “ไม่มี”
อะไรนะ ?
ทุกคนต้องตกตะลึงกันอีกรอบ
จูเซียนหลิงตอบอย่างมั่นใจมากว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้ากำลังคุยกับน้องหญิงสี่และน้องชายหกอยู่ แต่พวกข้าไม่ได้แตะต้องสัมผัสร่างกายของกันเลย”
จูอวิ๋นเยี่ยนยืนขึ้น “เจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ? เซียนหลิงเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงความบริสุทธิ์ของเจ้านะ”
“แน่นอนเพราะมันเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของข้า ข้าย่อมไม่สามารถพูดอย่างประมาทได้อยู่แล้ว มิฉะนั้นมันจะไม่เท่ากับว่าข้าทำร้ายพี่น้องของตัวเองเหรอ ?” นางไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปทางจูเซียนเหยาและแขวะอีกฝ่ายไปในเวลาเดียวกัน
สมาชิกทุกคนพากันสับสนไปเพราะคำตอบของนาง แล้วแบบนี้พวกเขาตรวจสอบสถานการณ์นี้กันได้อย่างไร ?
ทันใดนั้นเองซูเฉินก็พูดขัดขึ้น “ไม่ มีคนบางใครติดต่อกับท่าน ข้าเห็นมันอย่างชัดเจนเมื่อตอนที่ข้าใช้ร่างแยกเพื่อล่อหลอกพวกท่าน”
จูเซียนหลิงตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร ? หากมีคนทำเช่นนั้นจริงข้าจะไม่รู้ตัวได้อย่างไร ?”
“นั่นเป็นเพียงเพราะท่านไม่เคยมองมันว่าเป็นมนุษย์แต่แรกแล้ว !”